เจ้ากรรมนายเวรไม่มีในศาสนาพุทธ การขอขมาเป็นการคิดกันไปเองใช่ไหมคะ
โดย Arisa Namfon  7 ก.ค. 2560
หัวข้อหมายเลข 28964

สวัสดีค่ะเคยอ่านมาว่า กรรมทำแล้วแก้ไม่ได้ ทำมาก็ต้องรับ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรเราต่างรับในสิ่งที่เราทำมากันทั้งนั้น อย่างนี้การสวดมนต์ขอขมากรรมและการแผ่เมตตาก็เป็นเรื่องที่ทำกันขึ้นมาเองใช่ไหมคะ แล้วเคยอ่านมาว่าการไปขอสิ่งใดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันไม่มีจริงหรอก เพราะไม่มีสิ่งใดดลบันดาลสุข ทุกข์ให้ใครได้ การอธิษฐานเป็นการตั้งเป้าหมายแล้วลงมือปฏิบัติไปตามคำอธิษฐานนั้น อย่างนี้ถ้าขอหรืออธิษฐานแล้วไม่ได้ปฏิบัติไปในทางนั้นก็ไม่เกิดขึ้นจริงใช่ไหมคะ อย่างนี้คำสัญญา สาบาน สาปแช่งก็ไม่มีอยู่จริงใช่ไหมคะ ทุกอย่างอยู่ที่เราทำกรรมของเราล้วนๆ ใช่ไหมคะ



ความคิดเห็น 1    โดย Arisa Namfon  วันที่ 7 ก.ค. 2560

อย่างเช่นประสบการณ์ของเพื่อนบอกว่าสมัยเรียนมัธยมเคยไปสาบานกับคนนี้ว่าจะรักคนนี้คนเดียวไปตลอดทุกชาติอะไรแบบนี้เพราะความเป็นเด็กก็บ้าบอไปตามเรื่อง อย่างนี้จะเกิดขึ้นจริงไหมคะ มีคนบอกให้ไปขอขมาพระรัตนตรัยอะไรต่างๆ มากมาย แต่ที่ฉันเคยอ่านมามีเพียงเรื่องเดียวที่จะทำให้คนเราได้เกิดมาอยู่ตามกัน คือสมชีวิธรรม 4 ศรัทธา ศิลา จาคา ปัญญาเสมอกัน นั่นก็คือการปฏิบัติต่อกันล้วนๆ เลยใช่ไหมคะไม่เกี่ยวกับการขอ อย่างนี้การที่เพื่อนเคยไปอธิษฐานขอไว้แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้ก็ไม่เป็นจริงใช่ไหมคะ เป็นเพียงแค่เรื่องที่คนสมัยนี้คิดกันไปเอง การขอไม่มีจริงใช่ไหมคะ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 9 ก.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร ครับ

เวลานี้ใครมองเห็นเจ้ากรรมนายเวรบ้าง ฟังดูเสมือนว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร แต่ตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนเป็นทายาทของกรรมของตนเอง กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีที่กำลังได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไม่ใช่บุคคลอื่นบันดาลให้ แต่กุศลที่ผู้นั้นได้กระทำแล้วในอดีตเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ดีๆ

ฉะนั้น เมื่อกุศลให้ผล ก็ทำให้ได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น ถ้าถูกคนอื่นทำร้าย ก็อาจจะคิดว่าเพราะคนนั้นทำ แต่ถ้าไม่ได้ถูกใครทำร้ายเลย เวลาตกบันไดหรือเจ็บป่วยต่างๆ นั้น ใครทำให้ ขณะที่ถูกก้อนหินหล่นใส่ ก้อนหินเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือไม่ ขณะที่เกิด ที่เป็นผลของกรรม มีเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดหรือไม่ หรือว่าเพราะกรรมของเราเองที่ทำไว้ จึงทำให้เกิด ฉะนั้น แต่ละคนจึงมีกรรมของตนเอง เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

ฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวร จึงเป็นเรื่องรับฟังต่อๆ กันมา โดยไม่รู้ว่าใครเคยเห็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไหน เมื่อไหร่ เพียงแต่นึกว่ามีบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนต่างๆ แต่ความจริงนั้น ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ครับ ซึ่งเรื่อง การผูกเวร ก็มีหลายตัวอย่างให้พิจารณา ดังนี้

ซึ่งตัวอย่างพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้า ในความเป็นจริงความโกรธที่พระเทวทัตเกิดขึ้น คิดจะจองเวรมีอยู่ ความโกรธก็ต้องเป็นความโกรธของพระเทวทัต ในอดีตชาติ ซึ่งเกิดและดับไปแล้ว ความโกรธในอดีตชาติของพระเทวทัต ถ้าจะให้ผล ก็ต้องให้ผลกับอดีตชาติของพระเทวทัต ไม่ใช่กับอดีตชาติของพระพุทธเจ้า แต่เพราะพระพุทธองค์ในชาตินี้หรือแม้ชาติก่อนๆ ที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ถูกสมมติว่าถูกทำร้ายจากพระเทวทัต เช่น กลิ้งหินลงมาโดนพระบาทจนถึงกับห้อพระโลหิต ซึ่งแท้ที่จริงแล้วใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรพระเทวทัตหรือเปล่า หากพระพุทธเจ้าไม่เคยทำอกุศลกรรมในอดีต จะได้รับอกุศลวิบาก มีหินมากระทบที่พระบาทไม่ได้เลย ซึ่งนั่นไม่ใช่ผลที่มาจากการผูกเวรของพระเทวทัต แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่าเพราะในอดีตชาติเมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงเคยทำให้น้องชายต่างมารดาสิ้นชีวิตเพราะเหตุแห่งทรัพย์ โดยจับโยนลงในซอกเขา แล้วบดทับด้วยหิน ด้วยเหตุนี้ เศษของกรรมทำให้พระองค์ได้รับการทำร้ายจากพระเทวทัต ด้วยสะเก็ดหินที่กระทบนิ้วแม่พระบาทจนห้อพระโลหิต

นี่แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงมีกรรมเป็นของพระองค์เอง ทรงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทรงมีกรรมเป็นทายาท ทรงมีกรรมเป็นของๆ พระองค์ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรไหน มาทำให้เลย แม้ความผูกโกรธ ก็เป็นความโกรธของพระเทวทัตเอง ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างแท้จริง แต่เพราะอกุศกลรรมที่พระองค์ทรงเคยทำ ทำให้พระองค์ได้รับวิบากที่ไม่ดี จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวร เช่นเดียวกับเรื่อง นางรัชชุมาลา ก็อธิบายได้โดยนัยนี้เช่นกัน ครับ

หากเข้าใจความจริง ก็ต้องประกอบกับพระอภิธรรมด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว สัตว์ บุคคลไม่มี มีแต่ธรรม และที่สมมติว่าเป็นใครก็เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกประชุมรวมกัน ซึ่งอดีตชาติของพระเทวทัต ก็ไม่ใช่พระเทวทัตในสมัยพุทธกาล เป็นคนละคน และก็ต้องเป็นคนละจิต จะกล่าวว่าเป็นจิตเดียวกันไม่ได้เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นความเห็นผิดว่าเที่ยงคือ จิตไม่เกิดดับ แต่แท้ที่จริงเป็นคนละจิต แต่เป็นสภาพธรรมที่สืบต่อกัน เป็นจิตที่เกิดดับเนื่องกัน ชาตินี้ของเราเมื่อสิ้นชีวิตลง บุคคลนี้ลักษณะอย่างนี้ ก็จะไม่กลับมาอีกเลย เป็นคนใหม่ทันที ที่สมมติกัน เพราะฉะนั้น ต่างคนก็มีกรรมเป็นของๆ ตน จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวรตามที่เข้าใจ แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าบุคคลนี้ที่เคยเจองเวร ก็ยังมีความผูกโกรธอยู่ได้ เกิดได้อีกชาติหนึ่ง เพราะอาศัยการสะสมของจิตและเจตสิกที่เกิดดับสืบต่อกันนั่นเอง แต่การจะได้รับผลของกรรม ก็เป็นเพราะกรรมของผู้นั้นเอง ไม่ใช่เพราะการผูกโกรธของคนที่จองเวรเป็นปัจจัยครับ เพราะฉะนั้น จะต้องแยกระหว่างเหตุและผล ความผูกโกรธ ซึ่งมีจริง เป็นความผูกโกรธของคนนั้น แต่ความผูกโกรธไม่สามารถทำให้คนที่ถูกโกรธได้รับผลของกรรม แต่อกุศลกรรมของผู้ที่ได้รับความผูกโกรธนั่นเองที่เป็นเจ้าของกรรม คนที่ผูกโกรธไม่สามารถทำอะไรได้ และ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร ครับ

ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย wirat.k  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 23 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 25 ก.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Superbee  วันที่ 18 มิ.ย. 2564

ขอบคุณ​คับ​ ที่ทำให้กระจ่างเลย​ พอดีเห็นบางเว็บไซต์​ เผยแพร่พร้อมบทสวด อุทิศ​ให้เจ้ากรรมนายเวร​.. ผมก็เลยเอ๊ะ​.. เคยศึกษา​ว่า​พระพุทธเจ้า​ไม่ได้ทรงตรัส​ เรื่องการมีเจ้ากรรมนายเวร​หนิ​.. เลยมาเสิร์ชดู