
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม 1 ภาค 6 - หน้าที่ 668
[๓๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะตัณหานั่นเองดับเพราะ สำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นผู้มีตัณหาปราศจากไปแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม 2 ภาค 1 - หน้าที่ 543 -544
ตัณหาเป็นปัจจัยแก่อุปาทาน
ก็บรรดาอุปาทานเหล่านี้ ตัณหาเป็นปัจจัยอย่างเดียวแก่อุปาทานแรก ตัณหาแม้นั้น เป็นปัจจัย ๗ อย่างบ้าง ๘ อย่างบ้าง แก่อุปาทาน ๓ ที่เหลือ.
ก็ในอุปาทาน ๔ ที่ทรงแสดงไว้ในนิเทศนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ กามตัณหาย่อมเป็นปัจจัยอย่างเดียว ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย แก่กามุปาทานแรก เพราะเกิดในอารมณ์ทั้งหลายที่พอใจด้วยตัณหา แต่ตัณหานั้น ย่อมเป็นปัจจัย ๗ อย่าง ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย อวิคตปัจจัย และเหตุปัจจัย หรือเป็นปัจจัย ๘ อย่าง พร้อมด้วยอุปนิสสยปัจจัย แก่อุปาทาน ๓ ที่เหลือ อนึ่ง เมื่อใดตัณหานั้นเป็นปัจจัย ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย เมื่อนั้นตัณหานั้นย่อมเกิดพร้อมกันทีเดียว.
นิเทศอุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย จบ
อ.ณภัทร: ความต้องการเป็นความแนบเนียนที่มาในทุกรูปแบบในชีวิตประจำวัน เคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวเสมอๆ ว่า ถ้าไม่เห็นโลภะก็ละโลภะไม่ได้ เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำให้ค่อยๆ เห็นโลภะจริงๆ เพราะว่าโลภะเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง จะมีโอกาสรู้ได้ไหม?
อ.ณภัทร: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักพระองค์ไหม?
อ.ณภัทร: ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้จักพระองค์เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทเจ้าเมื่อได้เข้าใจทุกคำที่พระองค์ตรัส เพื่ออนุเคราะห์ให้คนอื่นได้ไตร่ตรองได้พิจารณาได้เข้าใจความจริง ซึ่งใครก็บันดาลไม่ได้ พระองค์ก็ทรงบันดาลไม่ได้ เพราะความจริง คือทุกอย่างเป็นอนัตตา จากที่ได้ทรงประจักษ์แจ้งก็ได้ทรงแสดงทุกคำ ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ว่าอะไรที่มีจริงเป็นอนัตตา เห็นไหม?
เริ่มมีความเข้าใจในความหมายของคำว่า อนัตตา และสิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่ง มีจริง เปลี่ยนให้ไม่จริงไม่ได้
เพราะฉะนั้น อีกภาษาหนึ่งเขาใช้คำว่า ธรรมะ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ว่าอะไรที่มีจริงเป็นธรรมะทั้งนั้น
อ.ณภัทร: เพราะว่า ชีวิตประจำวันก็ไม่ปราศจากราคะ ก็คือโลภะ และโทสะด้วย โมหะด้วย ก็ยิ่งเพิ่มพูนไม่เบาบางเลยถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่จะค่อยๆ ขัดเกลาให้เบาบางลงครับ
ท่านอาจารย์: แล้วรู้ไหมว่า ชีวิตจริงๆ ก็มี เห็น แล้วไปคิดถึงโลภะ มีได้ยินแล้วก็ไปคิดถึงโลภะ แล้วเห็นเป็นธรรมะหรือเปล่า? ได้ยินเป็นธรรมะหรือเปล่า? ต่างกับโลภะหรือเปล่า? นี่ค่ะ ความจริงเปลี่ยนไม่ได้เลย ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จนรู้ความจริงว่า เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นตามที่เป็นจริงอย่างนั้น และสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดแล้วก็ต้องดับทันทีด้วยไม่รอช้าเลย เพราะมีปัจจัยให้เกิด เกิดแล้วก็ต้องดับ
อ.ณภัทร: ดูเหมือนสภาพธรรมะเกิดรวมกันไปหมดเลยครับท่านอาจารย์ รวมกันหมดจนเป็นเรื่องราว เลยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป
ท่านอาจารย์: นั่นแหละ! จึงต้องอาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อาศัยความคิดของคนโน้นความคิดของคนนั้นหรือความคิดของเราเอง แต่พอได้ฟังแล้ว คำนั้นจริงไหม? กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
ถ้าไม่มีคำของพระองค์ จะไม่มีการสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง
เพราะฉะนั้น จึงเคารพสูงสุดในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหากรุณาคุณ ทรงบำเพ็ญบารมีแสนยากเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นกว่าจะได้ตรัสรู้ความจริงที่กำลังทรงแสดงให้เราได้ฟัง เริ่มทีละคำ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ พิสูจน์แล้ว!! รู้จักธรรมะไหม? สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่คิดก็ตามคำ พูดคำ แต่ว่าไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น พูดถึงธรรมะก็พูดเลย อะไรเป็นธรรมะ จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่
แต่ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง กว่าจะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ก็ต้องเป็นสิ่งที่กำลังมีให้รู้เพื่อจะเข้าใจว่า ความจริงจริงๆ ของสิ่งนั้นคืออะไร? เช่น เห็นมีจริง เห็นเป็นอื่นไปไม่ได้เลยเพราะกำลังเห็น แต่เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จึงเข้าใจขณะที่เห็นซึ่งไม่มีใครทั้งนั้น ก็เป็นเราเห็น
อ.ณภัทร: ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมากๆ ครับ แต่หัวใจจริงๆ ก็คือรู้ในความเป็นธรรมะ ก็คือสิ่งที่มีจริงซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันไป อันนี้เป็นพื้นฐานแรกๆ ที่เป็นความสำคัญที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นละเอียดขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงมากในความจริง เพราะธรรมะเป็นธรรมะ จะเป็นเรา หรือเป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งถ้าไม่รวมกันก็จะไม่ปรากฏเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ถ้าแยกออกโดยละเอียดยิ่ง
อ.ณภัทร: ดังนั้น ในวันหนึ่งๆ การที่อกุศลธรรมทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ จะเพิ่มพูนขึ้นหนาแน่นขึ้นไพบูลย์ขึ้นก็เพราะว่าไม่ได้ระลึกเลยไม่ได้พิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีเลย ก็เป็นไปกับอกุศลทั้งหลาย ก็ไม่รู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริงเลย ก็เป็นอย่างนั้นเกือบทุกวันครับ
ท่านอาจารย์: เพราะความรู้เป็นความรู้ ไม่ใช่เป็นใครทั้งสิ้น อยู่ดีๆ จะรู้ขึ้นมาได้หรือ ถ้าไม่ได้ฟัง ฟังแล้วไม่ไตร่ตรองให้ละเอียดจะรู้ความจริงได้ไหม? ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น มีแน่ที่ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจ เพราะถ้าไม่ฟังเลย คิดเองเท่านั้น ผิดหรือถูก? คิดถูกก็แปลกมากนะเพราะว่าใครจะคิดว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย มีแต่เพียงสิ่งที่เห็น และสิ่งที่ถูกเห็นในขณะที่เห็นเท่านั้น แต่ละหนึ่งขณะๆ ความจริงแท้ขณะนั้น
อ.ณภัทร: นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์จริงๆ ครับว่า ถ้าไม่ได้อาศัยพระปัญญาของพระผู้มีพระภาค เราไม่สามารถจะรู้หรือคิดตามพิจารณาได้เลยว่า สิ่งที่ถูกเห็น ไม่ใช่เห็นครับ เพียงแค่นี้ก็ประโยชน์มหาศาลครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ลืม เห็นไหม? ฟังแล้วก็ลืมตามปัจจัยที่สะสมมาที่จะไม่คิดถึง เพราะเคยคิดอย่างอื่น
อ.ณภัทร: ดังนั้น การฟังแล้ว เข้าใจขึ้นๆ ๆ นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้คิดถึงสิ่งที่กำลังมีได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อมีปัจจัยพอ สะสมอะไรมามากก็มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดมาก ส่วนสิ่งที่สะสมมาน้อยมากต้องมีกำลังอีกเท่าไหร่ที่จะระลึกถึงได้ แม้ขณะนั้นก็ต้องรู้ว่าเป็นอะไร เห็นไหม?
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
ตัณหาเป็นปัจจัยแก่อุปาทาน [วิภังค์]
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
มั่นคงว่าธรรมเป็นธรรมจึงจะละโลภะได้
ปัญญาละโลภะ
ไม่เห็นความติดข้อง ก็ละโลภะไม่ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ