หนทางละความหวังคลายความหวัง
โดย เมตตา  2 พ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51328

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้า 275

[๘๔] ๑. นิราสบุคคล บุคคลผู้ไม่มีความหวัง เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก ผู้ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้น อันไม่สะอาด และสมาจารอันผู้อื่นหรือตนพึงระลึกได้ด้วยความระแวง ผู้มีการงานอันปกปิด ผู้มิใช่สมณะแต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ผู้มิใช่ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เน่าใน ผู้อันราคะชุ่มแล้ว ผู้มีหยากเยื่อ มีราคะเป็นต้น เกิดแล้ว เธอได้ยินว่า นัยว่า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ รู้ยิ่งด้วยตนเองแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว เข้าถึงแล้วซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ในทิฏฐธรรม ดังนี้ เธอย่อมไม่เกิดความคิดอย่างนี้ว่า แม้เราก็จักรู้ยิ่งด้วยตนเอง จักทำให้แจ้ง จักเข้าถึงซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ในทิฏฐธรรมในกาลไหนๆ โดยแท้ดังนี้ บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่มีความหวัง


[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 99

ภูมิชสูตร

[๔๐๗] ท่านภูมิชะกล่าวว่า ดูก่อนพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทำความหวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล


อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็คิดถึงว่า อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสัทธรรมไว้ ๓ ประการ ก็คือปริยัติสัทธรรม ปฏิปัตติสัทธรรม และปฏิเวธสัทธรรม หรืออธิคมสัทธรรมครับ อย่างรู้ว่า การที่จะมีการรอบรู้มีความเข้าใจ ต้องไม่ใช่เพียงเรื่องราว แต่รู้ในลักษณะ แต่การที่จะมีความรู้ขั้นปริยัติในความรู้อีกระดับหนึ่ง ก็คือปฏิปัตตินี่ครับ ก็ดูเหมือนว่า เมื่อปฏิปัตติหรือสติปัฏฐานไม่ได้เกิดที่จะให้ถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า ขณะนั้นสติเกิด ก็เป็นเพียงการศึกษาในเรื่องราวของสติปัฏฐาน แต่ก็มีความเข้าใจว่า ต้องอาศัยปริยัติ คือการศึกษา และมีความเข้าใจในสภาพธรรมะนี่แหละ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยเกื้อกูลที่จะให้มีการปรุงแต่งอย่างที่ผมเรียนท่านอาจารย์ในช่วงแรก คือมีการใส่ใจเพิ่มขึ้นในลักษณะ

เรียนถามท่านอาจารย์ว่า การที่จะศึกษา และมีความเข้าใจในความรู้อีกระดับหนึ่งที่เป็นปฏิปัตติ คือสติปัฏฐาน ในเมื่อยังไม่เกิดขึ้น แต่การศึกษาเล่าเรียน คือไม่ให้เข้าใจผิดว่า ต้องไปทำอะไร หรือไปกำหนดอะไร มีจดจ้องอะไร ก็ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องของความเป็นอนัตตาขิงสภาพธรรมะที่จะเกิดขึ้น แล้วเมื่อเกิดสติระลึก ความเข้าใจตรงนั้นก็รู้ว่า เป็นสติอย่างนี้ครับ ก็เลยเหมือนกับว่าในเมื่อยังไม่เกิดขึ้นให้รู้ว่า เป็นสติปัฏฐาน แต่ความเข้าใจในเรื่องราวของสติปัฏฐานเป็นไปเพื่อการไม่เข้าใจผิดครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ไม่เข้าใจผิดนะ สติคืออะไร?

อ.วิชัย: เป็นสภาพที่ระลึกได้ครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ระลึกอะไรได้ ไม่หลงลืม?

อ.วิชัย: อย่างเดี๋ยวนี้มีแข็งปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: แข็งคืออะไร จะได้ระลึก?

อ.วิชัย: ก็เป็นรูปหนึ่งที่กระทบกับกายที่ปรากฏให้รู้ได้ เป็นลักษณะที่แข็งๆ อ่อนๆ ครับ

ท่านอาจารย์: คนที่ได้ยินว่า แข็งมีจริง แล้วสติระลึกเลยหรือ?

อ.วิชัย: เป็นไปไม่ได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: แล้วอย่างไรสติถึงจะระลึกได้? เห็นไหม? ไม่มีเหตุที่สติจะระลึก สติจะเกิดระลึกได้ไหม?

อ.วิชัย: เป็นไปไม่ได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นี่ กำลังมีแข็ง สติระลึกแข็งอย่างนั้นหรือ?

อ.วิชัย: เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่สติถึงจะระลึกได้?

อ.วิชัย: ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของแข็งอย่างมั่นคงในความเป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดครับ

ท่านอาจารย์: และเมื่อไหร่สติจะระลึกได้?

อ.วิชัย: บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม สติจึงเกิดได้ ถ้าปริยัติบริบูรณ์พร้อมที่จะให้ความรู้อีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นได้ที่เป็นปฏิปัตติครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเมื่อไหร่จะบริบูรณ์?

อ.วิชัย: ก็ต้องอาศัยการฟังแล้วก็เข้าใจไตร่ตรองใส่ใจ ซึ่งจะเกิดเมื่อไหร่ เวลาไหน และรู้อะไร กำหนดไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: พอระลึกรู้ไหม?

อ.วิชัย: พอระลึก ย่อมรู้ครับ

ท่านอาจารย์: รู้อะไร?

อ.วิชัย: รู้ในลักษณะของธรรมะอย่าง แข็ง ที่ปรากฏว่า เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดครับ

ท่านอาจารย์: แล้วยังไง?

อ.วิชัย: ก็เหมือนตอบตามที่ฟังมาครับ

ท่านอาจารย์: ก็นั่นแหละ!! ก็เป็นอย่างนี้ เราถึงต้องสนทนากันให้ชัดเจนว่า กว่าจะถึงขณะนั้น ปริยัติต้องเป็นอย่างไร รอบรู้ใช่ไหม?

รอบรู้ คือละความหวังใดๆ การที่จงใจจะให้สติเกิด รอคอย หรืออะไรทั้งหมด แต่มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ถ้าไม่มั่นคง ความเป็นอัตตาก็อยู่ตรงนั้น ถูกต้องไหม?

อ.วิชัย: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: จบเรื่องความหวังเลยใช่ไหม เพราะว่าขณะนี้ความเข้าใจขั้นปริยัติพอไหม?

อ.วิชัย: ไม่พอครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า จะถึงขั้นปฏิปัตติไม่ได้ เพราะขณะนั้นต้องเป็นปัญญา และขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมะที่เป็นสติ แล้ววันนี้มีสติหรือเปล่า? เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เลย!! แล้วจะให้สติไประลึกอะไรที่ไม่รู้วันนี้

อ.วิชัย: ครับ อย่างเมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจอย่าง ถ้ารู้เรื่องราวของ อ.อรรณพว่า มีความสามารถอย่างนั้นอย่างนี้ พอพบความเข้าใจที่สะสมมาก็มาทันที

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าสติเกิดจะรู้ไหมว่า ขณะนั้นอะไรปรากฏ?

อ.วิชัย: ต้องเข้าใจครับ เพราะได้เรียนรู้ศึกษามาอย่างดีแล้ว

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า สติปัฏฐานต่างกับสติอื่น ถูกต้องไหม?

อ.วิชัย: ครับ เพราะว่าต้องต่างกันแน่ๆ ครับ

ท่านอา จารย์: โดย?

อ.วิชัย: โดยความรู้ที่ต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: แน่นอน เพราะฉะนั้น เวลานี้รู้จักสติหรือยัง?

อ.วิชัย: ยังไม่รู้จักครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะไปสติปัฏฐานได้อย่างไร? จะเอาความรู้เที่ยวไปรู้โน่นรู้นี่ เป็นไปไม่ได้เลย

อ.วิชัย: ครับ ก็ลดความหวังลงที่จะพยายามไปรู้

ท่านอาจารย์: นี่แหละ หนทางละความหวัง คลายความหวัง เพราะมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา "ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา" ไม่ลืมเลยใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ไม่ได้ทำอะไรโดยหวังว่า สติเกิดจะระลึกอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ ต้องเข้าใจในความเป็นธรรมะแต่ละอย่าง ไม่ใช่เพียงพูดตามเหมือนอย่างที่เรากล่าวในตอนต้น เห็นเป็นธาตุรู้ นี่พูดตามแน่ และคนที่พูดจะเป็นคนที่รู้ดีเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นความเข้าใจระดับไหน ปัญญาไม่ลวง แต่ว่าปัญญาตรงตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกซึ่งเป็นปัญญา เป็นอันดับแรกของมรรคมีองค์ ๘ แต่ก็ต้องเป็นไปตามลำดับรอบ

รอบที่ ๑ ปริยัติ รู้จริงๆ ว่า หนทางนั้น คือละ ด้วยความเข้าใจขึ้น จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมะสามารถที่จะเกิด และเพิ่มความรู้ความเข้าใจขึ้นตามลำดับ นี่เป็นเหตุที่เราสนทนากัน

อ.วิชัย: ครับ

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

พระสัทธรรม 3 อย่าง [มหาวิภังค์]

[คำที่ ๙๗] ปริยตฺติ ปฏิปตฺติ ปฏิเวธ

‏ ความหวังที่ละได้ยาก [ตติยปัณณสก์]

ขอเชิญฟังได้ที่ ..

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน

รอบรู้คืออย่างไร

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 2 พ.ย. 2568

เป็นความเข้าใจระดับไหน

ไม่ได้ทำอะไรโดยหวังว่า สติเกิดจะระลึกอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ ต้องเข้าใจในความเป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่เพียงพูดตาม เห็นเป็นธาตุรู้ นี่พูดตามแน่ และคนที่พูดจะเป็นคนที่รู้ดีเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นความเข้าใจระดับไหน ปัญญาไม่ลวง แต่ว่าปัญญาตรงตามความเป็นจริง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ