Thai-Hindi 26 April 2025
- (คุณอาช่า - เราสนทนาธรรม เรื่องรูปและจิต และเราสนทนาเรื่องเจตสิก อยากคุยเรื่องนั้นต่อ) ได้ยินชื่อว่า “เจตสิก” และความหมายของเจตสิกคืออะไร (เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดกับจิตและรู้อารมณ์ที่จิตรู้และต้องเกิดกับจิต) มีความหมายหรือว่าความจริงเป็นอย่างนี้
- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม (มี) เดี๋ยวนี้มีเจตสิกไหม (มี) เริ่มรู้ว่า ไม่ได้มีแต่จิตที่เป็นธาตุรู้ ยังมีธาตุรู้อีกประเภท ๑ ซึ่งเป็นสภาพรู้แต่ต่างกับจิตจึงใช้คำว่า “เจตสิกะ” เพราะเหตุว่า สภาพรู้จะเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันตามความเป็นจริงจิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกได้ไหม เจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตได้ไหม แล้วจิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดด้วยได้ไหม การที่จิตต้องเกิดกับเจตสิกและเจตสิกต้องเกิดกับจิตจหมายความว่าอะไร (จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ ต้องเกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยกันและกัน)
- เพราะต้องอาศัยกันเกิดขึ้นจิตต้องอาศัยเจตสิกจึงเกิดได้ เจตสิกต้องอาศัยจิตจึงเกิดได้และต้องเกิดพร้อมกัน แยกกันไม่ได้เลยต้องเกิดพร้อมกัน พร้อมกันภาษาบาลีว่าอะไร (สหชาต) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของแต่ละคำ ธรรมที่เกิดพร้อมกันคือ สหชาต เพราะฉะนั้นการเกิดกับเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยเพราะต้องเกิดพร้อมกัน
- จิตเกิดขึ้นแล้วดับไหม เจตสิกเกิดแล้วดับไหม จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน จิตดับก่อนเจตสิกยังไม่ดับได้ไหม เจตสิกดับโดยจิตไม่ดับได้ไหม เพราะฉะนั้นสภาพรู้นามธรรมที่เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เจตสิกก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เกิดพร้อมกันแยกกันไม่ได้และเป็นสภาพรู้จึงรู้อารมณ์เดียวกัน
- จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียว แต่จิตไม่ใช่เจตสิกและเจตสิกไม่ใช่จิต จิตและเจตสิกทำกิจต่างกันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นในขณะที่จิตและเจตสิกเกิดขึ้นรู้อารมณ์ จะรู้ได้อย่างไรว่า นี่จิตนั่นเจตสิก (รู้โดยกิจที่ต่างกัน) ต่างกันอย่างไร (จิตรู้แจ้งอารมณ์ เจตสิกไม่รู้เหมือนจิต เช่น เวทนารู้โดยกิจของตัวเอง สัญญารู้โดยกิจของตัวเอง)
- เพราะฉะนั้นก็เข้าใจจิตเข้าใจเจตสิกแล้ว เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีทั้งจิตและเจตสิก) มีคุณอาช่าไหม (ไม่มี) สัจจธรรม สัจจวาจา ค่อยๆ เข้าใจจนธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ใคร ไม่เป็นของใคร เป็นอนัตตา เกิดมาแล้วขณะไหนไม่มีธรรม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อยู่ท่ามกลางธรรมทั้งหมดทุกอย่างเป็นธรรมใช่ไหม เพระฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจด้วยตัวเอง วันนี้เดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร (เวลานี้มีเสียง) เวลานี้มีเสียง เป็นธรรมอะไร (รูปธรรม) ถ้าไม่มีธาตุรู้ที่ได้ยิน เสียงจะปรากฏได้ไหม (ไม่ได้) ขณะที่เสียงปรากฏขณะนั้นจิตต้องเกิดรู้เสียงใช่ไหม เจตสิกที่เกิดกับจิตได้ยินเสียงรู้เสียงด้วยหรือเปล่า
- จิตที่ได้ยินเสียงเกิดกี่ขณะ (๑ ขณะ) เก่งมาก ขณะที่จิตได้ยินเสียงเกิดขึ้น ๑ ขณะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม (เกิดร่วมกัน) เจตสิกอะไรบ้างเกิดกับจิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง (มี ๗ แต่นึกออกแค่ ๔) เพราะฉะนั้นไม่ใช่สำหรับจำแต่ต้องเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นเอ่ยชื่อเจตสิกทีละ ๑ ที่เกิดกับจิตเห็น (ผัสสะ) เพราะฉะนั้นไม่ใช่ศึกษาธรรมโดยชื่อแต่ศึกษาให้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร ถ้าศึกษาธรรมเพียงโดยชื่อและจำชื่อจะไม่รู้จักธรรม ตลอดชีวิตทุกชาติมีแต่ธรรมแต่ไม่ใช่รู้เพียงชื่อของธรรม
- การรู้ความจริงของธรรมเพื่อรู้ว่า เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมเป็นธรรม เป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินชื่อของธรรมแล้วพูดตาม ไม่ได้รู้จักธรรมนั้น ถ้าไม่รู้จักธรรมรู้จักแต่ชื่อธรรม ไร้ประโยชน์ มีประโยชน์อะไรที่มีแต่ธรรมแล้วรู้จักเพียงชื่อของธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคำ ทุกชื่อขอธรรมแต่ละ ๑ ๑ ๑ แสดงความเป็นจริงที่เริ่มทำให้คุนเคยที่จะเข้าใจธรรมนั้นได้
- เดี๋ยวนี้มีผัสสะเจตสิกไหม (มี) รู้หรือจำ (แค่จำ) จนกว่าจะรู้ เดี๋ยวนี้มีผัสสะเจตสิก ผัสสะเจตสิกเดี๋ยวนี้รู้อะไร (รู้เสียง) ผัสสะเจตสิกรู้เสียงโดยอย่างไร (ใช้คำว่า touch ในภาษาอังกฤษ) แล้วผัสสะเจตสิกเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม (ไม่เห็น) ถูกต้อง เพราะผัสสะเจตสิกทำกิจกระทบไม่ได้ทำกิจเห็น เมื่อผัสสะกระทบสิ่งที่กระทบตาทางตา จิตจะไม่รู้อารมณ์ที่กระตาทางตาได้ไหม (ไม่ได้) แสดงให้เห็นว่า ผัสสะทำกิจกระทบสิ่งที่จิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้น เกิดพร้อมจิตพร้อมกับเจตสิกที่เป็นผัสสะเกิดขึ้นกระทบอารมณ์ จิตเกิดพร้อมกันทันทีรู้อารมณ์นั้นทันที
- เพราะฉะนั้นผัสสะกระทบเสียงแล้วจิตไม่รู้เสียงแต่เห็นสีได้ไหม (ไม่ได้) ผัสสะกระทบนิพพานได้ไหม (เมื่อใดนิพพานเป็นอารมณ์ตอนนั้นผัสสะกระทบนิพพาน) เพราะฉะนั้นขณะที่ผัสสะกระทบนิพพานผัสสะเป็นโลกุตตรหรือเปล่า (เป็นโลกุตตร) เพราะฉะนั้นผัสสะต้องเกิดกับจิตทุกขณะไม่มีขณะใดที่จิตเกิดโดยไม่มีผัสสะกระทบอารมณ์ที่จิตรู้
- ทำไมเราต้องพูดถึงผัสสะ (๑ ถ้าไม่เข้าใจความสำคัญของผัสสะถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำกิจของตัวเองได้ ๒ เพื่อรู้ว่ามีแต่ธรรมไม่มีเรา) จนกว่าจะคลายความไม่รู้และความไม่ได้จำ ไม่ได้คิดถึงผัสสะเลย เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างละเอียดมากลึกซึ้งมาก ผัสสะที่กระทบสิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนำมาซึ่งการคิดและความจำและทุกอย่างต่อไปจึงเป็น “อาหารปัจจัย” แม้แต่เดี๋ยวนี้ที่เราพูดถึงผัสสะทำให้เข้าใจผัสสะขึ้น ขณะนั้นก็ลดความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นเราทีละน้อยมาก ถ้าไม่พูดถึงผัสสะก็ลืมเรื่องผัสสะก็ยังคงเป็นเราต่อไป
- เรารู้ผัสสะเจตสิกได้ไหม (รู้ไม่ได้) มีผัสสะแล้วทำไมรู้ผัสสะไม่ได้ (เพราะระดับความเข้าใจตอนนี้ไม่ได้ เมื่อไหร่ปัญญาเจริญพอย่อมรู้ได้) เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา รู้ไม่ได้เลย เลือกไม่ได้เลยว่าจะรู้และเข้าใจธรรมอะไรที่มีจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ต้องพยายามไปรู้ลมหายใจหรืออะไรเลยทั้งสิ้น
- เพราะว่า ขณะที่แสวงหาอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่มีความเข้าใจว่าธรรมเป็นอนัตตา ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ต่างหากทีละเล็กทีละน้อยไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมที่เลือกไม่ได้แล้วแต่เหตุปัจจัยเป็นอนัตตา
- แมวมีผัสสะเจตสิกไหม (มี) งูมีผัสสะเจตสิกไหม (มี) เริ่มรู้จักธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นงูหรือเป็นแมว แต่ละธรรมมีจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ เป็นธรรมนั้นๆ เท่านั้น
- ผัสสะเป็นธาตุหรือเปล่า (เป็น) เป็นปฏิฏจสมุปบาทหรือเปล่า เป็นขันธ์หรือเปล่า เป็นอายตนะหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้ แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็เข้าใจหมด สามารถที่จะอ่านข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในทั้ง ๓ ปิฎกได้ทีละเล็กทีละน้อยมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมผัสสะไม่ใช่ชื่อแต่มีจริงเป็นธรรมที่เป็นเจตสิกหนึ่ง
- เจตสิกแต่ละเจตสิกทั้งหมดต่างกันเป็นกี่ประเภท (๕๒ ประเภท) เราค่อยๆ เข้าใจเจตสิกที่จะเข้าใจได้ในชีวิตทีละ ๑ ค่อยๆ เข้าใจเจตสิกที่มีจริงๆ แต่ละขณะในชีวิตประจำวัน มีเจตสิกอะไรซึ่งเราจะเรียนต่อไปนอกจากผัสสะเจตสิกไหม ถ้าเข้าใจผัสสะเจตสิกแล้วทั้งหมด
- ไม่ใช่จำชื่อแต่เพื่อจะได้เข้าใจขึ้นในความเป็นเจตสิกที่ต่างกันเป็นแต่ละ ๑ เจตสิก (โลภะ) ๗ ดวงที่เกิดทุกขณะจิต รู้แค่ผัสสะเจตสิกหรือรู้หมดแล้ว (เวทนา) ไม่โลภะแล้วหรือ ไม่เป็นไรเลยทุกอย่างเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง พูดเรื่องโลภะก็ได้เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีโลภะ
- ก่อนอื่นต้องรู้ว่าโลภะคืออะไร (เป็นเจตสิก ๑ ที่เกิดกับอกุศลจิต) ไม่ได้ถามอย่างนั้นว่าเกิดกับอะไร แต่ถามว่า โลภะคืออะไร (เป็นธรรมที่ชอบ) แล้วยังไม่ชอบมีโลภะไหม (เป็นไปได้) ไม่ใช่เป็นไปได้ ถามว่ามีไหม จริงไหม (มี) ถ้าไม่รู้จักโลภะละเอียดจะตอบไม่ได้เลยว่าเดี๋ยวนี้มีโลภะหรือเปล่า
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความเป็นโลภะลักษณะที่เป็นโลภะไม่ใช่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นโลภะที่ละเอียดคือ ความติดข้องต้องการ เพราะฉะนั้นที่คุณอาช่าตอบว่ามีความชอบ เดี๋ยวนี้ชอบอะไรหรือเปล่า (ชอบการสนทนาตอนนี้) เป็นประโยชน์ไหม (ไม่มีประโยชน์)
- เราเพียงแต่พูดตามที่เราได้ฟังแต่สภาพธรรมจริงๆ ยากที่จะรู้ได้ ธรรมละเอียดมาก คุณอาช่าเบื่อไหมที่จะพูดสิ่งที่คุณอาช่าอยากจะฟังอย่างอื่นแต่ได้ฟังอย่างนี้ (ไม่เบื่อเพราะอย่างไรก็มีจริง) ตอนง่วงชอบไหม (ตอนง่วงนอนไม่อยากฟังธรรม) เห็นความต่างกันของโลภะไหม
- สภาพธรรมเกิดดับสลับกันเร็วมากยากที่จะรู้ได้ กำลังง่วงอยากได้อะไรไหม (ไม่อยากได้อะไร) ไม่อยากนอนหรือ (อยากนอน) เพราะฉะนั้นความอยากนอนเป็นโลภะหรือเปล่า (เป็น) วันหนึ่งๆ โลภะเยอะไหม (เยอะมาก) ลองบอกอะไรบ้างเป็นโลภะ เวลาง่วงอยากนอน อยากก็เป็นโลภะต้องการนอน เวลาไหนอีกวันที่อยากที่เป็นโลภะ (ชอบกิน ชอบดูหนัง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นมือถือเป็นอย่างนี้ทั้งวัน)
- และตอนที่ไม่ได้ดูหนัง ตอนที่ไม่ได้แต่งตัว ตอนที่ไม่ได้กินอาหารอร่อยมีโลภะไหม (มี) แสดงว่ารู้จักโลภะแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะไม่ให้เกิดโลภะได้ไหม เพราะฉะนั้นโลภะเกิดแล้วไม่รู้ว่าเป็นโลภะก็ต้องมีโลภะต่อไป
- ควรละโลภะไหม (ควร) ละไม่ได้แต่ควรจะมีโลภะน้อยลงๆ ดีกว่าใช่ไหม แต่ไม่มีหนทางตราบใดที่ไม่รู้จักโลภะ โลภะก็เกิดต่อไปเรื่อยๆ (มีทางเดียวคือเข้าใจ) เพราะฉะนั้นไม่เบื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจโลภะ แม้เบื่อก็เป็นธรรม
- การที่จะค่อยรู้จักโลภะยากมาก ต้องเริ่มจากค่อยๆ รู้ความจริงว่า ทุกสิ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ไม่มีทางละโลภะ
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่สมควรยิ่งที่จะรู้ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้ จึงฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจละเอียดขึ้นเพิ่มขึ้น ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จะละโลภะได้ไหม
- เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้คืออะไร (เกิดแล้วดับ) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคุณอาช่าเข้าใจเรื่องโลภะพอหรือยัง (ยังไม่พอ) นั่งนานแล้วอยากลุกไหม (นั่งสนทนาธรรมไม่เบื่อยกเว้นว่าจำเป็น) อยากขยับตัวขยับขาบ้างไหม (เปลี่ยนท่าตลอดเวลา) โลภะหรือเปล่า (เป็นโลภะ)
- กำลังฟังแล้วคิดถึงเรื่องอื่นบ้างไหม (คิด) ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นยังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของโลภะความติดข้องที่เล็กน้อยมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงลักษณะที่ละเอียดยิ่งของโลภะตามลำดับ ทันทีที่หลับแล้วตื่นรู้สึกตัวต้องอะไรหรือเปล่า (ต้องการ) เพียงแค่ตื่นขึ้นโลภะก็มาแล้วทันที
- ลืมตามีโลภะไหม (มี) โลภะอะไร (ต้องการตื่นและเห็น) ต้องการจะเห็นแล้วลืมตาถ้าไม่อยากจะเห็นก็ไม่ลืมตาใช่ไหม อยากหลับต่อ ตื่นแล้วจะลุกขึ้นต้องการลุกขึ้นหรือเปล่า (ต้องการ) เพราะฉะนั้นก่อนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ตัวโลภะจริงๆ ถ้าไม่รู้ว่า สภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรไม่ใช่เราเพราะเป็นสภาพรู้เกิดขึ้นรู้ ยังไม่ต้องรู้ว่า สภาพรู้ต่างกันมากมายทุกขณะเพียงแต่รู้ว่า มีสภาพรู้
- เพราะฉะนั้นเมื่อมีโลภะเป็นสภาพรู้ เมื่อมีความต้องการ เมื่อความง่วง ฯลฯ เกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ทั้งหมดแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นสภาพรู้ เป็นเราทุกอย่าง เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการรู้ว่าเป็นธรรมก็คือ ค่อยๆ ละความเป็นเรา
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าเป็นสภาพรู้ก็เป็นเราเห็น เราจำ เราตื่น เราลุกขึ้น เราทำอย่างหนึ่งอย่างใดทันที กว่าจะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมเป็นธาตุรู้อีกนานไหม ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธรรมก็เป็นธรรมเปลี่ยนไม่ได้เป็นความจริง เป็นปรมัตถธรรมเปลี่ยนไม่ได้ลึกซึ้งเพราะเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จึงเป็นอภิธรรม ความเข้าใจเดี๋ยวนี้กับก่อนที่จะเริ่มฟังต่างกันไหม เดี๋ยวนี้ (ต่างกัน) เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ก่อนที่จะได้ฟังกับฟังแล้ว ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกครั้ง
- ถ้าเห็นประโยชน์สุงสุดว่า ตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างหมดไปๆ ด้วยความไม่รู้แต่ขณะที่เริ่มเข้าใจต่างกันมาก จะฟังธรรมต่อไปไหม ชีวิตสั้นมากไม่พอที่จะเข้าใจธรรมได้มากและเร็วเพราะธรรมลึกซึ้ง ที่คุณอาช่าได้เข้าใจความจริงถึงวันนี้มีประโยชน์มากไหม (มีมาก) มากกว่าเกียรติยศ ชื่อเสียงลาภยศ เงินทอง เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้มีกิเลสเพิ่มขึ้น
- ถ้าไม่รู้ความจริง ทุกคนแสวงหาแต่เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง ใช่ไหม แต่เมื่อรู้ความจริง ไม่มีอะไรจะมีค่าเท่ากับรู้ความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ ชีวิตนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้แต่ก่อนที่จะตายก็ยังมีโอกาสได้รู้ความจริง ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงติดตามไปไม่ได้แต่ความเข้าใจถูกเริ่มปลูกฝังที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น
- อะไรมีค่าที่สุดในชีวิตของคุณอาช่า (เข้าใจความจริง) ยินดีด้วยในกุศลที่มั่นคง มีอะไรที่จะสนทนาไหม เป็นโอกาสเรายังมีเวลาเหลือที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งมีค่าอย่างยิ่งเพราะกำลังจะพูดสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง
- (คุณแอน - เราคุยกันเรื่องความต่างของอาสวะและอนุสัยซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก อาสวะเกิดก็ไม่รู้เพราะบางมาก) ดีใจคุณแอนมาสนทนาด้วย ได้ยินไหม คุณแอนมีกิเลสไหม (มี) ทำไมรู้ (กำลังอบรมความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่ากิเลสคืออะไร สังเกตุมากขึ้นว่ามี) เป็นคุณแอนที่รู้ใช่ไหม (ใช่)
- เพราะฉะนั้นเห็นได้ไหมคุณแอนมีกิเลส ถ้าเราไม่พูดเรื่องกิเลสเลย ไม่รุ้ว่ามีกิเลส หลายคนบอกว่าเขาไม่มีกิเลสเพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้จักกิเลสต้องเป็นกิเลสที่ปรากฏชัดพอที่จะรู้ได้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้คุณแอนกำลังนั่งถ้าไม่บอกไม่รู้ว่าคุณแอนมีกิเลส ถูกไหม (ถ้าไม่พูดถึงก็ลืมว่ามี)
- แล้วคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลยคิดว่า เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้ต้องการอะไร เขาไม่มีกิเลสเขาคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จัก “อาสวะกิเลส” เพราะฉะนั้นคุณแอนรู้ได้อย่างไรว่าคุณแอนมีกิเลส (ฟังธรรม พิจารณา คิดว่ามีเรื่องกิเลส ก็รู้ว่ามีเกือบตลอด คิดว่าเกิดบ่อยๆ แต่ไม่รู้เพราะอวิชชา) เพราะไม่รู้จักกิเลสจึงคิดว่าไม่มีกิเลส (รู้ว่ามีแต่ไม่รู้ชัด จะรู้ชัดเมื่อปรากฏแต่ยังไม่รู้อย่างนั้น)
- เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่ากิเลส แล้วเขาถามว่ากิเลสคืออะไร จะตอบว่าอย่างไร เราบอกเขาแต่ไม่ใช่บอกโดยบอกว่ากิเลสคืออะไร แต่ถามเขาว่า เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นมีจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นรู้หรือเปล่าว่า เห็นคืออะไร นี่เป็นหนทางที่จะค่อยๆ ให้เข้าใจด้วยตัวของเขาว่าอะไรเป็นกิเลส แต่ถ้าเราบอกเขาจำแต่ชื่อไม่รู้เรื่องอะไร แต่ถ้าเราถามให้เขาคิดเขาจะเริ่มรู้จักกิเลสทุกระดับ
- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงคนที่ไม่รู้จักกิเลสแล้วได้ยินคำว่า กิเลส เขาจะต้องถามว่ากิเลสคืออะไรใช่ไหม เราบอกเท่าไหร่เขาก็ยังไม่เข้ามจเพราะลึกซึ้ง แต่ถ้าเราถามว่า เดี๋ยวนี้เห็นอะไรหรือเปล่า เขาจะตอบว่าอะไร เห็นจริงไหมเดี๋ยวนี้กำลังเห็น เขาจะตอบว่าอย่างไร
- เราไม่พูดเรื่องอะไรเลย เรารู้ว่าเขาไม่รู้จักกิเลส แต่วิธีหนทางที่จะให้เขารู้จักกิเลสไม่ใช่เราบอกเขากิเลสคืออะไร เพราะฉะนั้นเขาไม่เข้าใจ เขาจะขำเขาสงสัย ต้องไตร่ตรองเอง ด้วยเหตุนี้วิธีของเราคือ ถามเขาว่า เดี๋ยวนี้เห็นมีไหม กำลังเห็น มีเห็นไหมให้เขาคิด
- สมมติว่าคุณแอนเป็นคนนั้นแล้วถามว่าเดี๋ยวนี้เห็นไหม คุณแอนจะตอบว่าอย่างไร (เห็นมี) แล้วเห็นคืออะไ เห็นไหมเราจะถามให้เขาเริ่มหัดคิดไตร่ตรองด้วยตัวเขาเองเพราะธรรมทั้งหมดคนอื่นบอกคนอืนให้เข้าใจไม่ได้ แต่แต่ละคำจะทำให้เขาเริ่มหัดคิดไตร่ตรองละเอียดขึ้นๆ ด้วยตัวเองจนเข้าใจ
- เพราะฉะนั้นเราถามเขาว่า เดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วเห็นคืออะไร สมมติว่าคุณแอนเป็นคนนั้น เห็นคืออะไร คนที่ไม่รู้อะไรเลยจะตอบว่าอย่างไร แน่นอนเรากำลังพูดถึงคนที่ไม่รู้อะไร ยังไม่รู้ว่ากิเลสมีหลายขั้นแต่เราไม่บอกเขาเราจะให้เขาคิด (เห็นท่านอาจารย์) แล้วเห็นคืออะไร ตัวเห็นคืออะไร ไม่ได้ถามว่าเห็นอะไรแต่ถามว่าเห็นนี่มันอะไร คืออะไรที่เห็น (ตอบว่า ตา คือตาเห็น)
- เห็นไหม กิเลสแล้วสำหรับคนที่ฟังมานาน กิเลสแล้วว่า ไม่รู้ว่าตาเห็นไม่ได้และไม่รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ยังไม่รู้ว่ากิเลสประเภทไหน ยังไม่ได้ชอบอยากจะไปต่างประเทศ อยากจะซื้อโน่นซื้อนี่ เพียงแค่กำลงงเห็น กิเลสมีแล้ว กิเลสประเภทนี้ยากที่จะรู้ได้เพราะละเอียดมาก ทันทีที่เห็นดับไปจิตอื่นเกิดต่อจนไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร ติดใจพอใจในการเห็นแล้ว คนพอใจที่จะเห็นเพราะไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร
- เพราะฉะนั้นคุณแอนเริ่มเห็นกิเลสละเอียดไหม ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไรและต้องการเห็นด้วยขณะนั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่า ขณะนั้นต้องการเห็น ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร เพราะไม่รู้ว่าเห็นคืออะไรก็ต้องการเห็นแน่นอน นั่นเป็นกิเลสแล้วเพียงพอใจแค่นั้นก็เป็นกอเลสแล้วเพราะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเห็นดับแล้ว สิ่งที่ปรากฏก็ดับแล้ว
- เพราะฉะนั้นกิเลสมีตั้งแต่นั้น ตั้งแต่ขณะที่เห็นแต่เป็นกิเลสที่ไม่มีใครรู้ คนจะรู้จักกิเลสต่อเมื่อเขาต้องการอะไรมากๆ เขาอยากได้เงินเยอะๆ แต่ว่ากำลังเห็นอย่างนี้ไม่รู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับจึงพอใจที่จะเห็นแน่ๆ ทุกคนเกิดมาต้องการเห็น พอเห็นแล้วก็ชอบเห็น ต้องการเห็นตั้งแต่นั้นมา นั่นคือกิเลสที่ใครรู้ได้ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง
- เพราะฉะนั้นกิเลสที่เกิดตามลำดับ อนุสัยเป็นกิเลสที่อยู่ในใจสะสมทุกขณะแม้ว่าเกิดอกุศลใดๆ ดับไปแล้วแต่ยังอยู่ในใจในฐานะที่เหมือนกับสิ่งที่เป็น “คราบ” ของสิ่งนั้นที่จะก่อให้เกิดสิ่งนั้นอีกนั่นคือ อนุสัยกิเลส อนุสัยกิเลสไม่เกิด กำลังให้ทานก็มีอนุสัยกิเลส กำลังทำความดีก็มีอนุสัยกิเลสเพราะเป็นกิเลสที่ไม่เิกดขึ้นในวันหนึ่งๆ ในทุกวันอนุสัยไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีอนุสัย กิเลสเกิดไม่ได้
- เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่กำลังเห็น เรายังไม่ต้องการขนมปัง ไม่ต้องการที่จะไปหยิบหนังสือ แต่เพียงเห็นเกิดมีกิเลสไหม ไม่รู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ ขณะนั้นต้องการเห็นก็ไม่รู้ ต้องการไปหยิบหนังสือต้องเห็น ถ้าจะไปหยิบหนังแล้วไม่เห็นหยิบไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นกิเสที่ใครรู้บ้าง กิเลสที่มีแต่ไม่มีใครรู้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงทุกขณะที่เห็นได้ยินเป็น “อาสวะกิเลส” เริ่มเข้าใจกิเลสที่เป็นกิเลสที่เกิดบางที่สุดเป็นอาสวะ มีอนุสยะไม่เกิด พอเกิดเกิดอย่างละเอียดอย่างบางเบามากคือ อาวสะกิเลส
- ด้วยเหตุนี้อาสวะกิเลสจึงมี ๔ กามาสวะ ภวาสวะ ต้องการมีชีวิต ไม่มีใครจะเห็นแล้วตายไปเลย แต่ต้องการเห็นอยู่ เพราะฉะนั้นมีกามาสวะ มีภวาสวะ และมีทิฏฐาวะเห็นผิดว่าเป็นเราบางมากละเอียดมา และสุดท้ายคืออวิชชาสวะ ความไม่รู้ ใครรู้บ้างว่าไม่รู้
- ตอนนี้เห็นความต่างของอนุสัยกับอาสวะหรือยัง (พอรู้) ไม่สงสัยแล้วนะ (อนุสัยไม่เกิดแต่เป็นปัจจัยที่จะเกิด) ไฟป่ามีไหม ไฟไหม้ในป่ามีไหม แล้วไฟนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่มีเชื้อไฟ อยู่ดีๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่เชื้อไฟ ใบไม้แห้ง เห็นไหม สุมๆ กันทำให้เกิดความร้อนอย่างหนึ่งทำให้เกิดไฟป่าขึ้นได้
- (อนุสัยเกิดที่จิตใช่ไหม) เพราะฉะนั้นพูดถึงกาแฟ ดื่มไปหมดแล้วแต่สิ่งที่ยังอยู่ก้นถ้วย (อ๋อ คราบ เหมือนเป็นเครื่องหมาย) ใช่ มีอยู่แต่ไม่เคยเกิด ไม่มีใครสามารถเห็น ไม่เคยเกิดแต่มีเพื่อเป็นปัจจัยให้กิเลสประการต่างๆ เกิด ขึ้น กิเลสไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกเลยเมื่ออนุสัยถูกดับไปหมดจนดับโดยรอบคือปรินิพพาน อุปมาเหมือนไฟป่ามาจากไหน เมื่อมีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ปฏิฆานุสัยยังมี ความไม่ชอบก็เกิดขึ้น เป็นความไม่ชอบ ไม่ติดข้อง
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอนุสัยไหม (มี) และมีอาสวะไหม (มี) เห็นไหม เริ่มรู้ความต่างกันของแต่ละขณะที่ละเอียดอย่างยิ่งเป็นอาสวะ แต่สามารถรู้ได้เมื่อเป็นระดับขอกิเลสหรือนิวรณ์ที่เป็นอกุศลอย่างนั้นๆ อนุสัยเหมือนรากของต้นไม้
- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์กล่าวตอนนต้นว่าเดี๋ยวนี้มีกิเลส มีนิวรณืหมายความว่าอะไร หมายความว่ายังมีพืชเชื้อสะสมสืบต่ออยู่ในจิตมิฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีอกุศลเดี๋ยวนี้ได) (คุณแอน - หมายความว่า กิเลสเกิดเพราะเหตุปัจจัยและ หนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นคือ อนุสัย) (คุณสุคิน - หมายความว่ากิเลสไม่ได้เกิดเองลอยๆ แต่เพราะมีอนุสัย)
- เราสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า สะสมอนุสัยอะไรมามากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับว่ามีอนุสัยประเภทไหนที่เป็นปัจจัยให้กิเลสประการต่างๆ เกิดขึ้น (คุณแอน - อนุสัยเยอะมากๆ) และเมื่อไม่มีอนุสัย กิเลสเกิดไม่สามารถเกิดได้ เช่น พระโสดาบันไม่มีทิฏฐานุสัย ดับหมดไม่เหลือไม่เกิดอีกเลยไม่ว่าระดับไหน
- (พระอรหันต์ไม่มีอนุสัย) ไม่เหลืออีกเลย แต่ตราบใดที่ยังมีอนุสัย ต้องมีอาสวะและอกุศลอื่นแน่นอน (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นพระโสดาบันไม่มีทิฏฐาสวะจึงไม่เหลือความเห็นผิดใดๆ อีก พระอนาคามีไม่มีกามาสวะ และพระอรหันต์ไม่มีอาวสะใดๆ อีกเลย
- กามราคานุสัยเป็นกิเลสที่มีระดับต่างๆ กัน กามราคานุสัยคือความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบสัมผัส พูดภาษาไทยจะได้ไม่ลืมภาษาไทย (คุณแอน - ฟังเทปธรรมภาษาไทยทุกวันๆ ละประมาณ ๒๐ นาที ไม่อยากลืม) เป็นปัญญาบารมี สัจจบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี อธฺษฐานบามร เนกขัมมะบารมี
- (คุณสุคิน - คำถามที่ท่านอาจารย์ถามคุณแอนเมื่อคุณแอนจนสนทนากับคนใหม่ คิดว่าไม่ได้เป็นคำถามสำหรับคนใหม่แต่เป็นคำถามที่เหมาะสำหรับทุกคน) ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นเขาสามารถจะเข้าใจอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจตอนต้นๆ แล้ว เราถามเขาเพื่อให้เขาเข้าใจละเอียดและลึกซึ้งขึ้นอีก (และสำหรับคนที่เคยฟังอย่างเรา มักจะจำแต่ชื่อแต่คำถามนี้ทำให้เราระลึกได้เลยว่า ที่เราตอบ ตอบได้เพราะจำหรือเข้าใจ)
- นี้เป็นเหตุที่การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะเรารู้ว่าคนตอบมีความเข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นคำถามสำหรับให้เขาเข้าใจเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น และพูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เป็นประโยชน์ที่สุดเพราะเขาจะได้รู้ว่า เข้าไม่ได้เข้าใจ เพราะนั้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่เราได้มีการสนทนาธรรม ยินดีในกุศลของทุกคนนะคะ
ชีวิตนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้แต่ก่อนที่จะตายก็ยังมีโอกาสได้รู้ความจริง ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงติดตามไปไม่ได้แต่ความเข้าใจถูกเริ่มปลูกฝังที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ