พระโสดาบันไม่เข้าใจผิดว่าเป็นพระอรหันต์
โดย nattawan  8 มิ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50128

ท่านผู้ฟังถามว่า ทำไมพระโสดาบันท่านไม่เข้าใจผิดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ส่วนคนที่ไม่ใช่พระโสดาบันแต่ได้ฌานเข้าใจผิดว่า ตนเองเป็นเป็นพระอรหันต์

แสดงว่า ไม่รู้ว่าพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร และเป็นได้เพราะเหตุใด เมื่อไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ แต่พระโสดาบันเป็นผู้รู้ตรงตามความเป็นจริง โลภมูลจิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยกับผู้ที่อบรมเจริญปัญญาที่จะบรรลุความเป็น พระโสดาบัน เพราะฉะนั้น พระโสดาบันบุคคลรู้จักสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนตามที่สะสมมาตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าหมดโลภะก่อนและจึงเป็น พระโสดาบันอย่างที่พยายามกันนักหนาว่า จะไม่ให้มีโลภะเลยจะได้เป็นพระโสดาบัน ซึ่งนั่นผิด เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่า โลภะไม่ใช่ตัวตน ถ้าโลภะไม่เกิดให้รู้

แต่พระโสดาบันนั้น เพราะระลึกรู้ลักษณะของโลภะจึงรู้ว่า แม้โลภะก็ไม่ใช่ตัวตน จนกระทั่งสามารถจะประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมจึงรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน สามารถที่จะดับสักกายทิฏฐิที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ด้วยเหตุนี้พระโสดาบันจึงรู้ว่า ยังมีโลภะเพราะ เหตุปัจจัย ยังมีโทสะเพราะเหตุปัจจัย ยังมีโมหะเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่มีสักกายทิฏฐิหรือความเห็นผิดใดๆ เลย เพราะดับความเห็นผิดและความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเป็นสมุจเฉทไม่เกิดอีกเลย และไม่เข้าใจผิดด้วยว่า ท่านเป็น พระสกทาคามีบุคคล เพราะเหตุว่าคุณธรรมของท่านยังไม่เสมอกับพระสกทาคามีบุคคล ยังมีโลภะอย่างแรง อย่างหยาบ ยังมีโทสะอย่างแรง อย่างหยาบ ไม่ใช่อย่างบางหรืออย่างละเอียดอย่างพระสกทาคามี และเมื่อท่านยังมีโลภะ โทสะอย่างหยาบหรือว่าอย่างแรงอยู่ ก็ยังไม่ใช่พระสกทาคามี

พระสกทาคามีซึ่งมีโลภะอย่างบางก็รู้ว่า ท่านยังไม่ใช่พระอนาคามี เพราะถึงจะบางก็ยังเป็นโลภะ ซึ่งต้องรู้ตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่เป็นโลภะอย่างหยาบจะไม่เกิดขึ้นกับพระสกทาคามีอีกเลย เมื่อไม่มีสภาพธรรมที่เป็นโลภะอย่างหยาบปรากฏให้สติระลึกรู้ ท่านจึงเห็นโลภะอย่างละเอียด ซึ่งท่านจะต้องอบรมจนกว่าปัญญาจะดับแม้โลภะอย่างละเอียดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงจะเป็นพระอนาคามีบุคคล

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาจะไม่ทราบเลยว่า ขณะไหนเป็นโลภะอย่างหยาบ หรือว่าอย่างละเอียด ที่คล้อยตามอารมณ์ไปเมื่อครู่นี้ ไม่รู้เลยว่าเป็นโลภะ ใช่ไหม หยาบหรือละเอียด แต่ผู้ที่เป็นพระอนาคามีไม่คล้อยตามด้วยโลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะที่ปรากฏเลย

เห็นความต่างกันจริงๆ ของสภาพธรรมว่า ผู้ที่เป็นปุถุชน ปุถุ คือ หนาแน่นด้วยกิเลส แต่มองไม่เห็นใช่ไหมว่า หนาแน่นมาก เมื่อเทียบส่วนแล้วหนาแน่นมาก จริงๆ เพราะมีทั้งโลภะ มีทั้งทิฏฐิ แต่พระโสดาบันท่านละทิฏฐิแล้ว เพราะฉะนั้น โลภมูลจิตของท่านน้อยกว่าผู้ที่เป็นปุถุชน เพราะว่าไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด และสำหรับพระสกทาคามี โลภะของท่านแม้มีก็บางกว่า ไม่หยาบเหมือนเดิมเท่ากับ พระโสดาบันบุคคล แต่พระสกทาคามีซึ่งมีโลภะอย่างบาง ก็ยังมีครอบครัว มีบุตรภรรยา เพราะฉะนั้น ให้เห็นความลึกความเหนียวแน่นของอกุศล ซึ่งแม้ว่าจะแยกประเภทออกไปแล้ว ก็ยังมีความละเอียด ความหยาบหลายขั้น และให้คิดถึงผู้ที่สามารถอบรมเจริญปัญญาที่ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นสมุจเฉท เป็นพระอนาคามีบุคคล เคยติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เคยละการติดอย่างหยาบในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จนกระทั่งการติดอย่างละเอียดที่จะคล้อยตามไปด้วยโลภะก็ไม่มีแม้มีการเห็น นี่ต้องเป็นปัญญาที่ละเอียดมากที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็นในขณะนี้ คล้อยไปตามอารมณ์ที่ปรากฏทางตาของท่านหรือเปล่า เพราะฉะนั้น สติปัญญาของท่านต้องคมขึ้น ละเอียดขึ้น จึงสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสต่อไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้

เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่หลอกลวงตัวเองและคนอื่น

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1032



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 9 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ