1.พระโพธิสัตว์ที่ถูกทำนายจากพระพุทธเจ้าแล้ว จะสารมารถไปเกิดเป็นอะไรได้บ้างครับ สามารถตกนรก กำเนิดเดรัจฉานได้ไหมครับ หรือหากมีข้อมูลให้อ่าน ขอความกรุณาทีนะครับ
2.ผมเคยได้ยินคำว่า
พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย ไม่พูดเลย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
คำนี้สามารถตีความอย่างไรได้บ้างครับ ให้สอดรับกับภาษิตของพระพุทธเจ้า หรือ ไม่สามารถตีความให้สอดรับกันได้ อยากขอรับฟังความเห็นครับ
ขอความกรุณาด้วยครับ
ขอบคุณครับผม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
*แสดงความเห็นในคำถามข้อที่ ๑
พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ข้องอยู่ในการตรัสรู้ บำเพ็ญบารมีคุณความดีประการต่างๆ เพื่อถึงการตรัสรู้ พระโพธิสัตว์มี ๒ ประเภท คือ
๑. นิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ย่อมเที่ยงแท้ คือ แน่นอน ต่อการที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เช่น พระโพธิสัตว์ในพระชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบส
๒. อนิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลยว่าจะได้เป็นพระพุทธแจ้า เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสะสมอบรมเจริญบารมีด้วยการคิดอยู่ในใจและการเปล่งวาจา ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
การเกิดในอบายภูมิของพระโพธิสัตว์ ก็ย่อมเป็นไปได้ ตามควรแก่เหตุคืออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีข้อความแสดงไว้ชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายภูมิทั้ง ๔
อย่างเช่นข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๓๒ ดังนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่งเพราะอำนาจชาติและ เพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อย และโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะอย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย. เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ หลายพันปี ...
หลังจากที่พระโพธิสัตว์ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นพระโพธิสัตว์แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ (นิยตโพธิสัตว์) มีคุณสมบัติมากมาย ตามข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๑๐๙
พระโพธิสัตว์ผู้มีอภินิหาร (ตั้งความปรารถนาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) สำเร็จแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่ถึงอภัพฐานะ ๑๘ ประการ จริงอยู่ พระโพธิสัตว์นั้น จำเดิมแต่นั้น ย่อมไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนบ้า ๑ ไม่เป็นคนใบ้ ๑ไม่เป็นคนแคระ ๑ ไม่เกิดในชนชาติมิลักขะ ๑ ไม่เกิดในท้องของนางทาสี ๑ ไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑ ไม่เป็นคนกลับเพศ ๑ ไม่ทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง ๑ ไม่เป็นคนโรคเรื้อน ๑ อัตภาพสุดท้ายไม่เวียนมาในกำเนิดดิรัจฉาน ๑ ไม่มีอัตภาพใหญ่กว่าช้าง ๑ ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌามตัณหิกเปรต ๑ ไม่เกิดในจำพวกกาลกัญชิกาสูรทั้งหลาย ๑ ไม่เกิดในอเวจีนรก ๑ ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑ ไม่เป็นมารในสวรรค์ชั้นกามาวจร ไม่เกิดในอสัญญีภพในรูปาวจรภูมิ ไม่เกิดในภพสุทธาวาส ไม่เกิดในอันติมภพ ไม่ก้าวไปสู่จักรวาลอื่น ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๖๙๑
พระนิยตโพธิสัตว์ ถึงพร้อมด้วยองค์ครบถ้วนอย่างนี้ แม้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนานนับร้อยโกฏิกัปป์ ก็ไม่เกิดในอเวจี และในโลกันตริกนรก ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต กาฬกัญชิกาสูร แม้เข้าถึงทุคติ ก็ไม่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ ก็ไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด โสตก็ไม่วิกลบกพร่อง ไม่เป็นคนประเภทใบ้ ไม่เป็นสตรี ไม่เป็นคนสองเพศ และไม่เป็นบัณเฑาะก์. พระนิยตโพธิสัตว์ ไม่เป็นผู้นับเนื่องดังกล่าว พ้นจากอนันตริยกรรม มีโคจรบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง ไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นว่ากรรมเป็นอันทำมีผล แม้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลาย ก็ไม่เข้าถึงอสัญญีภพ ทั้งไม่มีเหตุที่ไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส เป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ เป็นสัตบุรุษ ไม่เกาะเกี่ยวในภพใหญ่น้อย บำเพ็ญแต่โลกัตถจริยาทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งปวง
*แสดงความเห็นในคำถามข้อที่ ๒
การพูดขอให้พิจารณาจากวาจาสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๓๙ ดังนี้" ดูกร ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการเป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียนองค์ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล ๑ เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน ๑ เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน
สิ่งที่เป็นประโยชน์ ยิ่งมาก ยิ่งดี แต่สิ่งที่เป็นโทษ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีประโยชน์
จะเห็นได้ว่า การพูด เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวัน จำเป็นจะต้องพูดคุยสนทนากับผู้อื่นอยู่เสมอ และเป็นที่น่าพิจารณาว่า ในวันหนึ่งๆ โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ย่อมเป็นไป หวั่นไหวด้วยอำนาจของ อกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ ตามการสะสม แม้แต่การพูดก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าจะพูดด้วยกุศลจิตตลอด บางครั้งก็พูดด้วย อกุศลจิต จึงมี วจีทุจริต เกิดขึ้นค่อนข้างมากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของการพูดเพ้อเจ้อแต่เวลาที่หิริ (ความละอายต่ออกุศลธรรม) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) มีกำลังมากขึ้น ก็จะทำให้พูดสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ก่อนอาจจะพูดไปโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร แต่เวลาที่หิริโอตตัปปะเกิดขึ้น จะทำให้พิจารณาเห็นได้ว่าสิ่งใดที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ก็สามารถที่จะเว้นไม่พูดในขณะนั้นได้
ไม่ได้ห้ามการพูด ไม่ใช่ไม่ให้พูด แต่สิ่งใดที่พูดไปแล้ว เป็นการเพิ่ม อกุศลให้กับทั้งคนพูดและคนฟัง ก็ไม่ควรพูด แต่ถ้าสิ่งใด เมื่อพูดไปแล้ว เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่ง กุศลธรรม ควรพูด (แต่จะเป็นไปได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและเห็นประโยชน์) ในกรณีที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ไม่ควรนิ่งเฉย ควรอย่างยิ่งที่จะพูด เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลให้เขาเข้าใจตามความเป็นจริง หรือ ให้เขาแก้ไขความประพฤติที่ไม่เหมาะสมทั้งทางกาย ทางวาจา ด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา พร้อมกันนั้นก็ยังจะต้องดูกาละ ที่สมควรด้วย การพูดนั้นจึงจะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับฟังเตือนแล้ว ไม่ฟัง ก็ไม่ควรที่จะพูดให้มากไปกว่านั้น พึงมีความเป็นกลางไม่หวั่นไหวไปด้วยโทสะ ด้วยความเข้าใจว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Anyana และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อ้างอิงจาก ความคิดเห็น 1 โดย khampan.a
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
*แสดงความเห็นในคำถามข้อที่ ๑
พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ข้องอยู่ในการตรัสรู้ บำเพ็ญบารมีคุณความดีประการต่างๆ เพื่อถึงการตรัสรู้ พระโพธิสัตว์มี ๒ ประเภท คือ
๑. นิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ย่อมเที่ยงแท้ คือ แน่นอน ต่อการที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เช่น พระโพธิสัตว์ในพระชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบส
๒. อนิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลยว่าจะได้เป็นพระพุทธแจ้า เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสะสมอบรมเจริญบารมีด้วยการคิดอยู่ในใจและการเปล่งวาจา ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
การเกิดในอบายภูมิของพระโพธิสัตว์ ก็ย่อมเป็นไปได้ ตามควรแก่เหตุคืออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีข้อความแสดงไว้ชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายภูมิทั้ง ๔
อย่างเช่นข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๓๒ ดังนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่งเพราะอำนาจชาติและ เพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อย และโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะอย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย. เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ หลายพันปี ...
หลังจากที่พระโพธิสัตว์ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นพระโพธิสัตว์แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ (นิยตโพธิสัตว์) มีคุณสมบัติมากมาย ตามข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๑๐๙
พระโพธิสัตว์ผู้มีอภินิหาร (ตั้งความปรารถนาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) สำเร็จแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่ถึงอภัพฐานะ ๑๘ ประการ จริงอยู่ พระโพธิสัตว์นั้น จำเดิมแต่นั้น ย่อมไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนบ้า ๑ ไม่เป็นคนใบ้ ๑ไม่เป็นคนแคระ ๑ ไม่เกิดในชนชาติมิลักขะ ๑ ไม่เกิดในท้องของนางทาสี ๑ ไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑ ไม่เป็นคนกลับเพศ ๑ ไม่ทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง ๑ ไม่เป็นคนโรคเรื้อน ๑ อัตภาพสุดท้ายไม่เวียนมาในกำเนิดดิรัจฉาน ๑ ไม่มีอัตภาพใหญ่กว่าช้าง ๑ ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌามตัณหิกเปรต ๑ ไม่เกิดในจำพวกกาลกัญชิกาสูรทั้งหลาย ๑ ไม่เกิดในอเวจีนรก ๑ ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑ ไม่เป็นมารในสวรรค์ชั้นกามาวจร ไม่เกิดในอสัญญีภพในรูปาวจรภูมิ ไม่เกิดในภพสุทธาวาส ไม่เกิดในอันติมภพ ไม่ก้าวไปสู่จักรวาลอื่น ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๖๙๑
พระนิยตโพธิสัตว์ ถึงพร้อมด้วยองค์ครบถ้วนอย่างนี้ แม้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนานนับร้อยโกฏิกัปป์ ก็ไม่เกิดในอเวจี และในโลกันตริกนรก ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต กาฬกัญชิกาสูร แม้เข้าถึงทุคติ ก็ไม่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ ก็ไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด โสตก็ไม่วิกลบกพร่อง ไม่เป็นคนประเภทใบ้ ไม่เป็นสตรี ไม่เป็นคนสองเพศ และไม่เป็นบัณเฑาะก์. พระนิยตโพธิสัตว์ ไม่เป็นผู้นับเนื่องดังกล่าว พ้นจากอนันตริยกรรม มีโคจรบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง ไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นว่ากรรมเป็นอันทำมีผล แม้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลาย ก็ไม่เข้าถึงอสัญญีภพ ทั้งไม่มีเหตุที่ไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส เป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ เป็นสัตบุรุษ ไม่เกาะเกี่ยวในภพใหญ่น้อย บำเพ็ญแต่โลกัตถจริยาทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งปวง
*แสดงความเห็นในคำถามข้อที่ ๒
การพูดขอให้พิจารณาจากวาจาสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๓๙ ดังนี้" ดูกร ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการเป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียนองค์ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล ๑ เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน ๑ เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน
สิ่งที่เป็นประโยชน์ ยิ่งมาก ยิ่งดี แต่สิ่งที่เป็นโทษ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีประโยชน์
จะเห็นได้ว่า การพูด เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวัน จำเป็นจะต้องพูดคุยสนทนากับผู้อื่นอยู่เสมอ และเป็นที่น่าพิจารณาว่า ในวันหนึ่งๆ โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ย่อมเป็นไป หวั่นไหวด้วยอำนาจของ อกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ ตามการสะสม แม้แต่การพูดก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าจะพูดด้วยกุศลจิตตลอด บางครั้งก็พูดด้วย อกุศลจิต จึงมี วจีทุจริต เกิดขึ้นค่อนข้างมากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของการพูดเพ้อเจ้อแต่เวลาที่หิริ (ความละอายต่ออกุศลธรรม) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) มีกำลังมากขึ้น ก็จะทำให้พูดสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ก่อนอาจจะพูดไปโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร แต่เวลาที่หิริโอตตัปปะเกิดขึ้น จะทำให้พิจารณาเห็นได้ว่าสิ่งใดที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ก็สามารถที่จะเว้นไม่พูดในขณะนั้นได้
ไม่ได้ห้ามการพูด ไม่ใช่ไม่ให้พูด แต่สิ่งใดที่พูดไปแล้ว เป็นการเพิ่ม อกุศลให้กับทั้งคนพูดและคนฟัง ก็ไม่ควรพูด แต่ถ้าสิ่งใด เมื่อพูดไปแล้ว เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่ง กุศลธรรม ควรพูด (แต่จะเป็นไปได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและเห็นประโยชน์) ในกรณีที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ไม่ควรนิ่งเฉย ควรอย่างยิ่งที่จะพูด เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลให้เขาเข้าใจตามความเป็นจริง หรือ ให้เขาแก้ไขความประพฤติที่ไม่เหมาะสมทั้งทางกาย ทางวาจา ด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา พร้อมกันนั้นก็ยังจะต้องดูกาละ ที่สมควรด้วย การพูดนั้นจึงจะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับฟังเตือนแล้ว ไม่ฟัง ก็ไม่ควรที่จะพูดให้มากไปกว่านั้น พึงมีความเป็นกลางไม่หวั่นไหวไปด้วยโทสะ ด้วยความเข้าใจว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Anyana และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบขอบพระคุณอย่างยิ่งครับอาจารย์ ที่ช่วยเมตตาตอบข้อสงสัยครับ
แสดงว่า พระโพธิสัตว์ที่แม้ถูกพยากรณ์แล้ว ก็ยังมีโอกาสตกนรกอยู่ในบางขุมใช่มั้ยครับ ยกเว้นคือ อเวจี และโลกันต์
ผมเข้าใจถูกไหมครับอาจารย์
ขอความกรุณาถามอีกครั้งครับผม
ขอบพระคุณครับ
เรียนความคิดเห็นที่ ๓ ครับ
ยังเป็นไปได้ครับ
กราบขอบพระคุณอย่างยิ่งครับอาจารย์