[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 202
เถรคาถา ติงสนิบาต
๑. ปุสสเถรคาถา
ว่าด้วยในอนาคตภิกษุจักมีความพอใจอย่างไร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 202
เถรคาถา ติงสนิบาต
๑. ปุสสเถรคาถา
ว่าด้วยในอนาคตภิกษุจักมีความพอใจอย่างไร
[๓๙๕] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมากที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร กระผมถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.
พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณเท่านี้ หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 203
เล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษคนอื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ ใช้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 204
อินทรีย์เที่ยวไป อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะเมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคงประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 205
มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะอย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการ ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 206
กัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาท โดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.
อรรถกถาติงสนิบาต
อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑
ใน ติงสนิบาต คาถาของ ท่านพระปุสสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปาสาทิเก พหู ทิสฺวา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ท่านพระปุสสเถระแม้นี้ เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้แล้วในภพนั้นๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัณฑลิกะ มีนามว่า ปุสสะ. เขาถึงความเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในชั้นที่พวกขัตติยกุมารจะพึงได้รับการศึกษา เพราะเขาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย จึงไม่มีใจเกี่ยวข้องในกามคุณทั้งหลาย ได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่งแล้วได้มีศรัทธา จึงบวชแล้วเรียนกัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่ความประพฤติ บำเพ็ญภาวนาอยู่เนืองๆ ทำฌานให้บังเกิดขึ้น เริ่มตั้งวิปัสสนามีฌาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 207
เป็นบาท ไม่นานนัก ก็ได้อภิญญา ๖. ต่อมาวันหนึ่ง ดาบสคนหนึ่งชื่อว่า ปัณฑรโคตร นั่งฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระแล้ว มองเห็นภิกษุหลายรูป ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร มีอินทรีย์อันสำรวมด้วยดีแล้ว มีกายอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว จึงมีจิตเลื่อมใส คิดว่า ดีจริงหนอ ข้อปฏิบัตินี้ พึงตั้งอยู่ในโลกได้นาน ดังนี้ จึงถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อปฏิบัติจักมีแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาลได้อย่างไรหนอแล. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงได้ทั้งคาถาไว้แต่เบื้องต้นว่า
ฤาษีผู้มีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมากที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาสาทิเก ได้แก่ ผู้สมควรแก่ความเลื่อมใส ด้วยข้อปฏิบัติของตน. บทว่า พหู ได้แก่ มีจำนวนมากมาย. บทว่า ภาวิตตฺเต ได้แก่ มีจิตอันตนอบรมแล้วด้วยสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา. บทว่า สุสํวุเต ได้แก่ มีอินทรีย์อันสำรวมแล้วด้วยดี. บทว่า อิสิ แปลว่า ดาบส. บทว่า ปณฺฑรสโคตฺโต ได้แก่ ผู้มีโคตรเสมอด้วยฤาษีนั้น เพราะเกิดในวงศ์แห่งฤาษีชื่อว่า ปัณฑระ. บทว่า ปุสฺสสวฺหยํ ได้แก่ อันบุคคลพึงเรียกด้วยเสียงว่า ปุสสะ, อธิบายว่า มีชื่อว่า ปุสสะ. คาถาที่เป็นคำถามของฤาษีนั้น มีดังนี้ :-
ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร กระผมถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 208
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ ฉนฺทา ความว่า ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ จักมีความพอใจเช่นไร คือจักมีความหลุดพ้นเช่นไร จักมีความหลุดพ้นชนิดเลว หรือว่าจักมีความหลุดพ้นชนิดประณีต. บทว่า กิมธิปฺปายา ความว่า จักมีความประสงค์เช่นไร คือจักมีอัธยาศัยเช่นไร จักมีอัธยาศัยเศร้าหมองอย่างไร หรือว่าจักมีอัธยาศัยอันผ่องแผ้ว. อีกอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ ชื่อว่า ฉันทะ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำของพวกฤาษีเหล่านั้น เป็นเช่นไร. ความประสงค์ก็คืออัธยาศัยนั่นเอง. บทว่า กิมากปฺปา คือจักมีความพอใจเช่นไร. ก็บทว่า อากปฺปา ความว่า มีวาริตศีลและจาริตศีล ด้วยการถือเอาเพศเป็นต้น. บทว่า ภวิสฺสเร แปลว่า จักมี. บทว่า ตํ เม ความว่า ดาบสเชื้อเชิญพระเถระว่า ท่านเป็นผู้อันเราถามถึงประเภทแห่งความประสงค์ ความพอใจของภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ขอจงบอก คือจงกล่าวเนื้อความนั้นแก่เราเถิด. พระเถระเมื่อจะบอกเนื้อความนั้นแก่ดาบสนั้น เพื่อจะชักชวนในการฟังโดยเคารพก่อน จึงกล่าวคาถาว่า :-
ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคตกาล.
เนื้อความแห่งบทคาถานั้นว่า ฤาษีชื่อปัณฑรสะผู้เจริญ ท่านถามเรื่องใดกะเรา, เราจักกล่าวเรื่องนั้นที่เป็นอนาคตกาลแก่ท่าน, แต่ท่านจงฟังคำของเราผู้กำลังกล่าว คือจงใคร่ครวญโดยเคารพ จากการแสดงเนื้อความในอนาคตกาล และจากอันนำมาซึ่งความสังเวชเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 209
ลำดับนั้น พระเถระมองเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งความเป็นไปของพวกภิกษุ และพวกนางภิกษุณีอย่างแจ่มแจ้งด้วยอนาคตังสญาณแล้ว เมื่อจะบอกแก่ดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมาก จักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้น ในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 210
ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดังพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ ใช้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้ว ยินดียิ่งนักเป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์เที่ยวไป อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์ มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคายบริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 211
ในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ได้เห็นผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพรานนุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจอันผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้น เหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะอย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขู่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 212
ผ้าจีวรก็ไม่เชื่อฟัง พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการ ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้. ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่านทั้งหลาย จงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังรคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุพระนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกธนา แปลว่า เป็นผู้มีความโกรธเป็นปกติ.
พึงทราบความสัมพันธ์ในบทว่า ภวิสฺสนฺติ อนาคเต ดังต่อไปนี้ :- ถามว่า เรื่องอย่างนั้น ไม่ได้มีแล้วในกาลแห่งพระเถระหรือ? ตอบว่า ไม่ได้มีแล้ว หามิได้ ก็ในกาลนั้น เพราะพวกท่านเป็นผู้มากไปด้วยกัลยาณมิตร จึงมีผู้กล่าวสอน ผู้ฉลาดในการสอนมากมายในสพรหม-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 213
จารี เมื่อกิเลสทั้งหลายมีกำลัง เพราะท่านมากไปด้วยการไตร่ตรองพิจารณา พวกภิกษุโดยมากจึงไม่ได้มีความโกรธ; ความโกรธอย่างยิ่งจักมีในปริยายที่ตรงกันข้ามในกาลต่อไป เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า อนาคเต เป็นต้นไว้. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้แล.
บทว่า อุปนาหี ได้แก่ ผู้มีปกติเข้าไปผูกความอาฆาต ในเพราะอาฆาตวัตถุ, หรือชื่อว่า อุปนาหี เพราะเป็นแดนเกิดแห่งการผูกความอาฆาต. พึงทราบอรรถในข้อนั้น ดังนี้:- พยาบาทที่มีมาในกาลก่อน ชื่อว่า ความโกรธ, พยาบาท ที่มีในกาลต่อๆ ไป ชื่อว่า ความผูกโกรธ. อีกอย่างหนึ่ง โทสะ ที่เป็นไปแล้วครั้งเดียว ชื่อว่า ความโกรธ, ที่เป็นไปแล้วหลายครั้ง ชื่อว่า ความผูกโกรธไว้. ชื่อว่า ผู้มีความลบหลู่ เพราะลบหลู่คือล้างผลาญคุณความดีที่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่นเสีย, หรือชื่อว่า ผู้มีความลบหลู่ เพราะลบหลู่คือล้างผลาญคุณความดีเหล่านั้น ที่มีอยู่แก่ชนเหล่านั้นเสียหมด ดุจการลบหลู่น้ำ ด้วยการเช็ดถูน้ำฉะนั้น.
ชื่อว่า ถมฺภี เพราะคนเหล่านั้น เป็นคนหัวดื้อมีความถือตัวจัดเป็นลักษณะ.
บทว่า สา ได้แก่ ผู้ประกอบพร้อมด้วยความโอ้อวดมีการประกาศคุณที่ไม่มีอยู่ในตัวเป็นลักษณะ.
บทว่า อิสฺสุกี ได้แก่ ผู้ประกอบพร้อมด้วยความริษยาอันมีการทำลายสมบัติของผู้อื่นเป็นลักษณะ.
บทว่า นานาวาทา ความว่า มีวาทะที่ทำลายกันและกัน มีทิฏฐิที่ทำลายกันและกัน และทำการทะเลาะกันและกัน. บทว่า อญฺาตมานิโน ธมฺเม คมฺภีเร ตีรโคจรา ความว่า เป็นผู้มีมานะอย่างนี้ ใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 214
พระสัทธรรมที่ลึกซึ้ง ส่องได้ยาก ที่ตนเองยังไม่รู้ทั่วถึง ว่าตนเองรู้แล้ว ว่าตนเองเห็นแล้ว. ต่อจากนั้นนั่นเอง ก็มีความคิดว่าตื้นต่ำต้อย เพราะพระสัทธรรมนั้น เป็นไปในส่วนที่ต่ำต้อย.
บทว่า ลหุกา ได้แก่ เป็นคนหวั่นไหว เพราะมีความเบาเป็นสภาวะ.
บทว่า อครู ธมฺเม ได้แก่ ปราศจากความเคารพในพระสัทธรรม.
บทว่า อญฺมญฺมคารวา ได้แก่ ไม่มีความยำเกรงในกันและกัน คือปราศจากความเคารพที่หนักแน่น ในพระสงฆ์และในหมู่เพื่อนสพรหมจารี.
บทว่า พหู อาทีนวา ได้แก่ มีประการดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว, และโทษเป็นอเนกมากมายที่กล่าวอยู่ จักเกิดเป็นอันตราย. บทว่า โลเก ได้แก่ ในสัตวโลก.
บทว่า อุปฺปชฺชิสฺสนฺตฺยนาคเต ความว่า จักปรากฏมีในอนาคตกาล.
บทว่า สุเทสิตํ อิมํ ธมฺมํ ความว่า จักทำปริยัติสัทธรรมนี้อันไม่วิปริตด้วยดี ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว โดยประการที่งดงามมีงามในเบื้องต้นเป็นอาทิ. บทว่า กิเลสิสฺสนฺติ ความว่า จักทำให้เศร้าหมอง ให้ถูกกิเลสประทุษร้ายอยู่ คือจักทำรูปธรรมและอรูปธรรม อันละเอียดสุขุมให้ปะปนด้วยอสัทธรรม ที่เป็นทุจริตและสังกิเลส โดยนัยเป็นต้นว่า ที่เป็นอาบัติว่า ไม่เป็นอาบัติ, ที่เป็นครุกาบัติว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 215
เป็นลหุกาบัติ ดังนี้, ได้แก่ จักทำให้เศร้าหมอง คือจักทำให้หม่นหมองด้วยสังกิเลสคือตัณหา แม้ยิ่งกว่าทิฏฐิและสังกิเลสทั้งสองอย่าง.
บทว่า ทุมฺมติ ได้แก่ ผู้ไร้ปัญญา. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักมีในอนาคตกาลอันยาวนาน ฯลฯ เมื่อจะบอกอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมฝ่ายดำอยู่ จักไม่รู้ได้เลย ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า คุณหีนา ได้แก่ ผู้ทุศีลปราศจากคุณมีศีลเป็นต้น และไม่มีความละอาย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คุณหีนา ได้แก่ ผู้ทราบจากคุณมีพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้วเป็นต้น คือไม่มีความกตัญญูในพระธรรมวินัย.
บทว่า สงฺฆมฺหิ แปลว่า ในท่ามกลางสงฆ์. บทว่า โวหรนฺตา ได้แก่ กล่าวอยู่, คือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยถ้อยคำที่จัดจ้านอยู่ในท่ามกลางสงฆ์.
บทว่า วิสารทา ได้แก่ ไม่กลัว คึกคะนอง.
บทว่า พลวนฺโต ได้แก่ มีกำลังมาก โดยกำลังที่เป็นฝ่ายตรงข้าม.
บทว่า มุขรา ได้แก่ มีปากกล้า มีวาทะแข็งกระด้าง.
บทว่า อสฺสุตาวิโน ได้แก่ ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน คือเป็นผู้ทรงคุณ โดยอาศัยลาภ สักการะ และความสรรเสริญอย่างเดียว จักเป็นผู้มีกำลังตั้งมั่นในท่ามกลางสงฆ์ เพื่อประโยชน์ที่ตนต้องการอย่างนี้ว่า สิ่งที่เป็นธรรม ว่าเป็นอธรรม และสิ่งที่เป็นอธรรม ว่าเป็นธรรม, สิ่งที่เป็นวินัย ว่าไม่ใช่วินัย และสิ่งที่ไม่ใช่วินัย ว่าเป็นวินัย ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 216
บทว่า คุณวนฺโต ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีศีลเป็นต้น.
บทว่า โวหรนฺตา ยถาตฺถโต ได้แก่ แสดงโดยสมควรแก่เนื้อความ คือไม่ยอมให้เนื้อความวิปริตอย่างนี้ว่า สิ่งที่เป็นธรรม ก็ว่าเป็นธรรม, สิ่งที่เป็นอธรรม ก็ว่าเป็นอธรรม, สิ่งที่เป็นวินัย ก็ว่าเป็นวินัย. สิ่งที่ไม่ใช่วินัย ก็ว่าไม่ใช่วินัย ดังนี้.
บทว่า ทุพฺพลา เต ภวิสฺสนฺติ ความว่า ภิกษุเหล่านั้น จักเป็นผู้ปราศจากกำลัง เพราะค่าที่พวกตนหนาไปด้วยความไม่ละอาย ในท่ามกลางบริษัท, ถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น จักไม่ตั้งอยู่ได้.
บทว่า หิรีมนา อนตฺถิกา ได้แก่ มีความละอาย ไม่ต้องการด้วยอะไรๆ. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้สามารถเพื่อจะกล่าวด้วยธรรม ไม่กระทำความทำร้ายด้วยเหตุบางอย่าง เพราะค่าที่ตนเป็นผู้รังเกียจบาป และเพราะค่าที่ตนเป็นผู้มีกิจน้อย ไม่ทำความพยายามเพื่อจะยึดมั่นวาทะของตน พากันนิ่งเสีย ไม่ยอมทำการเปิดเผย หรือความตั้งใจแน่วแน่.
บทว่า รชตํ ได้แก่ รูปิยะ, แม้กหาปณะ โลหะและมาสกเป็นต้น ก็พึงเห็นว่าท่านสงเคราะห์ด้วยรูปิยะนั้น.
บทว่า ชาตรูปํ ได้แก่ ทอง, แม้แก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น ก็พึงเห็นว่า ท่านสงเคราะห์ด้วยทองนั้น. วา ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า อปทา วา ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า รชตชาตรูปญฺจ ดังนี้ก็มี.
บทว่า เขตฺตํ ได้แก่ ปุพพัณชาติและอปรัณชาติ ย่อมงอกงามในที่ใด ที่นั้นชื่อว่านา. ภูมิภาคที่มิได้กระทำเพื่อประโยชน์อย่างนั้น ชื่อว่า สวน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 217
บทว่า อเชฬกํ ได้แก่ แพะเท่านั้น ชื่อว่าเอฬกา, เว้นแพะและแกะเหล่านั้นเสีย สัตว์เลี้ยงที่เหลือ ชื่อว่า อชา. จริงอยู่ ในที่นี้ แม้โคและกระบือเป็นต้น ท่านก็ทำการสงเคราะห์ด้วย อเชฬก ศัพท์เหมือนกัน.
บทว่า ทาสิทาสญฺจ ได้แก่ ทาสหญิงและทาสชาย.
บทว่า ทุมฺเมธา ได้แก่ ผู้ไม่รู้, คือเมื่อไม่รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร สิ่งที่เหมาะเเละไม่เหมาะ (มุ่ง) เพื่อประโยชน์ตน.
บทว่า สาทิยิสฺสนฺติ แปลว่า จักรับ.
บทว่า อุชฺฌานสญฺิโน ได้แก่ คิดแต่จะมองดูผู้อื่นอยู่หลังตน หรือมีปกติยกโทษแม้ในที่ที่ไม่ควรจะยกโทษ.
บทว่า พาลา ได้แก่ ประกอบพร้อมแล้วด้วยพาลลักษณะ โดยมีความคิดแต่เรื่องที่คิดชั่วเป็นต้น. ต่อแต่นั้น ก็ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล คือ มีจิตไม่ตั้งมั่นในจตุปาริสุทธิศีล.
บทว่า อุนฺนฬา ได้เเก่ ยกตัวถือตัว. บทว่า วิจริสฺสนฺติ ความว่า จักยกธงคือมานะ เที่ยวไป.
บทว่า กลหาภิรตา มคา ความว่า เพราะตนเป็นผู้มากไปด้วยสารัมภะ จึงเป็นผู้ขวนขวายในคำกล่าวโต้ตอบ เที่ยวยินดีแต่ในการทะเลาะวิวาทอย่างเดียว มุ่งแต่ประโยชน์ตน ยินดีแต่ในการแสวงหาอาหาร ชอบเบียดเบียนแต่ผู้อื่นที่อ่อนแอ ราวกะมิคะฉะนั้น.
บทว่า อุทฺธตา ได้แก่ ประกอบพร้อมแล้วด้วยจิตที่ฟุ้งซ่าน คือ ปราศจากจิตที่เป็นเอกัคคตา.
บทว่า นีลจีวรปารุตา ได้แก่ นุ่งห่มแต่จีวรสีเขียว ปนสีแดงเพราะย้อมไม่สมควร คือเที่ยวนุ่งและห่มจีวรเช่นนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 218
บทว่า กุหา ได้แก่ เป็นคนลวงโลก ด้วยวัตถุเครื่องล่อลวง มีการร่ายมนต์เป็นต้น คือทำการล่อลวง เพื่อปรารถนาจะยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่ให้ปรากฏเป็นสิ่งประหลาดแก่ชนเหล่าอื่น.
บทว่า ถทฺธา ได้แก่ มีใจกระด้าง คือมีใจกักขฬะ ด้วยความโกรธและมานะ.
บทว่า ลปา ได้แก่ เป็นผู้มักเจรจา คือเป็นผู้มีความประพฤติล่อลวงโลก อธิบายว่า เป็นผู้ใช้วาทะชักชวนพวกผู้ถวายปัจจัย กับพวกมนุษย์ผู้มีใจเลื่อมใส ให้พูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการด้วยสิ่งใด, หรือเป็นผู้ล่อลวงเพื่อต้องการปัจจัย ด้วยอำนาจการใช้วาจาที่วางแผนมาแล้ว และด้วยอำนาจกลอุบายโกง.
บทว่า สิงฺคี ได้แก่ เขาสัตว์ ในข้อนั้นเป็นไฉน เขาสัตว์มีอธิบายว่า ผู้ที่ประกอบพร้อมด้วยกิเลสอันปรากฏชัด เช่นกับเขาสัตว์ ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ความรักใคร่ ความเฉียบแหลม ความฉลาด ความตระเตรียม ความไตร่ตรองรอบด้าน ดังนี้ เที่ยวชูเขาไป. คำว่า อริยา วิย นี้ เป็น คำแสดงถึงเนื้อความแห่งบทว่า กุหา นั้นนั่นเอง. ก็พระเถระ เมื่อจะแสดงว่าพวกภิกษุผู้ลวงโลกตั้งตนดังพระอริยเจ้า จึงกล่าวว่า ทำตนดังพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ ดังนี้.
บทว่า เตลสณฺเหิ ได้แก่ เป็นผู้แต่งเส้นผมด้วยน้ำมัน ขี้ผึ้ง หรือด้วยน้ำมันชนิดน้ำ.
บทว่า จปลา ได้แก่ ประกอบด้วยความกลับกลอก มีการแต่งกายและแต่งบริขารเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 219
บทว่า อญฺชนกฺขิกา ได้แก่ มีนัยน์ตาอันหยอดแล้ว ด้วยการหยอดเพื่อประดับตกแต่ง.
บทว่า รถิยาย คมิสฺสนติ ความว่า สัญจรไปข้างโน้นข้างนี้ ตามถิ่นที่จะเข้าไปสู่สกุล ที่เป็นตรอกน้อยใหญ่ เพื่อภิกษาจาร.
บทว่า ทนฺตวณฺณิกปารุตา ได้แก่ มีร่างกายอันคลุมด้วยจีวร ที่ย้อมด้วยสีงา.
บทว่า อเชคุจฺฉํ ได้แก่ พึงพากันเกลียดชัง.
บทว่า วิมุตฺเตหิ ได้แก่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า สุรตฺตํ ความว่า จักพากันเกลียดชังผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่ย้อมแล้วด้วยดี ด้วยเครื่องย้อมอันสมควร เพราะพระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เคยประพฤติมาแล้ว. เพราะเหตุไร? เพราะพอใจแต่ในผ้าขาวๆ คือถึงความพอใจยินดี. จริงอยู่ คำนี้เป็นเหตุของการคลุมร่างกายด้วยผ้าสีงา. ก็ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพากันยินดีพอใจผ้าสีขาว ย่อมนุ่งห่มผ้าสีงา เป็นเหตุให้รู้ว่า เมื่อยึดถือผ้าสีขาวตลอดกาล ก็เป็นเพียงดังสละเพศฉะนั้น.
บทว่า ลาภกามา ได้แก่ มีความยินดีแต่ในลาภผล. ชื่อว่า เป็นคนเกียจคร้าน เพราะประกอบแต่ความเกียจคร้าน แม้ในการประพฤติเที่ยวไปเพื่อภิกษา.
ชื่อว่า เป็นผู้มีความเพียรเลวทราม เพราะไม่มีจิตคิดอุตสาหะเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม.
บทว่า กิจฺฉนฺตา ได้แก่ มีความลำบาก, อธิบายว่า ลำบาก คือ ลำบากใจ เพื่อจะอยู่ในป่าอันสงัด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 220
บทว่า คามนฺเตสุ ได้แก่ ในเสนาสนะท้ายหมู่บ้าน คือในเสนาสนะที่ใกล้หมู่บ้าน หรือในเสนาสนะใกล้ๆ ประตูบ้าน. บทว่า วสิสฺสเร แปลว่า จักอยู่.
บทว่า เต เตว อนุสิกฺขนฺตา ความว่า ภิกษุเหล่าใดๆ ได้ลาภด้วยการประกอบมิจฉาชีพ ภิกษุเหล่านั้นๆ นั่นแหละ จักกลับตัวศึกษาตามคนทั้งหลาย.
บทว่า ภมิสฺสนฺติ ความว่า แม้ตนเองก็จักกลับตัวคบหาราชสกุลเป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภ โดยมิจฉาชีพ เหมือนภิกษุเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า ภชิสฺสนฺติ ดังนี้ก็มี, ความว่า จักคบหา. บทว่า อสํยตา ได้แก่ ปราศจากการสำรวมในศีล.
บทว่า เย เย อลาภิโน ลาภํ ความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ปัจจัย เพราะเว้นจากมิจฉาชีพ และเพราะตนเป็นผู้มีบุญน้อย ภิกษุเหล่านั้นจะได้รับการนอบน้อม คือบูชา สรรเสริญ จักไม่มีในกาลนั้น คือในอนาคตกาลเลย.
บทว่า สุเปสเลปิ เต ธีเร ความว่า จักไม่คบภิกษุเหล่านั้น ผู้เป็นนักปราชญ์เพราะสมบูรณ์ด้วยปัญญา แม้มีศีลเป็นที่รักด้วยดี คือในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภ ก็ย่อมมุ่งแต่ลาภอย่างเดียวเท่านั้น.
บทว่า มิลกฺขุรชนํ รตฺตํ ได้แก่ ย้อมแล้ว ย้อมด้วยผลมะเดื่อกลายเป็นสีดำ. จริงอยู่ บทนี้เป็นบทสมาส, ท่านแสดงถึงการเปล่งเสียงที่ออกทางจมูก เพื่อสะดวกแก่การกล่าวคาถา.
บทว่า ครหนฺตา สกํ ธชํ ได้แก่ พากันติเตียนผ้ากาสาวะ อันเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 221
ธงชัยของตนเสีย. จริงอยู่ ผ้ากาสาวะ ชื่อว่าเป็นธงชัยของพวกบรรพชิตในพระศาสนา.
บทว่า ติตฺถิยานํ ธชํ เกจิ ความว่า บางพวกรู้ว่าเป็นสมณศากยบุตรอยู่นั่นแล แต่ก็จักนุ่งห่มผ้าขาว อันเป็นธงชัยของพวกเดียรถีย์ ผู้มีผ้านุ่งสีขาว.
บทว่า อคารโว จ กาสาเว ความว่า ความไม่เคารพ คือความไม่นับถือผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ จักมีแก่ภิกษุเหล่านั้นในอนาคตกาล.
บทว่า ปฏิสงฺขา จ กาสาเว ความว่า จักไม่มีการใช้สอยผ้ากาสาวะแม้เพียงการพิจารณา โดยนัยเป็นต้นว่า เราพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงใช้สอยจีวร ดังนี้.
พระเถระ เมื่อจะชักเอา ฉัททันตชาดก (๑) ขึ้นเป็นอุทาหรณ์ ในตอนที่ช้างฉัททันต์ ทำความเคารพผ้ากาสาวะด้วยคิดว่า ผู้ใช้สอยผ้ากาสาวะมีความเคารพนับถือผ้ากาสาวะมาก พึงงดเว้นจากทุจริตได้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อภิภูตสฺส ทุกฺเขน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส ได้แก่ ถูกลูกศรอันอาบด้วยยาพิษอย่างหนาแทงเข้าแล้ว, ต่อแต่นั้นนั่นแล ก็ถูกความทุกข์อย่างใหญ่หลวงครอบงำ. บทว่า รุปฺปโต ได้แก่ เพราะถึงความวิการแห่งสรีระ.
บทว่า มหาโฆรา ความว่า ความกลัว พิจารณาแล้วมากไปด้วยความเคารพ จนไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิต คือไม่อาจจะให้ความคิดเป็นไปในทางอื่นได้ ได้มีแล้วแก่พระยาช้างฉัททันต์.
๑. ขุ. ชา. ๒๗/ข้อ ๒๓๒๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 222
ก็พระโพธิสัตว์ ในกาลที่เสวยพระชาติเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ถูกนายโสณุตระพราน ผู้ยืนหลบในที่ซ่อนตัว ยิงด้วยลูกศรที่กำซาบด้วยยาพิษแล้ว ถูกทุกข์อย่างใหญ่หลวงครอบงำ จึงจับเขาแล้ว ครั้นพอเห็นผ้ากาสาวะที่คลุมกายเขาเข้า จึงคิดว่า ผู้นี้คลุมกายด้วยผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า เราไม่พึงเบียดเบียนเลย ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปตั้งไว้เฉพาะซึ่งเมตตาจิตในนายพรานนั้นแล้ว แสดงธรรมเป็นเบื้องแรก. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
พระยาช้าง ผู้มีจิตไม่ประทุษร้าย ถูกยิงด้วยลูกศรอับกำซาบหนาด้วยยาพิษ ได้กล่าวกะนายพรานว่า แน่ะ สหายเอ๋ย เพื่อประโยชน์อะไร หรือเพื่อสิ่งใด จึงมุ่งฆ่าเรา หรือว่าความพยายามนี้ ท่านทำเพื่อใคร ดังนี้เป็นต้น.
พระเถระเมื่อจะแสดงเนื้อความนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ฉทฺทนฺโต หิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุรตฺตํ อรหทฺธชํ นี้ ท่านกล่าวหมายถึงผ้ากาสาวะที่นายโสณุตระพรานคลุมร่างกายแล้ว. บทว่า อภณิ แปลว่า ได้กล่าวแล้ว. บทว่า คาถา แปลว่า ซึ่งคาถาทั้งหลาย.
บทว่า คโช แปลว่า พระยาช้างฉันทันต์. บทว่า อตฺโถปสํหิตา ชื่อว่า หิตะ เพราะอิงอาศัยประโยชน์ อธิบายว่า ประกอบแล้วด้วยประโยชน์.
บทว่า อนิกฺกสาโว ในคาถาที่พระยาช้างฉัททันต์กล่าวแล้ว ได้แก่ ชื่อว่า กสาวะ เพราะมีกิเลสดุจน้ำฝาด มีราคะเป็นต้น. บทว่า ปริทหิสฺสติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 223
ความว่า จักใช้สอย ด้วยการนุ่งห่ม และปูลาด. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า ปริธสฺสติ ดังนี้ก็มี.
บทว่า อเปโต ทมสจฺเจน ความว่า ปราศจาก พรากจาก คือ สละจากการข่มอินทรีย์ และวจีสัจจะที่เป็นฝักฝ่ายแห่งปรมัตถสัจจะ.
บทว่า น โส ความว่า บุคคลนั้น คือผู้รู้เห็นปานนั้น ย่อมไม่ควรเพื่อจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
บทว่า วนฺตกสาวสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มีกิเลสดุจน้ำฝาดคายออกแล้ว ทิ้งแล้ว คือละได้เเล้วด้วยมรรค ๔.
บทว่า สีเลสุ คือในปาริสุทธิศีล ๔. บทว่า สุสมาหิโต แปลว่า ตั้งมั่นแล้วด้วยดี.
บทว่า อุเปโต ได้แก่ เข้าไปประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการข่มอินทรีย์ และด้วยสัจจะมีประการดังที่กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า ส เว ความว่า บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น ย่อมควร (เพื่อจะนุ่งห่ม) ผ้ากาสาวะอันมีกลิ่นหอมนั้น โดยส่วนเดียวแท้.
บทว่า วิปนฺนสีโล คือผู้มีศีลขาดแล้ว. บทว่า ทุมฺเมโธ ได้แก่ ไม่มีปัญญา คือปราศจากปัญญาเป็นเครื่องที่จะชำระศีล (ให้บริสุทธิ์).
บทว่า ปากโฏ ได้แก่ ปรากฏ คือประกาศว่า ผู้นี้เป็นคนทุศีล, หรือปรากฏ คือมีอินทรีย์อันปรากฏแล้ว เพราะเหตุที่ตนมีอินทรีย์อันฟุ้งซ่านแล้ว. บทว่า กามการิโย ได้แก่ เพราะขาดจากความสำรวม จึงเป็นผู้ทำตามใจปรารถนา, หรือกระทำตามความใคร่ของกามและของมาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 224
บทว่า วิพฺภนฺตจิตฺโต ได้แก่ ผู้มีจิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ มีรูปารมณ์เป็นต้น. บทว่า นิสฺสุกฺโก ได้แก่ ไม่ขวนขวาย คือปราศจากธรรมฝ่ายขาว เว้นจากหิริโอตตัปปะ, หรือปราศจากการขวนขวายในการบำเพ็ญกุศลธรรมให้ถึงพร้อม.
บทว่า วีตราโค คือมีฉันทราคะไปปราศแล้ว. บทว่า โอทาตมนสงฺกปฺโป ได้แก่ มีความตรึกในใจสะอาดและบริสุทธิ์ หรือมีความดำริอันไม่ขุ่นมัว.
บทว่า กาสาวํ กึ กริสฺสติ ความว่า ผู้ใดไม่มีศีล, ผ้ากาสาวะจักสำเร็จประโยชน์แก่ผู้นั้นได้อย่างไรเล่า, คือเพศบรรพชิตของเขาจะเป็นเช่นกับถูกแต่งให้วิจิตรภายนอกฉะนั้น.
บทว่า ทุฏฺิจิตฺตา ได้แก่ ผู้มีจิตถูกโทษแห่งกิเลสมีราคะเป็นต้นประทุษร้ายแล้ว. บทว่า อนาทรา ได้แก่ จักเป็นผู้ปราศจากความเอื้อเฟื้อ คือไม่มีความเคารพ ในพระศาสดา ในพระธรรม และในกันและกัน (ในพระสงฆ์).
บทว่า ตาทีนํ เมตฺตจิตฺตานํ ความว่า ผู้มีหัวใจประกอบพร้อมแล้วด้วยเมตตาภาวนา บรรลุถึงความเป็นผู้คงที่ ในอารมณ์มีอิฏฐารมณ์เป็นต้น มีคุณอันโอฬาร เพราะบรรลุพระอรหัตนั้นนั่นแล. ก็คำทั้งสองนี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
บทว่า นิคฺคณฺหิสสนฺติ ความว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ถูกเบียดเบียนแล้ว ก็จักหลีกไปโดยประการใด จักถูกเบียดเบียนโดยประการนั้น ด้วยความไม่เคารพและความกลัวในตนว่า ภิกษุทั้งหลายเห็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้นแล้ว เมื่อจะทำการยกย่อง จักไม่สำคัญพวกเราผู้มีศีลวิบัติเป็นอันมาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 225
บทว่า สิกฺขาเปนฺตาปิ ได้แก่ แม้ให้ศึกษาอยู่. จริงอยู่ บัดนี้ ท่านแสดงเป็นกัตตุวาจก ลงในกรรมวาจก. บทว่า เถเรหิ ได้แก่ อันพระอาจารย์และอุปัชฌาย์ของตน.
บทว่า จีวรธารณํ นี้ เป็นเพียงแสดงถึงข้อปฏิบัติของสมณะ ความว่า เพราะฉะนั้น จึงให้ศึกษาอยู่ โดยนัยเป็นต้นว่า เธอพึงก้าวไปอย่างนี้, เธอพึงถอยกลับอย่างนี้ ดังนี้.
บทว่า น สุณิสฺสนฺติ ความว่า จักไม่ยอมรับฟังโอวาท.
บทว่า เต ตถา สิกฺขิตา พาลา ความว่า ภิกษุพวกที่โง่เขลาเหล่านั้น แม้อาจารย์และพระอุปัชฌาย์ให้ศึกษาอยู่ ก็ไม่ยอมศึกษา เพราะไม่มีความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า นาทิยิสฺสนฺตุปชฺฌาเย ความว่า ไม่ยอมทำความเอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌาย์และในพระอาจารย์ คือไม่ดำรงในคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์เป็นต้นเหล่านั้น. ถามว่า เปรียบเหมือนอะไร? เปรียบเหมือนม้าพิการ ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น. ความว่า ภิกษุแม้เหล่านั้น ย่อมไม่กลัว คือไม่ยินดีในพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ เปรียบเหมือนม้าพิการ คือม้าโกง ย่อมไม่เอื้อเฟื้อต่อนายสารถีผู้ฝึกม้า คือไม่ตั้งอยู่ในคำสั่งสอนของนายสารถีนั้นฉะนั้น.
คำว่า เอวํ เป็นต้น เป็นคำลงท้ายของเรื่องที่กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ แปลว่า โดยประการดังกล่าวไว้แล้ว. บทว่า อนาคตทฺธานํ ได้แก่ ในกาลที่ยังไม่มาถึง คือในอนาคตกาล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 226
พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละ โดยสรุป จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนาดังนี้.
ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน? อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย. จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี ๕ ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุต และทานยุค. บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค, เมื่อวิมุตติยุคนั้น อันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อสมาธิยุคนั้น อันตรธานแล้ว ศีลยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อศีลยุคนั้น อันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไปทีเดียว. ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประดับประคอง ปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่ตนมุ่งถึงลาภเป็นต้น. ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุด ย่อมอันตรธานไปทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมา จักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น ในคราวนั้นคนทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้ทาน, เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้น จัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคนเหล่านั้น. บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมา จึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่านทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือจักมาจนถึงในกาลนั้นนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 227
บทว่า สุพฺพจา ได้แก่ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือประกอบพร้อมด้วยธรรมอันกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย อธิบายว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสั่งสอนของครูทั้งหลาย คือมีปกติรับโอวาทเบื้องขวา. บทว่า สขิลา ได้แก่ มีใจอ่อนโยน.
บทว่า เมตฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตประกอบพร้อมด้วยเมตตา มีอันนำประโยชน์เข้าไปให้สัตว์ทั้งปวงเป็นลักษณะ.
บทว่า การุณิกา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยกรุณา คือประกอบพร้อมแล้วด้วยความกรุณา มีการประพฤติปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์เหล่าอื่น.
บทว่า อารทฺธวีริยา ได้แก่ มีความเพียร เพื่ออันละเสียซึ่งอกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม.
บทว่า ปหิตตฺตา ได้แก่ มีจิตอันส่งตรงไปเฉพาะพระนิพพาน.
บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ตลอดกาลทั้งปวง. บทว่า ทฬฺหปรกฺกมา ได้แก่ มีความเพียรมั่นคง.
บทว่า ปมาทํ ได้แก่ ความประมาท คือการไม่ตั้งไว้ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย. สมดังที่ตรัสไว้ว่า (๑) :-
ในข้อนั้น ความประมาทเป็นไฉน, การปล่อยจิตไปการตามเพิ่มให้ซึ่งความปล่อยจิตในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือการทำการบำเพ็ญกุศลธรรมโดยไม่เคารพ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อปฺปมาทํ ได้แก่ ความไม่ประมาท, ความไม่ประมาทนั้น
๑. อภิ. วิ. ๓๕ /ข้อ ๘๖๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 228
บัณฑิตพึงทราบโดยตรงกันข้ามจากความประมาทเถิด. ก็โดยความหมายชื่อว่าความไม่ประมาท ก็คือการไม่อยู่ปราศจากสติ, และคำนั้น เป็นชื่อของการเข้าไปตั้งสติไว้มั่นคง. จริงอยู่ ในข้อนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้
เพราะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมด มีความประมาทเป็นมูล และสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นมูล ฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย คือโดยความเป็นอุปัทวะแล้ว และพึงเห็นความไม่ประมาท โดยความปลอดภัย คือโดยไม่มีอุปัทวะแล้ว พึงเจริญอัฏฐังคิกมรรค คืออริยมรรค มีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ที่สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเป็นยอดแห่งข้อปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาทเถิด, ท่านจะถูกต้อง คือกระทำให้แจ้ง ซึ่งอมตธรรมได้แก่พระนิพพาน ให้เกิดขึ้นในสันดานของตนได้, ครั้นเข้าถึงทัสสนมรรค (โสดาปัตติมรรค) แล้ว ก็เจริญด้วยการทำมรรค ๓ เบื้องบนให้บังเกิดขึ้นอีก ท่านบำเพ็ญภาวนาจักถึงที่สุดยอดได้ ก็ด้วยความไม่ประมาท ด้วยประการฉะนี้แล.
พระเถระ กล่าวสั่งสอนบริษัทที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนี้แล. ก็คาถาพยากรณ์ความเป็นพระอรหัตเหล่านี้ทั้งหมด ได้มีแล้วแก่พระเถระนี้แล.
จบอรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑