ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๑
~ เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์ทรงปรารภที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีพระดำริอย่างที่ทุกคนทราบ คือ สภาพธรรม มี กำลังปรากฏ และสภาพที่แท้จริงของธรรมนั้นเป็นอย่างไรซึ่งปัญญาเท่านั้นสามารถรู้แจ้งได้ และปัญญาที่จะรู้แจ้งได้นั้น ไม่ใช่เป็นไปอย่างง่ายและรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงทรงค้นคว้าธรรมที่เป็นเครื่องทำให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เมื่อบำเพ็ญแล้วครบถ้วน คือ บารมีทั้ง ๑๐
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแสดงธรรมให้ทุกคนได้ฟัง ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเอง จนสามารถที่จะรู้ได้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา มิฉะนั้น ก็ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่เอ่ยชื่อ ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่คำแรกคือคำว่า ธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
~ ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองเป็นความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังได้ฟังเมื่อไร นั่นจึงจะค่อยๆ มั่นคงในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะรู้พระคุณจริงๆ ถ้าไม่มีการบำเพ็ญพระบารมี ไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครจะได้ยินแต่ละคำที่กำลังได้ยินในขณะนี้ว่าเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ว่างเปล่าจริงๆ เพียงเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือแต่ละคำซึ่งจะทำให้เข้าใจมั่นคงขึ้นในความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ สำหรับจุดประสงค์ในการฟังพระธรรม ทุกท่านคงไม่ลืมว่าเพื่ออบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะถึงแม้จะได้ฟังแล้วฟังเล่า ฟังบ่อยๆ ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ทุกขณะเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ตลอดชีวิตเป็นธรรมหมด แต่อวิชชาไม่สามารถรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็มีอัตตสัญญา มีความจำสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุต่างๆ
*** ~ บางท่านอาจจะถูกคนอื่นหลอกลวงบ้างหรือว่าถูกประทุษร้ายบ้าง ถูกเบียดเบียนบ้าง หรือบางครั้งอาจจะได้รับอันตรายด้วยการไม่จงใจซึ่งเป็นอุบัติเหตุจากบุคคลอื่นก็ได้ ประการที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ควรมนสิการ (ใส่ใจ) ถึงเรื่องผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เวลาที่ท่านถูกเบียดเบียนหรือว่าถูกประทุษร้ายก็ตาม ท่านอาจจะคิดถึงบุคคลที่กระทำต่อท่านว่า ช่างเป็นคนซึ่งมีกิเลสแรงกล้าเสียจริงจึงกระทำอย่างนั้นต่อท่านได้แต่ท่านลืมว่า ถ้าท่านไม่เคยทำอดีตอกุศลกรรมไว้ คนนั้นก็คงจะไม่กระทำต่อท่านเป็นแน่นอนทีเดียว***
~ ชีวิตที่จะดำเนินไปจะต้องเป็นไปตามผลของกรรมทั้งกุศลและอกุศล ที่ท่านได้รับกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ต้องมีเหตุในอดีตที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะถูกประทุษร้ายเบียดเบียนในปัจจุบันชาตินี้ แทนที่จะนึกโกรธ หรือมุ่งร้ายต่อบุคคลซึ่งกระทำต่อท่าน ก็ควรมนสิการ (ใส่ใจ) ถึงกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้วว่ามีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลดังนี้จึงได้เกิดกับท่าน ถ้าคิดอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ขึ้นบ้างไหม ซึ่งก็คงจะทำให้ละคลายการผูกโกรธ
~ ทำความดี ไม่กล้าหรือ กลัวอะไร ใครจะคิดอย่างไร เรื่องของเขา แต่เราควรทำดี เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะความไม่ดีไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
~ ถ้าไม่รู้ธรรมเลย ชีวิตทุกคนก็เป็นไปตามโลภะ โทสะ โมหะ แต่พอรู้ว่าเป็นธรรม ประโยชน์ก็คือจากที่ไม่เคยรู้แล้วเป็นความรู้ที่ค่อยๆ รู้ขึ้นว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่มี ชั่วคราว เห็นชั่วคราว ได้ยินชั่วคราว และไม่สามารถที่จะบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้ สิ่งที่เกิดแล้วจะไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ นี่คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก เป็นประโยชน์ไหมที่ได้รู้ความจริงอย่างนี้?
~ ถ้าฟังธรรมก็เพื่อให้เข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นอิสระไหม? ธรรมเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาจริงแต่ไม่อิสระ เพราะว่าต้องเป็นไปตามปัจจัย นี่คือการที่เราจะเข้าใจว่าไม่มีเรา ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นการที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ขณะที่ต่างกัน กุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต และไม่ใช่การที่จะไปบังคับ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดมากกว่าแต่ก่อนได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริง เมื่อใช้คำว่า “อนัตตา” ต้องเป็นไปตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงตลอดเวลาที่ยังไม่ปรินิพพาน เพราะเมื่อรู้ความจริงแล้วเปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ การที่รู้ความจริงก็คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่จะบังคับ ถ้าใครยังคิดจะบังคับขณะนั้นก็คือยังไม่ได้ได้เข้าใจธรรมจริงๆ
~ การที่มีโอกาสได้ฟังก็มีขันติบารมีที่ว่าไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้นก็มีความอดทนที่จะเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม ประโยชน์สูงสุดคือได้เข้าใจธรรมในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่
~ รู้ว่าขณะจิตเป็นอกุศล มากกว่ากุศล ก็จะยิ่งเป็นผู้ที่รู้ตัวและเข้าใจความหมายของปุถุชนซึ่งเป็นบุคคลหนาด้วยกิเลส จนกว่าจะเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น
~ ทาน (การให้) ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้รับปลาบปลื้มใจ และจิตของผู้ให้ก็อ่อนโยน คืออ่อนโยนพอที่จะเสียสละวัตถุของตนเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นได้ ในขณะนั้นจิตก็มีความสบาย เพราะว่าไม่มีความตระหนี่ ได้ประโยชน์ ทั้งจิตใจของตนเองก็อ่อนโยนและเบิกบานที่เห็นผู้รับมีความสุขได้ใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา
*** ~ ขณะนี้ทุกคนมีร่างกายซึ่งเคยเป็นที่รักหรือขณะนี้ก็ยังเป็นที่รักที่พอใจ ก็ให้ทราบว่าร่างกายนี้ต้องเปื่อยเน่าผุพัง และชาติหน้ารูปร่างกายจะเป็นอย่างไร ไม่ได้เป็นอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าจิต เจตสิก การกระทำทางกาย ทางวาจาในชาตินี้ที่อกุศลจะเกิดครอบงำจนทำให้ร่างกายในชาติต่อไป พิกลพิการ ตา หู จมูกไม่น่าดูหรือจนกระทั่งทำให้ถึงสภาพของเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งก็เป็นชั่วขณะจิตที่เร็วมาก เร็วยิ่งกว่ากระพริบตาก็สามารถเปลี่ยนสภาพนี้ทั้งหมดจากมนุษย์ในสุคติภูมิไปสู่อบายภูมิได้***
~ การที่ท่านจะเจริญบารมีนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการผลของกุศล แต่ต้องเป็นเพราะเห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท ไม่ใช่ว่าท่านต้องการเจริญบารมีเพื่อผลคือสังสารวัฏฏ์ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าจะดับสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะการดับสังสารวัฏฏ์หมายความถึงการดับกิเลสทั้งหมด เมื่อไม่มีกิเลส สังสารวัฏฏ์จึงจบได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะสิ้นสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทำกุศลเพื่อหวังกุศลในสังสารวัฏฏ์
~ ความเพียร ควรจะเป็นความเพียรในกุศลจริงๆ ไม่ใช่เพียรในอกุศล เพราะว่าขณะใดที่อกุศลจิตเกิด วิริยเจตสิกก็เกิด แต่เป็นไปในอกุศล แต่ขณะใดที่กุศลจิตเกิด วิริยเจตสิกก็เกิดด้วย แต่ว่ากระทำกิจของกุศล ไม่ใช่กระทำกิจของอกุศล เพราะฉะนั้น ที่จะเป็นวิริยบารมี ก็คือ เพียรในกุศล
~ แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
*** ~ การที่บุคคลอื่นจะถือเอาวัตถุซึ่งท่านไม่ได้ให้ไปเป็นของเขา ในอดีตท่านได้เคยกระทำอย่างนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เคยเลย ท่านก็จะไม่ได้รับผลของกรรมนี้ แต่เวลาที่ได้รับผลของกรรม ลืมคิดถึงอดีตกรรมของท่านเอง***
~ ท่านควรที่จะทราบว่า การที่ท่านยังคงได้รับผลของอดีตกรรมก็ดี หรือการที่ในปัจจุบันชาตินี้ท่านช่างเต็มไปด้วยกิเลสมากมายเหลือเกินก็ดี ก็ควรจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ท่านระลึกว่า ควรจะขัดเกลา ละคลายกิเลสเท่าที่ท่านสามารถจะกระทำได้ คือ การสะสมที่จะให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงด้วยการเจริญกุศลทุกประการ แม้แต่ในเรื่องของการฟังธรรม การพิจารณาธรรม ก็เป็นการเกื้อกูลที่จะให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
~ พระธรรมทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เพื่อเกื้อกูลแก่การที่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เช่น เมื่อทรงแสดงความละเอียดเรื่องของการผูกโกรธก็ดี หรือลักษณะของความมุ่งร้ายต่อบุคคลอื่นก็ดี ในขณะนั้นท่านจะได้น้อมพิจารณาว่าท่านเคยเป็นอย่างนี้ไหม ท่านยังมีสภาพธรรมอย่างนี้ไหม ถ้ามีก็แสดงว่า กิเลสมีมากเหลือเกิน ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ และเมื่อมีกิเลสมากจริงๆ อย่างนี้ ก็ไม่ควรที่จะทอดทิ้งละเลยการขัดเกลา
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๐


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา