เรื่องของปัจจัยเป็นสิ่งที่รู้ยาก
โดย บ้านธัมมะ  27 ธ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 45378

สภาพธรรมเป็นสิ่งที่รู้ยาก เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์ลักษณะของ สภาพธรรมตามความเป็นจริงต้องอดทนจริงๆ แม้แต่ในการศึกษาเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม หรือเรื่องของปัจจัย ต้องเป็นผู้ที่อดทน และต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่ว่า รีบที่จะรู้ อ่านให้จบมากๆ แต่ไม่เข้าใจ หรือว่าไม่พิจารณาในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นคนที่ศึกษามาก เรียนมาก แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ว่าเป็นจริงตามที่ได้ศึกษาอย่างไร


รับฟัง ... เรื่องของปัจจัยเป็นสิ่งที่รู้ยาก

เรื่องของปัจจัย ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน อุปการะกันเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องที่เมื่อศึกษาแล้ว ควรพิจารณาให้รู้ลักษณะของปัจจัยตามที่ปรากฏพร้อม สติปัฏฐานด้วย

สำหรับปัจจัยที่ได้กล่าวถึงแล้ว ๕ ปัจจัย คือ

ปัจจัยที่ ๑ เหตุปัจจัย

ปัจจัยที่ ๒ อารัมมณปัจจัย

ปัจจัยที่ ๓ อธิปติปัจจัย

ปัจจัยที่ ๔ อนันตรปัจจัย

ปัจจัยที่ ๕ สมนันตรปัจจัย

ท่านผู้ฟังอาจจะไม่ชินกับชื่อ แต่ฟังบ่อยๆ และเข้าใจอรรถ หรือลักษณะ ของธรรมนั้น จะทำให้จำชื่อได้

วันหนึ่งๆ เคยพิจารณาเหตุปัจจัยบ้างไหม

ทุกท่านมีกิจการงานที่กระทำอยู่เสมอ ในวันหนึ่งๆ ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด จะไม่รู้ลักษณะของเหตุปัจจัยแน่นอนว่า ในขณะที่ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันเป็นเพราะ เหตุปัจจัยอะไร แต่ถ้าสติเกิดจะทราบได้ว่า ไม่พ้นจากโลภเหตุ คือ โลภเจตสิก แต่เป็นชนิดที่บางและละเอียด ไม่ปรากฏลักษณะของความเป็นอกุศลธรรมอย่างแรง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รีบร้อน และพยายามทบทวนเรื่องของปัจจัยทั้ง ๕ ตามที่ได้ฟังแล้ว ก็อาจจะเกื้อกูลอุปการะให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสิ่งที่ควรทราบที่จะเป็นประโยชน์กับสติปัฏฐาน คือ สำหรับ เหตุปัจจัย ได้แก่ เจตสิก ๖ ดวงซึ่งเป็นเหตุ คือ โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก เป็นอกุศลเจตสิก เป็นปัจจัยให้เกิดรูปด้วย ไม่ได้เป็นปัจจัยให้เกิดจิตเท่านั้น ซึ่ง ในชีวิตประจำวัน ท่านผู้ฟังเห็นรูปปรากฏภายนอกก็อาจจะบอกได้ว่า คนนี้กำลังมี โลภะ หรือว่าคนนั้นกำลังมีโทสะ เพราะว่าเจตสิกซึ่งเป็นเหตุปัจจัย นอกจากจะทำให้จิตเกิดแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย

ประโยชน์ คือ ถ้าท่านระลึกรู้ลักษณะของรูปในขณะที่เป็นโลภะ หรือในขณะที่เป็นโทสะ ในขณะนั้นจะรู้ว่า รูปนั้นที่เป็นเช่นนั้นเพราะโลภะเป็นเหตุปัจจัย หรือว่าโทสะเป็นเหตุปัจจัย ทำให้รูปนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น

ในวันหนึ่งๆ ทุกท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส สติระลึกหรือเปล่า ถ้าสติไม่ระลึกก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพราะกุศลหรืออกุศลเป็นปัจจัย หรือเป็นเพราะโลภมูลจิต โลภเจตสิกเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้การยิ้มแย้มหรือการหัวเราะนั้นเกิดขึ้น เวลาที่ร้องไห้เสียใจ ก็อาจจะมีใช่ไหม ถ้าร้องไห้เสียใจไปเปล่าๆ โดยที่สติปัฏฐานไม่เกิดก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงในขณะนั้น รูปนั้นเกิดขึ้นเพราะโทมนัสเวทนาเกิดกับโทสมูลจิต ซึ่งเป็นอกุศลจิต ทำให้รูปนั้นเป็นอย่างนั้น และนอกจากการยิ้มแย้ม การหัวเราะ หรือว่าการร้องไห้แล้ว แม้แต่ความไม่แช่มชื่นของจิต ก็จะทำให้ลักษณะของหน้าหรือว่ากิริยาอาการในขณะนั้นปรากฏเป็นไปด้วยสภาพของโทสมูลจิตซึ่งเป็นเหตุในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน ถ้าสติระลึก ก็สามารถรู้ความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมขณะหนึ่ง ต่อไปก็อาจจะระลึกรู้ลักษณะของเวทนา คือ ความรู้สึก หรือต่อไปก็อาจจะระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะนั้นได้ เพราะการอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่ได้จำกัดว่าจะต้องรู้เฉพาะรูปหนึ่งรูปใดเท่านั้น แต่ว่ามหาสติปัฏฐาน คือ สติระลึกเป็นไปในอารมณ์ต่างๆ ทุกอย่าง ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

และควรที่จะได้ทราบความพิเศษ หรือความต่างกันของปัจจัยทั้ง ๕ ปัจจัยนั้นด้วยว่า สำหรับปัจจัยที่ ๒ คือ อารัมมณปัจจัย สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยโดยความเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก อย่าลืม อารัมมณปัจจัยไม่เป็นปัจจัยแก่รูป เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นอารัมมณปัจจัยเป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกเท่านั้น และสำหรับอารมณ์หรือสิ่งที่จิตรู้ จิตสามารถรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง รูปทุกชนิด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้แต่นามธรรมแต่ละชนิด จิตก็สามารถรู้ได้ ลักษณะของโทสะ ลักษณะของอิสสา ลักษณะของความตระหนี่ มัจฉริยะ ลักษณะของมานะ ความสำคัญตน แม้ว่าเป็นนามธรรมแต่จิตสามารถรู้อารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ ได้ หรือแม้แต่เรื่องราวบัญญัติ ความคิดนึก สมมติสัจจะทั้งหลาย จิตก็สามารถรู้ได้อย่างวิจิตร วิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ หรือโบราณคดี ประวัติศาสตร์ต่างๆ ซึ่งเป็นเพราะจิตนั่นเองที่สามารถรู้อารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ให้ทราบว่า สภาพธรรมใดซึ่งเป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์นั้น จะเป็นปัจจัยให้แก่จิตและเจตสิกเท่านั้น ไม่เป็นปัจจัยแก่รูป

จิตสามารถรู้ลักษณะของโลภะได้ จิตสามารถรู้ลักษณะของโทสะได้ โทสะเป็นเหตุปัจจัยทำให้จิตเกิดร่วมด้วยเป็นโทสมูลจิต และทำให้รูปเกิดร่วมด้วยโดยความเป็นเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่โดยความเป็นอารัมมณปัจจัย ถ้าเป็นอารัมมณปัจจัย สภาพธรรมนั้นเป็นปัจจัยโดยเพียงเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น แม้แต่สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ความละเอียดก็ต้องรู้ว่า สภาพธรรมนี้เป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุปัจจัย หรือว่าโดยเป็นอารัมมณปัจจัย ถ้าเป็นอารัมมณปัจจัยหมายความว่า ขณะนั้นมีจิตกำลังรู้ลักษณะของโทสะในขณะนั้น หรือรู้ลักษณะของโลภะในขณะนั้น หรือรู้ลักษณะของอโลภะในขณะนั้น รู้ลักษณะของอโทสะในขณะนั้น ในขณะนั้นเหตุหนึ่งเหตุใดใน ๖ เหตุเป็นอารมณ์ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยของจิต

เป็นเรื่องที่พิจารณาแล้วจะทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นสำหรับปัจจัยที่ ๒ ว่า ต่างกับปัจจัยที่ ๑ ในเมื่อได้เรียนถึง ๕ ปัจจัยแล้ว ก็ต้องพิจารณาความต่างกันของปัจจัยทั้ง ๕ ด้วยว่า สำหรับปัจจัยที่ ๑ ต่างกับปัจจัยที่ ๒ อย่างไร และสำหรับปัจจัยที่ ๓ คือ อธิปติปัจจัย ก็ให้ทราบว่า เจตสิก ๖ ดวงเป็นเหตุปัจจัยจริง แต่เฉพาะเจตสิกดวงเดียว คือ อโมหะหรือปัญญาเจตสิกเท่านั้น ที่เป็นอธิปติปัจจัยได้

นี่คือการที่ฟังแล้วไม่ลืม และเข้าใจ ซึ่งวันหนึ่งๆ ก็มีปัจจัยที่จะให้จิตคิดถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และพิจารณาจนเป็นความเข้าใจที่ชัดเจน เพื่อที่จะได้เห็นความเป็นอนัตตา ซึ่งจุดประสงค์ทั้งหมดของการฟังธรรม จะโดยย่อ หรือโดยละเอียด โดยพิสดารประการใด ก็เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่า เป็นอัตตาหรือเป็นตัวตนเท่านั้น จนกว่าปัญญาจะประจักษ์แจ้งจริงๆ

ที่กล่าวว่า สำหรับเหตุ ๖ คือ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑ ไม่เป็นอธิปติปัจจัย สำหรับสหชาตาธิปติปัจจัย และสำหรับฝ่ายกุศล คือ โสภณเหตุ อโลภะ ความไม่โลภ ความไม่ติด อโทสะ ความไม่โกรธ อโมหะ ความไม่หลง เป็นเหตุได้ แต่สภาพธรรมที่จะเป็นอธิบดี คือ เป็นสหชาตาธิปตินั้น ได้แก่ ปัญญาเจตสิก คือ อโมหเหตุ เท่านั้น ที่จะเป็นอธิปติปัจจัยได้

แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมที่เป็นเหตุต่างกับสภาพธรรมที่เป็นอธิบดี เพราะว่า โลภะเป็นเหตุได้ พอใจ ไม่ยาก ไม่ลำบาก ความพอใจ ความชอบใจ ใครว่ายากลำบากบ้าง ลืมตาขึ้นมาก็พอใจแล้ว ยินดีแล้วที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ในชีวิตประจำวัน ทางหูก็เช่นเดียวกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ยากที่จะพอใจ ไม่ต้องมี สภาพธรรมที่เป็นอธิบดี

สำหรับสหชาตาธิปติ ได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก ปัญญาเจตสิก และจิต ซึ่งประกอบด้วยเหตุตั้งแต่ ๒ เหตุขึ้นไปจึงจะเป็นอธิปติปัจจัยได้ หมายความว่า เป็นสภาพธรรมที่มีกำลัง

เพราะฉะนั้น สำหรับเหตุ ๕ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ หรือแม้ทางฝ่ายโสภณ ทางฝ่ายดี อโลภเหตุ อโทสเหตุ ก็ไม่สามารถที่จะมีกำลังเป็นอธิบดีได้ ทุกท่านรู้สึกว่า โลภะมีกำลัง ใช่ไหม แต่เป็นเพียงเหตุ ไม่ใช่อธิบดี คือ ไม่ใช่ธรรมที่เป็น หัวหน้าที่จะชักจูงให้สภาพธรรมอื่นเป็นไปตามกำลังของตน เป็นเหตุได้ ทำให้เกิด กุศลจิต อกุศลจิต ทำให้เกิดการกระทำที่เป็นอกุศลและกุศลได้ แต่ว่าไม่ใช่อธิปติ ถ้าเป็นอธิปติปัจจัยซึ่งเป็นสหชาตาธิปติ ต้องได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก วิมังสา คือ ปัญญาเจตสิก และจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุตั้งแต่ ๒ เหตุขึ้นไป

เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาเรื่องเหตุปัจจัย และศึกษาเรื่องอธิปติปัจจัย ก็ควรที่จะเปรียบเทียบดูความต่างกันว่า เพราะเหตุใดสภาพธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยนั้น เฉพาะปัญญาเจตสิกเท่านั้นที่เป็นอธิปติปัจจัยได้ แต่โลภะเป็นเหตุได้ เป็นอธิปติไม่ได้เพราะว่าตามปกติโลภะเกิดไม่ยาก โลภะเป็นสภาพที่ยินดีพอใจ ซึ่งความพอใจมีอยู่เสมอเป็นประจำ อะไรๆ ก็พอใจ และถึงแม้ว่าจะมีกำลัง คือ อาจจะพอใจมากก็ตาม แต่ถ้าไม่มีฉันทะ หรือไม่มีวิริยะแล้ว จะขาดความขวนขวายหรือว่าความขะมักเขม้น หรือว่าความพากเพียรเพื่อที่จะได้สิ่งนั้น

สำหรับสหชาตาธิปติปัจจัย ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และปัญญา ท่านผู้ฟังลองคิดว่า จะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้ไหม ตามเหตุตามผล อธิปติปัจจัยจะเป็นปัจจัยให้เกิดรูปได้ไหม ถ้าศึกษาเรื่องของปรมัตถธรรมจะทราบว่า ตรงตามเหตุผลของ สภาพธรรมนั้นจริงๆ ถ้าถูกแล้วต้องตรงกัน เพราะฉะนั้น ลองพิจารณาว่า อธิปติปัจจัยจะทำให้เกิดรูปได้ไหม

สหชาตาธิปติปัจจัย คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะที่มีกำลัง คือ ต้องเกิดร่วมกับเหตุ ตั้งแต่ ๒ เหตุจึงจะเป็นอธิปติปัจจัยได้ และปัญญา จะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้ไหม ได้เพราะว่าเหตุปัจจัยยังเป็นปัจจัยให้เกิดรูปได้ และอธิปติปัจจัยซึ่งเป็นสภาพที่มีกำลัง ต้องประกอบถึง ๒ เหตุจึงจะเป็นอธิบดีได้ จะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปหรือ และถ้าท่านผู้ฟังจะเริ่มสะสมความเข้าใจในปรมัตถธรรมไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ทิ้ง ให้ทราบว่า มีจิตทั้งหมด ๑๖ ดวงที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑ ขณะ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป จุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ดวง ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป รวมเป็น ๑๒ ดวง และอรูปวจรวิบากจิตอีก ๔ ดวง ซึ่งทำให้ปฏิสนธิในอรูปพรหมเป็นอรูปพรหมบุคคล อรูปพรหมภูมิ นั้นไม่มีรูปเลย จิต ๑๖ ดวงนี้เท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป เพราะฉะนั้น อธิปติปัจจัยต้องเป็นปัจจัยให้เกิดรูปด้วย

สำหรับเรื่องของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรมแต่ละอย่าง และรูปธรรมแต่ละอย่าง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ละเอียดมากกว่าจะเข้าใจว่า สภาพธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะปัจจัยอะไร

การฟังธรรม ต้องฟังโดยละเอียด และต้องพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ

เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาถึงความละเอียดจริงๆ ขอถามว่า โลภเจตสิกซึ่งเป็นเหตุ เป็นเหตุปัจจัย เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

เมื่อถามว่า เป็นสหชาตาธิปติได้ไหม จะต้องคิดถึงสภาพธรรมที่เป็น สหชาตาธิปติปัจจัยว่า ได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก และชวนจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ ขึ้นไป และปัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้น โลภเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

ทุกคนมีโลภะอยู่เสมอ แต่ยังไม่รู้ลักษณะแท้จริงของโลภะ เพียงแต่เพิ่งเริ่มรู้ว่า โลภเจตสิกเป็นเหตุที่ทำให้โลภมูลจิตเกิดขึ้น และทำให้เจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับ โลภมูลจิตนั้นเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุนั้น คือ ถ้าโลภะเป็นเหตุ จิตที่เกิดร่วมด้วยต้องเป็นโลภมูลจิต มีโลภะเป็นมูล และเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดร่วมด้วยก็ต้องเกิดขึ้นเพราะ โลภะนั้นเป็นเหตุให้เจตสิกเหล่านั้นเกิดร่วมกับจิตนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงเหตุปัจจัย โลภเหตุเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ในเมื่ออธิปติปัจจัย ได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก ปัญญาเจตสิก และจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ ขึ้นไป นี่คือการที่จะได้เข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อได้ฟังอีกครั้งหนึ่งจะยังคงเป็นความเข้าใจที่ชัดเจน หรือว่ายังสงสัยยังข้องใจอยู่

คำตอบ คือ ไม่ได้ เพราะว่าอธิปติปัจจัย ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1101

พูดถึงโลภเจตสิก อย่าลืมว่าปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เมื่อพูดถึงเจตสิก เหตุปัจจัย ได้แก่ เจตสิก แม้แต่โลภมูลจิตก็ไม่ใช่เหตุปัจจัย ต้องเฉพาะโลภเจตสิกเท่านั้นที่เป็นเหตุปัจจัย ฉันใด สำหรับสหชาตาธิปติก็เช่นเดียวกัน คือ ฉันทเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย วิริยเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย ปัญญาเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย ไม่มีโลภะ ใช่ไหม ฉันทะ วิริยะ ปัญญา และจิตซึ่งเป็นชวนจิตที่ประกอบด้วย ๒ เหตุ หรือ ๓ เหตุ แม้แต่ชวนจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุเดียวก็ไม่สามารถเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีโลภเจตสิกใน สหชาตาธิปติปัจจัย แสดงให้เห็นว่า โลภเจตสิกที่ทุกคนมีเป็นประจำ เป็นเหตุให้เกิด โลภมูลจิต แต่ว่าโลภเจตสิกไม่ใช่สหชาตาธิปติปัจจัย นี่เป็นความเข้าใจซึ่งต้อง เข้าใจความละเอียด

ถามต่อไปว่า โลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม คำถามเปลี่ยนแล้ว เมื่อครู่นี้โลภเจตสิกเป็นเหตุปัจจัย แต่ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย ถ้าเปลี่ยนคำถามว่า โลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม คำตอบ คือ ได้ เพราะว่าโลภมูลจิตเป็น ชวนจิตซึ่งประกอบด้วย ๒ เหตุ เป็นหนึ่งในชวนจิต ๕๒ ดวงซึ่งเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย

ทุกท่านทราบว่า โลกียวิบากจิตทั้งหมดไม่เป็นอธิบดี และสำหรับจิตซึ่งจะเป็นอธิปติปัจจัยได้ต้องเป็นขณะที่ทำชวนกิจ เป็นจิตที่มีกำลัง และต้องประกอบด้วยเหตุ ๒ จิตซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุที่ทำชวนกิจ ได้แก่ หสิตุปปาทจิต เป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์ยิ้มหรือแย้ม ไม่เป็นสหชาตาธิปติ โมหมูลจิตก็ไม่เป็นสหชาตาธิปติ เพราะว่าเป็นจิตซึ่งไม่มีกำลัง ประกอบด้วยเหตุเดียว แต่โลภมูลจิตทำชวนกิจ และประกอบด้วย ๒ เหตุ จึงเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้

เป็นเรื่องละเอียดที่จะเข้าใจสภาพธรรมซึ่งทุกคนมีตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง ซึ่งจะเห็นความเป็นอนัตตาว่า แม้สภาพธรรมซึ่งเป็นเจตสิก เป็นเหตุจริง ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย แต่สำหรับโลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย

ชีวิตประจำวันหรือเปล่าที่ตอบว่าเป็นได้ ทราบโดยเหตุผล แต่ในชีวิตประจำวันสามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตตาธิปติไหมในขณะที่เป็นโลภมูลจิต ทุกคนมีโลภมูลจิต และเป็นจิตตาธิปติปัจจัยด้วย แต่จะทราบไหมว่า ขณะไหนโลภมูลจิตนั้นเป็น จิตตาธิปติปัจจัย

ขอให้คิดดูว่า ในวันหนึ่งๆ ถึงแม้ว่าโลภมูลจิตจะเกิด มีขณะใดบ้างซึ่งปรากฏลักษณะของโลภะ เพราะหลายท่านกล่าวว่า ท่านไม่มีโลภะ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า แม้โลภมูลจิตจะเกิด แต่ก็ไม่ใช่จะปรากฏลักษณะสภาพของโลภะ หรือสภาพของความต้องการ แม้ว่าความต้องการนั้นจะเกิดอยู่เป็นประจำ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฉันทะเป็นอธิบดี ก็ยังเห็นว่า แต่ละท่านทำตามสิ่งที่ท่านพอใจ ท่านพอใจสิ่งใดท่านก็ทำสิ่งนั้น ขณะนั้นฉันทะเป็นอธิบดี บางครั้งไม่ได้ทำด้วยความพอใจ แต่ประกอบด้วยวิริยะซึ่งต้องการให้กิจการงานนั้นสำเร็จ ในขณะนั้น วิริยเจตสิกก็เป็นอธิปติ ในขณะใดที่ปัญญากระทำกิจของปัญญาโดยเห็นชัดว่า เป็นการรู้ เป็นสภาพที่เข้าใจ ปัญญาก็เป็นอธิบดี แต่ในขณะที่โลภมูลจิตซึ่งมีอยู่เป็นประจำเป็นอธิปติปัจจัย จะเป็นในขณะไหน

ท่านที่เป็นนักค้นคว้า หรือว่านักวิทยาศาสตร์ หรือว่านายแพทย์ หรือว่าศัลยแพทย์ ขณะที่ท่านกำลังทำการผ่าตัด จิตเป็นอะไร จะบอกได้ไหมว่า ไม่มีโลภะ จะกล่าวได้ไหมว่า ในขณะนั้นไม่เป็นโลภะ

ผู้ฟัง ไม่เป็น

สุ . กุศลจิตจะเกิดตลอดเวลา หรือว่ามีความสนใจ มีความตั้งใจ มีความ เอาใจใส่ที่จะให้กิจธุระนั้นสำเร็จ อย่าปนกัน ขณะจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ หรือนักเคมีก็ตามแต่ สนใจศึกษาในเรื่องนั้นๆ บางท่านอาจจะตลอดเวลาหลายชั่วโมง ขณะนั้นจะกล่าวได้ไหมว่า ไม่เป็นโลภมูลจิต ก็ไม่ได้

แต่ถ้าจะมีใครกล่าวว่า ขณะนั้นไม่เป็นโลภมูลจิต ก็เพราะว่าลักษณะของ โลภเจตสิกไม่ปรากฏ ถูกไหม ไม่เป็นอธิปติปัจจัย แต่ว่าโลภมูลจิตเป็นอธิปติปัจจัย เพราะว่าในขณะนั้นมีความต้องการที่จะให้สิ่งนั้นสำเร็จ หรือว่าเป็นไปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาโบราณคดี หรือวิทยาศาสตร์ หรือการศึกษาด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม หรือการกระทำกิจการงานด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม เช่น บางท่านอาจจะไม่สนใจเรื่องการทำอาหารเลย แต่เวลาที่มีใครกำลังทำอยู่ หรือชักชวนให้ทำ ก็อาจต้องการที่จะทดลองดูว่าตนเองสามารถจะทำได้ไหม ในขณะนั้นไม่ได้ปรากฏว่ามีโลภะ มีความพอใจอย่างหนักแน่น เพียงแต่มีความต้องการที่จะพิสูจน์หรือที่จะทดลองว่าตนเองสามารถจะทำได้ไหม ในขณะนั้นโลภมูลจิตเป็นจิตตาธิปติปัจจัย ซึ่งลักษณะของโลภเจตสิกไม่ได้ปรากฏที่จะให้เห็นว่าเป็นโลภะ ที่คนส่วนใหญ่กล่าวว่าไม่มีโลภะ ก็เพราะว่าลักษณะของโลภเจตสิกไม่เป็นอธิปติปัจจัย แต่ลักษณะของโลภมูลจิตเป็นอธิปติปัจจัยแน่นอน

นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดซึ่งจะต้องศึกษาโดยละเอียดจริงๆ และถ้าศึกษาโดยละเอียดจริงๆ จะยิ่งละเอียดกว่านี้มาก นี่เป็นแต่เพียงการกล่าวถึงสภาพธรรมซึ่งเป็นปัจจัยเพื่อให้เห็นว่า การที่จะเข้าใจสภาพธรรมถูกต้อง ต้องฟังโดยละเอียด พิจารณาโดยละเอียด และอบรมเจริญปัญญาโดยละเอียด จนกว่าจะประจักษ์จริงๆ ว่า สภาพธรรมที่เกิดปรากฏก็เพราะปัจจัยต่างๆ

ถ้าถามต่อไปอีกว่า โลภเจตสิกเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม เพราะว่า อธิปติปัจจัยมี ๒ คือ สหชาตาธิปติปัจจัยและอารัมมณาธิปติปัจจัย อย่าลืม คำว่าอธิบดี ในภาษาไทยซึ่งใช้กันบ่อยๆ แต่ถ้าจะศึกษาธรรมต้องเข้าใจให้ชัดและตรง ถ้ากล่าวถึงอธิปติปัจจัย ต้องมีสภาพธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรมว่า สภาพธรรมชนิดใดเป็นอธิปติประเภทใด

ถ้ากล่าวถึงสหชาตาธิปติปัจจัย ได้แก่ นามธรรมเท่านั้น และได้แก่สภาพธรรม ๔ ประเภท คือ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก ชวนจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือเหตุ ๓ และปัญญาเจตสิก นั่นคือสหชาตาธิปติปัจจัย

โลภเจตสิก โทสเจตสิกเหล่านี้ ไม่ใช่สหชาตาธิปติปัจจัย แต่เมื่อกล่าวถึงจิต โลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย และเมื่อกล่าวถึงอารัมมณาธิปติปัจจัย โลภมูลจิตหรือโลภเจตสิกก็ตาม เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม ได้

ทุกคนไม่ละเว้นที่จะชอบโลภะ ทราบจากการศึกษาและการฟังว่า เป็นโทษ เป็นอกุศล โดยขั้นการฟัง แต่ชั่วครู่เดียวโลภมูลจิตเกิดแล้ว โลภเจตสิกเกิดแล้ว โลภมูลจิตเป็นอธิปติปัจจัยแล้ว โลภะเป็นที่ต้องการจริงๆ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการโลภะ อยากให้หมดไปเลยเสียวันนี้ ตามความเป็นจริง ขณะใดที่ยังต้องการอาหารรสอร่อย ขณะนั้นโลภะก็ยังหมดไม่ได้ ขณะใดที่มีเยื่อใยผูกพันในสัตว์ ในบุคคล ในวัตถุสิ่งของต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าของอยู่ ในขณะนั้นโลภมูลจิตเกิดแล้ว เป็นที่พอใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น อารัมมณาธิปติปัจจัย ได้แก่ สภาพธรรมซึ่งเป็นที่พอใจอย่าง หนักแน่น เป็นที่ต้องการ หรือว่าเป็นที่ประทับใจ ทำให้จิตและเจตสิกไม่ละทิ้ง ทำให้ปรารถนาสภาพธรรมนั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลภเจตสิกหรือโลภมูลจิตก็เป็น อารัมมณาธิปติปัจจัย นี่โดยนัยของโลภมูลจิตและโลภเจตสิก ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ท่านผู้ฟังพิจารณาถึงเจตสิกอื่นต่อไป

เช่น ถามว่า โทสเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ไม่พูดถึงโลภเจตสิก เปลี่ยนเป็นโทสเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

คำตอบ คือ ไม่ได้ โลภเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยไม่ได้ โทสเจตสิกก็เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยไม่ได้ เพราะไม่ใช่ฉันทเจตสิก ไม่ใช่วิริยเจตสิก ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก และไม่ใช่จิต

ถ้าถามต่อไปอีกว่า โทสมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

ได้ เพราะว่าเป็นชวนจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุ ๒ ทำให้เจตสิกอื่นและรูปเกิดขึ้นเป็นไปตามกำลังของโทสมูลจิต

ถามต่อไปว่า โทสเจตสิกเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม หรือโทสมูลจิตเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม

ผู้ฟัง ได้

สุ . ได้ก็ผิด เพราะว่าอารัมมณาธิปติปัจจัยเป็นอารมณ์ที่พอใจอย่าง หนักแน่น เพราะฉะนั้น จึงเป็นอารมณ์ของโลภมูลจิตเป็นส่วนใหญ่ หรือกุศลจิตก็ได้ นี่เป็นความละเอียดของอารัมมณาธิปติปัจจัย

โทสมูลจิตไม่มีใครชอบ โทสเจตสิกก็เช่นเดียวกัน รวมทั้งบริวารของโทสมูลจิตด้วย ก็ไม่เป็นที่พอใจ เพราะฉะนั้น อารมณ์ซึ่งเป็นที่พอใจอย่างหนักแน่นส่วนใหญ่ จึงเป็นของโลภมูลจิต หรือของมหากุศลจิต เช่น เวลาที่ท่านผู้ฟังพอใจในกุศล ตั้งใจ ปรารถนาที่จะทำกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นพิเศษ ขณะนั้น มหากุศลนั้นเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศล บางท่านปรารถนาที่จะถวายผ้าที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ขณะนั้นเป็นกุศลซึ่งหนักแน่น ซึ่งพอใจที่จะให้กระทำกุศลอย่างนั้น หรือว่าบางท่านอาจต้องการที่จะถวายประทีปบูชาสังเวชนียสถาน ขณะนั้นกุศลก็เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยทำให้เกิดกุศลก็ได้ หรือว่ากุศลนั้นเองทำให้โลภมูลจิตเกิดขึ้น ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยละเอียด

เพราะฉะนั้น เรื่องของอารัมมณาธิปติปัจจัยจึงควรทราบโดยชัดเจน ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วในคราวก่อน ในคราวนี้เป็นเพียงการทบทวนให้พิจารณาซ้ำอีก เพื่อจะได้ไม่ลืมว่า สำหรับอารมณ์ซึ่งไม่น่าปรารถนา ไม่น่ายินดี ไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย เป็นอารัมมณปัจจัยได้ แต่ไม่ใช่อารัมมณาธิปติปัจจัย

สภาพธรรมที่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย ต้องเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นที่ยินดีพอใจอย่างยิ่ง ได้แก่ จิตอื่นๆ ที่นอกจากโทสมูลจิต ๒ ดวง โมหมูลจิต ๒ ดวง และ ทุกขกายวิญญาณ ๑ ดวง เว้นจิต ๕ ดวงนี้แล้ว จิตอื่นๆ เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้

ไม่มีใครต้องการโทสมูลจิต โมหมูลจิต หรือทุกขกายวิญญาณ เพราะฉะนั้น สำหรับอารัมมณาธิปติปัจจัย ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยให้โลภมูลจิตเกิด เป็นปัจจัยให้ มหากุศลจิตเกิดก็ได้บ้าง ซึ่งท่านผู้ฟังจะพิจารณาได้ในชีวิตประจำวันของท่านว่า ขณะใดที่มีความปรารถนากุศลประเภทใดอย่างยิ่ง ขณะนั้น กุศลประเภทนั้นเป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ จึงเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย

ในคราวก่อนที่กล่าวถึงอารัมมณาธิปติปัจจัย ก็ได้กล่าวถึงโลกุตตรกุศลว่า เป็นปัจจัยแก่มหากุศลญาณสัมปยุตต์ และมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ สำหรับนิพพาน ก็เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยแก่โลกุตตรจิต ๘ ดวง มหากุศลญาณสัมปยุตต์ และ มหากิริยาญาณสัมปยุตต์

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ยังไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ย่อมมีจิตบ้าง หรือเจตสิกบ้าง หรือรูปบ้างเป็นอารมณ์ ซึ่งควรจะได้ทราบว่า ขณะใดเป็น อารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศล หรือของอกุศล เพื่อที่จะได้ละอารัมมณาธิปติปัจจัยของอกุศล คือ ของโลภะ ให้น้อยลง

ขอถามอีกครั้งหนึ่ง โทสเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

ไม่ได้

โทสมูลจิตเป็นสหชาตาธิปปัจจัยได้ไหม

ได้ เพราะว่าเป็นชวนจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ เพียงจิตและเจตสิก ก็จะต้องเห็นความต่างกัน

โทสมูลจิตเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม

ไม่ได้

โทสเจตสิกเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม

ไม่ได้

โลภเจตสิกเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม

ได้

โลภมูลจิตเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยได้ไหม

ได้

การศึกษาอภิธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด อภิ หมายความว่าละเอียดยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอภิวินัย หรือว่าอภิธรรม ก็เป็นธรรมส่วนที่ละเอียดจริงๆ ต้องฟังบ่อยๆ ทวนไปทวนมา ใจเย็นๆ ให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน มิฉะนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งยากแก่การที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมและไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน เพราะว่าสติอาจจะระลึกที่แข็ง ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ที่จะรู้ว่าลักษณะที่แข็งเป็น สภาพธรรมซึ่งไม่รู้อะไร เป็นรูป และลักษณะของสภาพที่กำลังรู้แข็ง ก็กำลังรู้ในแข็งที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นนามธรรม แต่ก็ยังไม่ได้ละการยึดถือทั้งแข็งและรู้แข็งว่า ไม่ใช่ตัวตน จนกว่าจะสะสมการปรุงแต่งด้วยการเป็นพหูสูตร คือ การเป็นผู้ฟัง จนกระทั่งค่อยๆ สะสมปรุงแต่งให้ปัญญาคมกล้าที่จะดับกิเลส ไม่ยึดถือ สภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1102

โมหเจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

ข้อนี้ไม่ยาก ไม่ใช่ฉันทเจตสิก ไม่ใช่วิริยเจตสิก ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก และไม่ได้กล่าวถึงจิตด้วย เพราะฉะนั้น โมหเจตสิกไม่ใช่สหชาตาธิปติปัจจัย

โมหมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม

ก็ไม่ได้อีก เพราะจิตที่จะเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ ต้องเป็นชวนจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุ ๒ แต่โมหมูลจิตประกอบด้วยโมหเหตุเพียงเหตุเดียว เพราะฉะนั้น โมหมูลจิตไม่ใช่จิตตาธิปติปัจจัย

สำหรับปัจจัยที่ ๔ คือ อนันตรปัจจัย และปัจจัยที่ ๕ คือ สมนันตรปัจจัย ซึ่งคงจะไม่มีใครสังเกตปัจจัยนี้ได้ เพราะว่าจิตทุกขณะเกิดและดับอย่างรวดเร็ว จิตที่เกิดและดับเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็ยาก ไม่เหมือนกับเหตุปัจจัยซึ่งพอสังเกตได้ หรือว่าอธิปติปัจจัยซึ่งพอที่จะรู้ได้ อารัมมณปัจจัยก็กำลังปรากฏในขณะนี้ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ แต่อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยไม่มีใครที่จะสังเกตรู้ได้ ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะประจักษ์การเกิดขึ้นดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

สำหรับอนันตรปัจจัย ยากแก่การที่จะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปว่า เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นและดับไป จิตดวงที่เกิดและดับไปเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น

ยากก็จริง แต่ว่าชีวิตนี้ไม่ปรากฏเลยว่าขาดสาย ตั้งแต่เกิด คือ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งถึงในขณะนี้ และต่อไปจนกระทั่งถึงจุติ ก็ไม่ปรากฏว่าขาดสาย เรื่องเก่าๆ ตั้งแต่เด็กน่าคิดไหมว่า ทำไมเกิดคิดขึ้นได้ ในวันหนึ่งๆ ใครกำลังคิดถึงเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่ผ่านไปนานหลายปี หลายสิบปี แต่ก็ยังมีจิตที่เกิดขึ้นทางมโนทวารทำให้คิดถึงเรื่องเก่าๆ ทั้งๆ ที่ดับไปหมดแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพราะการเกิดดับสืบต่อของจิตไม่ขาดสายตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั้งถึงในขณะนี้ ทำให้จิตดวงต่อไปมีปัจจัยที่จะนึกถึงเรื่อง ต่างๆ ที่ผ่านไปแล้วได้ ซึ่งในขณะที่กำลังนึกถึงบางท่านอาจจะไม่ระลึกเลยว่า เพราะปัจจัยอะไร หรือว่าทำไมจึงนึกถึงเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วได้ นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันที่ให้ทราบว่า แม้แต่การที่จิตจะคิดนึกเรื่องต่างๆ ก็เป็นเพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อสะสมมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่ขาดสายนั่นเอง

และข้อที่ควรทราบสำหรับอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย คือ ไม่เป็นปัจจัยแก่รูป

อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ได้แก่ จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นและเมื่อดับไปเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิด จิตเกิดซ้อนกันไม่ได้ จิตจะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวพร้อมกับเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ถ้าจิตและเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกันนี้ยังไม่ดับไป จิตดวงต่อไปจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิตที่กำลังเกิดในขณะนี้ต้องดับไปก่อน จึงเป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยให้จิตและเจตสิกต่อไปเกิดขึ้น แต่รูปไม่เป็นอนันตรปัจจัย เพราะว่ารูปทุกรูปซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้มีสมุฏฐาน คือ ธรรมที่ก่อตั้งให้เกิดขึ้น ๔ สมุฏฐาน แล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะสมุฏฐานใด คือ

รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน เรียกว่าจิตตชรูป

รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน เรียกว่ากัมมชรูป

รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน เรียกว่าอุตุชรูป

รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน เรียกว่าอาหารชรูป

เพราะฉะนั้น รูปมีสมุฏฐาน คือ ธรรมที่ก่อตั้งให้รูปเกิดขึ้น เพียง ๔ สมุฏฐาน แล้วแต่ว่ารูปนั้นจะเกิดขึ้นเพราะกรรม หรือเพราะจิต หรือเพราะอุตุ หรือเพราะอาหาร

แต่ว่ารูปไม่มีอนันตรปัจจัย หรือรูปไม่เป็นอนันตรปัจจัย ไม่ใช่ว่าเมื่อรูปนี้เกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้รูปอีกรูปหนึ่งเกิด ไม่ใช่อย่างนั้น แต่รูปอีกรูปหนึ่งเกิด เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิด หรือเพราะจิตเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิด หรือเพราะอุตุเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิด หรือเพราะอาหารเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิด แต่รูปไม่เป็น อนันตรปัจจัย หรือสมนันตรปัจจัยให้รูปอื่นเกิด

แสดงให้เห็นว่า สำหรับนามธรรม คือ จิตและเจตสิก เท่านั้น ที่เป็น อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยได้

ท่านผู้ฟังคงได้ยินคำว่า นิโรธสมาบัติ คือ ขณะที่พระอนาคามีบุคคลหรือ พระอรหันต์ผู้ได้บรรลุถึงอรูปฌานขั้นสูงสุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ในขณะนั้นจิตเป็นสภาพที่ละเอียดมาก และมีอารมณ์ที่ละเอียดมาก เพราะว่าอารมณ์ของจิตในขณะนั้นเป็นสัญญาอย่างละเอียดของอากิญจัญญายตนจิตซึ่งเป็นอรูปฌาน ที่ ๓ เพราะฉะนั้น จึงเป็นสภาพที่ประณีตและละเอียดมาก

ถ้าพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เข้านิโรธสมาบัติจะดับจิตและเจตสิกได้ คือ ไม่มีจิตและเจตสิกเกิดชั่วระยะหนึ่งแต่ ไม่เกิน ๗ วัน ซึ่งในขณะนั้นมีรูปที่เกิดเพราะกรรมแม้ว่าจะไม่มีจิตเลย และมีรูปที่เกิดเพราะอุตุ เพราะฉะนั้น มีรูปที่เกิดเพราะสมุฏฐานอื่น แต่ไม่มีรูปที่เกิดเพราะจิต เป็นสมุฏฐาน

แสดงให้เห็นว่า รูปไม่เป็นอนันตรปัจจัย เพราะว่ารูปที่ดับไปแล้วไม่ได้เป็นปัจจัยให้รูปอื่นเกิดต่อ แต่ที่รูปอื่นเกิดนั้นเพราะมีสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใด คือ มีจิตเป็นสมุฏฐาน หรือมีกรรมสมุฏฐาน หรือมีอุตุสมุฏฐาน หรือมีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1103


รับฟัง ... เรื่องของปัจจัยเป็นสิ่งที่รู้ยาก