ทำตามวิธีที่ท่านเขียน ไม่น่าจะผิด
โดย ธรรมทัศนะ  27 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51026

ถ้าผมได้ทำตามวิธีปฏิบัติสมาธิว่า ทำอย่างนี้ๆ ตามที่ท่านเขียน มันไม่น่าจะผิด นี่คือข้อที่ ๑. ข้อที่ ๒. ถ้าต้องศึกษาอภิธรรมก่อน หมายความว่า ผมควรหยุดปฏิบัติสมาธิ เพื่อเรียนพระอภิธรรมให้ได้ก่อนจึงจะทำ หรืออย่างไร


รับฟัง ...

มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง

สุ. เคยพูดคำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ไหม และต่อจากนั้น คือ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ หมายความว่าอย่างไร

ผู้ฟัง ยึดพระพุทธ พระธรรม เป็นที่ตั้ง

สุ. มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง พระธรรม คือ คำสอน ถ้าเราไม่ศึกษาคำสอน เราจะมีอะไรเป็นที่พึ่งที่จะรู้ว่า ใครถูก ใครผิด แต่ถ้าเราศึกษาแล้ว เราสามารถรู้ได้ จะไม่มีชื่อคนเลย แต่จะมีว่า คำพูดอย่างนี้ไม่ตรง ไม่ถูกกับสภาพธรรม เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เมื่อเราศึกษาแล้ว เราสามารถวัดได้ รู้ได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังหรืออ่านนั้นถูกต้องหรือเปล่า แต่ถ้า เรายังไม่ได้เรียน ก็เป็นของธรรมดาที่ว่าได้ยินได้ฟังอะไร เราก็เข้าใจว่า ผู้นั้นถูก ผู้นี้ถูก เพราะเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัด ไม่มีพระธรรมเป็นสรณะ แต่ถ้าเราศึกษา มีพระธรรมเป็นสรณะจริงๆ ต่อไปเราก็จะมีพระอริยสงฆ์ คือ พระอริยบุคคลเป็นสรณะ เพราะเรารู้ว่าหนทางใดที่จะทำให้บุคคลเป็นพระอริยเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้ เราก็สับสน และเอาความคิดของเราเองว่า คงจะเป็นอย่างนี้ หรือคงจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก ลึกซึ้งมากด้วย

เมื่อ ๒ – ๓ วันนี้ เราก็พูดกันบ่อยๆ เรื่องอริยสัจจ์ ๔ สองอริยสัจจ์แรก ลุ่มลึก เพราะเห็นยาก แต่สองอริยสัจจ์หลัง ซึ่งรวมทั้งการประพฤติปฏิบัติ การอบรมเจริญปัญญาที่เป็นอริยสัจจ์สุดท้ายด้วย เห็นยาก เพราะลุ่มลึก

ทำไมเราลืมคำนี้ เราคิดว่า ไปนั่งเฉยๆ ง่ายๆ เป็นสมาธิ ไม่ต้องศึกษาอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้น คำที่ว่า เห็นยาก เพราะลุ่มลึก จะมีความหมายว่าอะไร

เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ได้ศึกษา จะสอดคล้องกันทั้งหมดทุกคำ ไม่คัดค้านกันเลย แม้แต่การคิดว่า เราจะไปทำสมาธิ แต่ในคำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนามี ๒ อย่าง สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา ภาวนาทั้ง ๒ จะเป็นไปได้เมื่อมีปัญญา หมายความว่าถ้าปราศจากปัญญาแล้ว จะอบรมเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะเหตุว่าสมถะแปลว่าสงบ สงบ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ คนเดียว ว่างๆ ไม่รู้อะไร แต่สมถะ หมายความว่า สงบจากอกุศล

ขณะใดจิตเป็นอกุศล ผู้นั้นต้องรู้ ไม่ใช่ไปรู้ชื่อนิวรณ์ ๕ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ แต่ขณะนี้นิวรณ์อะไร ทางตาหลังจากที่เห็น นิวรณ์อะไร ทางหู หลังจากที่ได้ยินแล้ว นิวรณ์อะไร เพราะว่าสภาพธรรมมีจริงๆ ทั้งหมด แต่เราไปฟังเพียงชื่อ ไปอ่านเพียงชื่อ ไปจำเพียงชื่อ แต่ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วชื่อทั้งหมด ขณะนี้มีหรือเปล่า และเมื่อไร

การอบรมเจริญปัญญาแม้เป็นขั้นของความสงบ คือ สมถะ ก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่สงบ ต้องมีสติสัมปชัญญะ ขณะนั้นสามารถที่จะรู้สภาพจิตอย่างที่เราถามกันว่า จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็หมายความว่าเราไม่ได้รู้สภาพ ของจิต จึงได้ถามเพียงชื่อและเรื่องราวว่า อย่างนั้นเป็นกุศล หรืออย่างนี้เป็นอกุศล แต่เวลาที่สภาพจิตอย่างใดเกิด สติสัมปชัญญะระลึกแล้วรู้ ขณะนั้นลักษณะของจิต ที่เป็นกุศลต่างกับจิตที่เป็นอกุศล และเป็นอกุศลประเภทไหน กามฉันทะ หรือ พยาปาทะ หรือวิจิกิจฉา หรืออะไรที่เป็นนิวรณ์ เพราะว่าอกุศลทั้งหมดเป็นนิวรณ์

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ และคนในครั้งโน้นที่อบรมเจริญ สมถภาวนา ท่านเหล่านั้นเห็นโทษของโลภะ แต่เราเห็นโทษของโลภะหรือเปล่า ขณะเป็นโลภะก็ยังไม่รู้ แต่ท่านเหล่านั้นสามารถรู้ว่า เพียงเห็น เป็นอกุศลแล้ว ติดแล้ว เพียงได้ยิน ก็ติดข้องแล้ว เร็วมาก และบางเบามาก แต่เรามักจะเห็น อกุศลหยาบๆ ใหญ่ๆ เวลาเห็นคนที่โกง ทุจริต เราก็บอกว่า เขามีโลภะมาก แต่ที่เห็นแล้วชอบ ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเป็นโลภะ บางคนเขาเดินไปตามถนนและบอกว่า นั่นสวยดี เป็นโลภะ แต่ก่อนที่จะสวยดี โลภะเท่าไรแล้วก็ไม่ทราบ ทันทีที่ลืมตา ตื่นขึ้นก็มีความติดข้อง

ผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาถูกต้องในครั้งโน้น ที่จิตจะสงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ท่านต้องเห็นโทษของโลภะและรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือแม้เพียงการคิดนึกเรื่องราวของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จิตไม่สงบ เพราะฉะนั้น ท่านรู้ลักษณะของจิตที่เป็นกุศลซึ่งต่างกับอกุศล และรู้ว่า การที่จะทำให้จิตสงบเป็นกุศล ต้องอาศัยสภาพธรรมที่ตรึก คือ นึกบ่อยๆ ใน สภาพธรรมที่ทำให้จิตเป็นกุศล ไม่ใช่ไปนึกอะไรก็เป็นกุศลไปหมด เป็นไปไม่ได้ อย่างเห็นซากศพซึ่งเป็นอสุภกัมมัฏฐาน คนนั้นต้องเป็นผู้ตรงว่า เห็นแล้วกลัว หรือ เห็นแล้วปัญญามี ขณะนั้นจิตจึงจะสงบได้ แต่ถ้าปัญญาไม่มี จิตก็ไม่สงบ เพราะฉะนั้น ท่านต้องรู้สภาพของจิต ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ปัญญาก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล และตรึกอย่างไรกุศลจิตจึงจะเกิด จนกระทั่งจิตของท่านเป็น กุศลขึ้นๆ ในสภาพของอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ที่ทำให้สงบ

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าง ไม่ใช่ไม่มีปัญญา แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา ที่สามารถรู้ลักษณะของจิตด้วย จึงจะเป็นสมถภาวนา นี่คือ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สอบทานได้กับพระไตรปิฎก มีเหตุมีผลที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจทุกคำที่เราได้ยินอย่างถูกต้อง

ถ้าเขาบอกว่าสงบ เราก็สงบไปด้วย โดยเราไม่รู้ว่าสงบคืออะไร สงบจะเกิด ได้อย่างไร จะมั่นคงขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไร ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล มีแต่เรื่องทำด้วยโลภะ หรือด้วยความต้องการ

ถ้ามีความต้องการ และไปนั่งทำด้วยความต้องการ อาจารย์กับศิษย์ก็ ช่วยกันไป ทำกันไป เวลาเกิดว่างๆ ขึ้นมา ก็ดีใจติดข้องชอบใจไปอีก นั่นคือ ไม่มีพระธรรมเป็นสรณะ

ผู้ฟัง เท่าที่ฟังความคิดของคุณอุดม เขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าไปเรียนสมาธิก่อน จึงได้วิปัสสนา เพราะฉะนั้น สมาธิก็คือบาทของวิปัสสนา อยากจะให้อาจารย์ขยายอันนี้

สุ. คนละเรื่องเลย ความสงบเป็นความสงบ เพราะฉะนั้น ในครั้งโน้นก็มี ผู้ที่ได้บำเพ็ญสมถภาวนาและได้ฌานจำนวนมาก แต่ผู้ที่ได้ฌานนั้นเองไม่ใช่ว่า จะได้วิปัสสนา เพราะถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เรื่องของฌานก็เรื่องของฌานไป แต่เมื่อไรบุคคลเหล่านั้นได้ฟังพระธรรม ซึ่งทรงแสดงหนทางว่า หนทางที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ คือ รู้สภาพที่เป็นทุกขลักษณะ ที่เป็นอริยสัจจะที่กำลังเกิดดับ มีหนทางเดียว เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมเป็นอย่างนั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้สภาพธรรมก็เป็นอย่างนั้น

ขณะนี้สภาพธรรมก็เกิดและดับ จิตเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ จิตเกิดขึ้นได้ยินแล้ว ก็ดับ สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ได้ฟังอย่างนี้ ใครจะประจักษ์อย่างนี้หรือไม่ประจักษ์ เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไป แต่ความจริงก็คือความจริง

เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดง ซึ่งพวกที่อบรมเจริญสมถภาวนาไม่มีโอกาส รู้อย่างนี้เลยถ้าไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้

ผู้ใดที่เคยอบรมเจริญสมถะมาก่อนและฟังคำสอน จะต้องเริ่มอบรม เจริญสติปัฏฐาน เพราะถ้าไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ปัญญาจะคลายความไม่รู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมรูปธรรมซึ่งไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมไม่ได้เลย [ตอนที่ 1840]



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ก.ย. 2568

ผู้ใดที่เคยอบรมเจริญสมถะมาก่อนและฟังคำสอน จะต้องเริ่มอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพราะถ้าไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ปัญญาจะคลายความไม่รู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมรูปธรรมซึ่งไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมไม่ได้เลย [ตอนที่ 1840]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 30 ก.ย. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา