ในวันนี้ มีท่านผู้ฟังที่ได้พิจารณาจิตใจและรู้ว่าเมตตาภาวนาได้เจริญขึ้น บ้างไหม ซึ่งผลของการฟังพระธรรม ควรเป็นปัจจัยทำให้เมตตาเจริญขึ้น เพราะธรรมทั้งหมดสำหรับประพฤติปฏิบัติตาม และควรพิจารณาว่า มีเมตตาเพิ่มขึ้นไหม และ มีเมตตากับบุคคลใดได้มากขึ้น [ตอนที่ 909]
รับฟัง ...
เมตตาสูตร
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เมตตาสูตรที่ ๑ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว ซึ่งแสดงถึงผลของการอบรมเจริญพรหมวิหาร ๔ ว่า
การอบรมฌานที่ประกอบด้วยเมตตา เมื่อไม่เสื่อมจะเป็นปัจจัยให้เกิดใน พรหมกายิกา มีอายุถึง ๑ กัป
ฌานที่ประกอบด้วยกรุณา เมื่อไม่เสื่อมจะทำให้เกิดในพรหมชั้นอาภัสสรา มีอายุถึง ๒ กัป
ถ้าเป็นการอบรมเจริญฌานที่ประกอบด้วยมุทิตา เมื่อไม่เสื่อมจะเป็นผลให้เกิดในพรหมชั้นสุภกิณหะ มีอายุถึง ๔ กัป
และถ้าเป็นการเจริญฌานที่ประกอบด้วยอุเบกขา เมื่อไม่เสื่อมจะทำให้เกิดในพรหมชั้นเวหัปผลา มีอายุถึง ๕๐๐ กัป
ซึ่งท่านผู้ฟังควรจะได้ทราบว่า พรหมโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของพรหมมีทั้งหมด ๑๖ ชั้น ได้แก่ พรหมที่เป็นปฐมฌานภูมิ เป็นผลของปฐมฌานกุศล
ความสงบที่เกิดจากการอบรมเจริญความสงบ สมาธิที่ประกอบด้วยความสงบจะมั่นคงขึ้นจนถึงอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ เป็นปฐมฌานกุศลจิต แต่ผู้นั้นต้องอบรมเจริญให้ปฐมฌานกุศลจิตเกิดจนคล่องแคล่ว และเวลาที่ใกล้จะจุติฌานจิตก็ไม่เสื่อม สามารถที่จะเกิดก่อนจุติจิตได้ จึงจะเป็นผลให้ปฏิสนธิในพรหมโลกที่เป็นปฐมฌานภูมิ ๓ ภูมิ คือ ปาริสัชชาภูมิ ๑ ปุโรหิตาภูมิ ๑ มหาพรหมาภูมิ ๑ ตามกำลังของฌาน คือ กำลังที่อ่อน กำลังที่ปานกลาง และกำลังที่กล้า คือ ประณีต
ซึ่งข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เมตตาสูตรที่ ๑ แสดงผลของฌานที่ประกอบด้วยเมตตาที่ไม่เสื่อม จะทำให้เกิดเป็นพรหมกายิกาในชั้นปฐมฌานภูมิ
สำหรับทุติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ คือ ปริตตาภาภูมิ ๑ อัปปมาณาภาภูมิ ๑ อาภัสสราภูมิ ๑ ซึ่งข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เมตตาสูตรที่ ๑ แสดงว่า ฌานที่ประกอบด้วยกรุณา เมื่อไม่เสื่อมจะเป็นปัจจัยให้เกิดในอาภัสสราภูมิ คือ ทุติยฌานภูมิ
สำหรับตติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ คือ ปริตตสุภาภูมิ ๑ อัปปมาณสุภาภูมิ ๑ สุภกิณหาภูมิ ๑ ซึ่งข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เมตตาสูตรที่ ๑ แสดงว่า ฌานที่ประกอบด้วยมุทิตาและไม่เสื่อม จะทำให้เกิดในสุภกิณหาภูมิ มีอายุ ๔ กัป
และสำหรับจตุตถฌานภูมิ มีถึง ๗ ภูมิ คือ เวหัปผลาภูมิ ๑ อสัญญสัตตาภูมิ ๑ ทั้ง ๒ ภูมินี้สำหรับผู้ที่ได้ฌานถึงขั้นจตุตถฌานโดยจตุกกนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย ซึ่งเป็นฌานขั้นสูงที่สุด ที่ไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล
เวหัปผลาภูมิ เป็นภูมิของพรหมที่มีทั้งนามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นในภูมินั้น ส่วนอสัญญสัตตาภูมิ เป็นภูมิที่ไม่ใช่สำหรับพระอริยบุคคล แต่สำหรับผู้ที่มีความเห็นว่า ถ้ายังมีนามธรรมอยู่ตราบใด ก็ยังไม่พ้นจากการที่จะต้องเป็นสุข เป็นทุกข์ โดยการเห็น โดยการได้ยิน โดยการคิดนึก ถ้ามีแต่เพียงรูปธรรมปฏิสนธิเท่านั้น ย่อมไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ท่านที่ได้ถึงจตุตถฌานโดยจตุกกนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย ก็มีสัญญาวิราคะในนามธรรม มีความหน่ายในการที่จะต้องเห็น ในการที่จะต้องรู้อารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่ฌานไม่เสื่อม และจตุตถฌานกุศลจิตโดยจตุกกนัย หรือปัญจมฌานกุศลจิตโดยปัญจกนัยเกิดก่อนจุติจิต ก็จะทำให้ผู้นั้นปฏิสนธิในอสัญญสัตตาภูมิ เป็นรูปปฏิสนธิเท่านั้น ไม่มีนามธรรม จนกว่าจะสิ้นอายุ คือ ๕๐๐ กัป จึงจะจุติจากอสัญญสัตตาพรหมภูมิ และก็มีกรรมอื่นที่ทำให้ปฏิสนธิในภูมิอื่นต่อไป
สำหรับอีก ๕ ภูมิ คือ สุทธาวาสภูมิ ๕ ได้แก่ อวิหาภูมิ ๑ อตัปปาภูมิ ๑ สุทัสสาภูมิ ๑ สุทัสสีภูมิ ๑ และอกนิฏฐาภูมิ ๑ เป็นภูมิเฉพาะของพระอนาคามีบุคคลที่ได้จตุตถฌานโดยจตุกกนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย เพราะฉะนั้น ก็เป็นภูมิที่บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งการดับกิเลสจนกระทั่งถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล และบริสุทธิ์จากจิตที่ประกอบด้วยนิวรณ์จนกระทั่งถึงฌานจิตขั้นสูงสุด
ผู้ที่เจริญฌานที่ประกอบด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร และฌานไม่เสื่อม เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในเวหัปผลาภูมิ ซึ่งเป็นภูมิของจตุตถฌานกุศลโดยจตุกกนัย มีอายุถึง ๕๐๐ กัป
และถ้าศึกษาโดยละเอียดจะทราบว่า สำหรับเมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหาร และมุทิตาพรหมวิหารนั้น สามารถที่จะให้บรรลุถึงปฐมฌาน ทุติยฌาน และตติยฌาน ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ โดยจตุกกนัย
เพราะฉะนั้น การแสดงไว้ใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เมตตาสูตรที่ ๑ ถึงฌานที่ประกอบด้วยเมตตาและไม่เสื่อม จะเกิดในชั้นมหาพรหมาภูมิ ซึ่งเป็นผลของปฐมฌานก็ดี หรือว่าฌานที่ประกอบด้วยกรุณาและไม่เสื่อม ทำให้เกิดในพรหมโลก ซึ่งเป็นผลของทุติยฌานภูมิ คือ อาภัสสราภูมิก็ดี หรือว่าฌานที่ประกอบด้วยมุทิตา และไม่เสื่อม เป็นผลทำให้เกิดในสุภกิณหา ซึ่งเป็นภูมิของตติยฌานภูมิก็ดี เป็นการแสดงตามขั้นของเมตตา กรุณา มุทิตาว่า ไม่สามารถที่จะถึงปัญจมฌานได้
สำหรับพรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา เจริญได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิถึงอัปปนาสมาธิที่เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน และตติยฌาน โดยจตุกกนัย หรือ จตุตถฌาน โดยปัญจกนัย แต่สำหรับอุเบกขาพรหมวิหาร ไม่สามารถที่จะเจริญตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ต่อเมื่อใดเจริญเมตตาพรหมวิหาร หรือกรุณาพรหมวิหาร หรือมุทิตาพรหมวิหาร จนกระทั่งถึงตติยฌานแล้ว จึงจะเจริญอุเบกขาต่อได้จนถึงจตุตถฌาน
เพราะฉะนั้น อุเบกขาพรหมวิหารไม่มีในปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และสำหรับเมตตา กรุณา มุทิตา ไม่มีในปัญจมฌาน หรือจตุตถฌาน โดยจตุกกนัย
ถ. ในพรหมโลกชั้นมหาพรหมา ในพระอภิธรรมกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงจะเกิดในภูมินี้ไม่ได้ แต่ถ้าจะเกิดในภูมิที่สูงกว่า เช่น อาภัสสราภูมิ จะได้ไหม
สุ. ในพรหมโลกไม่มีเพศ ไม่มีปุริสภาวะหรืออิตถีภาวะเกิดในพรหมโลก แต่ว่ารูปร่างเป็นบุรุษ เป็นชาย [ตอนที่ 910]

สำหรับบุคคลที่ท่านคิดว่า คนนี้ยังเมตตาด้วยไม่ได้ คิดว่าไม่สามารถจะเมตตาคนนี้ได้ แต่การที่เมตตาเจริญขึ้น จะทำให้เวลาที่ท่านนึกถึงบุคคลนั้นและตรวจสอบจิตใจว่า ขณะนั้นความรู้สึกที่มีต่อคนที่ท่านเคยคิดว่าเมตตาด้วยไม่ได้นั้น เปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่เป็นมิตรขึ้น ประกอบด้วยเมตตาแทนที่จะเป็นความขุ่นเคืองใจได้ นี่คือการเจริญขึ้นของเมตตาในชีวิตประจำวัน [ตอนที่ 909]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ