สติปัฏฐานกับสติสัมปชัญญะ
โดย บ้านธัมมะ  27 ธ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 45424

ถ. ถ้าเป็นสติปัฏฐาน จะเกิดทันทีก็คงยาก ไม่เข้าใจ อาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยว่า สติปัฏฐานเกิด กับสติสัมปชัญญะเกิด ต่างกันอย่างไร

สุ. สติเป็นโสภณเจตสิก เป็นสภาพที่ระลึกได้ ถ้าระลึกเป็นไปในทาน ขณะนั้นก็มีการให้ทาน ถ้าระลึกเป็นไปในศีล ขณะนั้นก็มีการวิรัติทุจริต ถ้าจิตเป็นอกุศลและสติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ในสภาพจิตที่เป็นอกุศล ขณะนั้นก็เพราะสติ ซึ่งเป็นโสภณธรรมเกิดขึ้นระลึก และมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้รู้ คือ อาการของอกุศล ในขณะที่เห็นอกุศลด้วยกุศลจิต ขณะนั้นจิตนั้นประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะว่าไม่ใช่เพียงแต่นึกเรื่องของสภาพธรรมโดยที่ไม่มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏให้รู้

สติสัมปชัญญะ หมายความถึงขณะใดที่มีสภาพธรรมปรากฏให้รู้และสติระลึกได้ เพราะเป็นโสภณธรรม พร้อมด้วยสัมปชัญญะ คือ รู้ในลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้น จิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะเป็นกุศลจิต ที่สามารถเห็นอกุศลจิตตามความเป็นจริงว่าเป็นอกุศลธรรม ขณะที่รู้ว่าอกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ควรจะมี ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นละเว้นอกุศลธรรมนั้น เป็นสมถภาวนา เพราะจิตสงบได้

ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่เพียงแค่สงบชั่วคราว แต่มีความรู้ว่า สภาพธรรม ทุกอย่างไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง ก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ว่า ขณะที่เห็นในขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ก็เป็น สภาพธรรมที่มีจริง แต่ถ้ายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ สติปัฏฐานก็ไม่สามารถระลึกได้ถูกต้อง เพราะว่าขณะนี้ก็ไม่ใช่ไม่เห็น ขณะนี้ก็กำลังเห็น แต่ปัญญาที่จะรู้ตามความเป็นจริงพร้อมสติว่า ขณะที่เห็นนี้เป็นแต่เพียงสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ต้องอาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมมากจนกระทั่งมีความรู้จริงเป็น สัจจญาณ เพราะว่าอริยสัจจะมี ๓ รอบ รอบที่ ๑ คือ สัจจญาณ มีการฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม มีการเข้าใจในสัจจะ ในความจริงของปรมัตถธรรม รู้ใน สภาพที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นกว้างขวางละเอียดขึ้น จนกระทั่งกิจจญาณคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งปกติเป็นมรรค ๕ องค์ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

เช่น ทางตาในขณะนี้ ที่จะเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งทุกคนก็ฟังมานานเหลือเกินว่า ไม่มีตัวตน มีแต่นามธรรมและรูปธรรม ขณะเห็นขณะนี้เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ อาการรู้ ไม่ควรจะให้เพียงผ่านไป แต่ควรศึกษา พิจารณา ระลึกในขณะที่กำลังเห็น ซึ่งสามารถรู้ได้ว่า รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น ท่านที่กำลังนั่ง ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ถ้านั่งนิ่งๆ เฉยๆ ก็เหมือนท่อนไม้ ไม่ต่างกันเลย เพราะว่ารูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ แต่ถ้าท่านกำลังยืนอยู่ พิจารณาให้เข้าใจให้รู้จริงๆ ว่า ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เวลาที่ยังไม่มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ คือ ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่รูปไม่เคลื่อนไหวเลย นิ่ง ตรง แข็งเหมือนท่อนไม้ การเห็นเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งในพระธรรมแสดงว่า เหมือนออกมาจากรูป เพราะที่รูปมีการเห็น ตรงตาที่กำลังเห็นในขณะนี้ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้

นี่คือการที่จะพิจารณาให้สติและปัญญาระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะชิน ไม่ต้องไปมุ่งเรื่องสมาธิ หรือเรื่องอื่นเลย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2039

รับฟัง ...

สติปัฏฐานกับสติสัมปชัญญะ