อุปักกิเลสสูตร.. อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาทกัน
โดย pirmsombat  5 ก.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21684

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 124

. อุปักกิเลสสูตร

[๔๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารโฆสิตาราม กรุง

โกสัมพี สมัยนั้นแล พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีเกิดขัดใจทะเลาะวิวาทกัน เสียดสี

กันและกันด้วยฝีปากอยู่.

[๔๔๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น

แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืน

เรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีนี้ เกิดขัดใจทะเลาะวิวาทกัน เสียดสีกันและกันด้วย

ฝีปากอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปยัง

ที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้นเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ ด้วยดุษณีภาพ ต่อนั้น

ได้เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น ครั้นแล้วได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าเลย อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาท

กันเลย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลพระผู้มี

พระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของ

ธรรม ทรงยับยั้งก่อน ขอได้โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ทรงประกอบ

เนืองๆ แต่สุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ยังจักปรากฏอยู่

ด้วยการขัดใจ ทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาทกันเช่นนี้.

[๔๔๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นแม้ในวาระที่ ๒

ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าเลย อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง

อย่าวิวาทกันเลย ภิกษุรูปนั้นก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ในวาระที่ ๒

ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม

ทรงยับยั้งก่อน ขอได้โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ทรงประกอบเนืองๆ

แต่สุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ยังจักปรากฏอยู่ด้วยการ

ขัดใจ ทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาทกันเช่นนี้.

[๔๔๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นแม้ในวาระที่ ๓

ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าเลย อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง

อย่าวิวาทกันเลย ภิกษุรูปนั้นก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ในวาระที่ ๓

ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม

ทรงยับยั้งก่อน ขอได้โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ทรงประกอบเนืองๆ

แต่สุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ยังจักปรากฏอยู่ด้วยการ

ขัดใจ ทะเลาะแก่งแย่ง วิวาทกันเช่นนี้.

ว่าด้วย ภาษิตคาถา



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากพระสูตรนี้ เป็นเรื่องที่ ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ทะเลาะกัน เพราะ เหตุเพียงน้ำ

เพียงขันเดียว แม้พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสห้าม และ ก็ยกชาดก และ พระธรรมส่วนต่างๆ

ก็ไม่สามารถระงับการทะเลาะของภิกษุทั้งหลายได้เลย ครับ นี่แสดงให้เห็นว่า กิเลสเมื่อ

เกิดขึ้น ย่อมมีกำลัง ยิ่งกว่าช้างสารที่ตกมัน ไม่สามารถที่จะห้ามได้เลย แม้แต่พระธรรม

ของพระพุทธเจ้า นี่คือภัยของกิเลส แต่เมื่อภิกษุทั้งหลายสำนึกได้ และได้ฟังธรรมก็

ได้เป็นพระอรหันต์ ครับ เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นถึงความเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวัน

ที่แต่ละคน โลกทั้งโลก ที่เต็มไปด้วยกิเลส ประพฤติ ทะเลาะ แก่งแย่ง เพราะ ไม่ได้รู้

ความจริง ไม่มีปัญญา ตกอยู่ในอำนาจของอวิชชา และเห็นถึงความเป็นธรรมดาของ

การประพฤติไม่ดีของบุคคลต่างๆ ว่า เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็ทำให้ทำอย่างนี้ได้เป็นธรรมดา

เพราะกิเลสมีกำลัง ดังนั้น ก็สงบที่ใจเราเอง แทนที่จะว่า หรือ คิดไม่ดีในการกระทำ

ที่ไม่ดีของคนอื่น มีการทะเลาะ และ ทำบาปต่างๆ ก็เข้าใจว่า เป็นแต่เพียงธรรมเป็นไป

ที่ทำหน้าที่ตามกิเลสที่เกิดขึ้น นี่คือ ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า

คือ ขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ อันเกิดจากความเข้าใจเมื่อได้อ่าน ศึกษาพระ

ธรรม ครับ ขออนุโมทนาคุณหมอ และ ทุกท่าน ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมออาจารย์ผเดิมและทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย pirmsombat  วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิม คุณผู้ร่วมเดินทาง และ ทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 4    โดย kinder  วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย nong  วันที่ 8 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 9 ก.ย. 2555

ถ้ามีปัญญา ก็จะรู้ว่ากุศลควรเจริญ อกุศลควรละ เพราะฉะนั้น เมตตาควรเจริญให้มาก

ถ้ามีเมตตาต่อกันเป็นปกติ ก็จะไม่มีการขัดแย้งกัน ไม่ทะเลาะกัน ค่ะ