
ถ้าท่านจะโกรธบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เวลาที่ได้ยินคำพูดของท่านผู้นั้น ถ้าสติปัฏฐานเกิดในขณะนั้น จะรู้ได้ว่า เสียงเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าใจของท่านคิดถึงบุคคลที่กล่าวคำที่ท่านไม่พอใจ ขณะนั้นแท้จริงแล้วบุคคลนั้นก็ไม่มี แม้ตัวท่านก็ไม่มี เป็นแต่เพียงจิต เจตสิก รูปซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ทั้งจิต เจตสิก รูปของท่านเอง ทั้งจิต เจตสิก รูปของผู้ที่ท่านยึดมั่นว่า เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด จิตของผู้นั้นก็ดับไปแล้วพร้อมกับเจตสิก และรูปของผู้นั้นก็ดับไปแล้วทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นสัตว์ บุคคลที่ยั่งยืน ที่จะทำให้ท่านสมควรที่จะยึดมั่นในบุคคลนั้น แล้วก็มีความโกรธ หรือผูกโกรธทุกครั้งที่ระลึกถึงบุคคลนั้นขึ้น เพราะว่าทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่มีโลกอื่นเข้ามาปะปนเลย หลังจากเห็นก็คิด หลังจากได้ยินก็คิด หลังจากได้กลิ่นก็คิด หลังจากลิ้มรสก็คิด หลังจากที่กระทบสัมผัสก็คิด
เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกความคิดของตัวเอง และให้ทราบว่า ตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี เป็นแต่เพียงทางหรือทวารที่จะนำเรื่องต่างๆ มาสู่ใจ และสภาพธรรมใดรับอารมณ์นั้น ตาเห็น นำเรื่องมาสู่ใจ แล้วแต่ว่าจิตที่คิดจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตของตนเอง อารมณ์ที่ปรากฏดับไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สัตว์บุคคลที่เที่ยงจริงๆ ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นทุกคนมักจะคิดถึงความตายในลักษณะที่ว่า พูดได้ว่า ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ อาจจะเป็นเย็นนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ถ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ ทำไมจะยังโกรธคนอื่นซึ่งเมื่อท่านตายแล้ว หมดสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ และท่านจะไม่ได้พบกับบุคคลอื่นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลก็เป็นเพียงจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ท่านก็จะมีแต่กิเลสของท่านเองในความคิดของตัวเองเท่านั้น ที่จะทำให้ภพต่อไป ท่านจะเป็นผู้ที่ยังคงมีความผูกโกรธ มีการไม่ให้อภัยตามที่สะสมไว้ เพราะเหตุว่ายังไม่เห็นโทษ
เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ ถึง พระธรรมที่ละเอียด และเป็นประโยชน์กับแต่ละท่านที่ควรจะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม
โสภณธรรม ครั้งที่ 044
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ