ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๙
โดย khampan.a  3 ก.พ. 2562
หัวข้อหมายเลข 30451

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๙


~ เป็นชาวพุทธก็ต้องรู้จักพุทธะ พุทธะ คือ พระพุทธรัตนะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) รู้จักคำสอนคือพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่ฟังไม่เข้าใจให้ถูกต้อง จะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างไร เพราะฉะนั้น แม้แต่ชาวพุทธ ก็ไม่เป็น เป็นแต่เพียงเรียกกันเองว่าชาวพุทธ แล้วยังเรียกร้องให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอีก โดยไม่รู้อะไรเลย แล้วไปเรียกร้องมาทำไม ถ้าเข้าใจจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ทุกประเทศ ประเทศไหนก็ตามแต่ที่ฟังธรรมเข้าใจ เป็นชาวพุทธทั้งหมด ไม่ต้องเป็นประจำชาติไหนเลยทั้งสิ้น เพราะว่าประจำโลก ไม่ใช่ประจำแต่เฉพาะชาติหนึ่งชาติใด
~ ผู้คนจะมีจำนวนสักเท่าไรก็ตาม ชื่ออะไรบ้างก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรม นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย สภาพของโลภะเป็นโลภะ สภาพของโทสะเป็นโทสะ สภาพของปัญญาเป็นปัญญา สภาพของกุศลเป็นกุศล สภาพของอกุศลเป็นอกุศล

~ ความเคารพนอบน้อมของพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มีต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ว่าจะพระองค์ทรงอนุญาตให้ถอนพระบัญญัติเล็กน้อย แต่ว่าพระอรหันต์เถระทั้งหลาย ท่านก็มีความเคารพในสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว และไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนในสมัยนี้คิดเห็นว่า พระวินัยบัญญัติข้อใดอาจจะประพฤติไม่ได้ หรือว่าไม่เหมาะไม่ควร ก็ขอให้คิดถึงพระอรหันต์ทั้งหลายในการกระทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ซึ่งท่านมีความเห็นร่วมกันว่า ท่านจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงบัญญัติ และจะไม่ถอนสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม บวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ไม่รู้จักอัธยาศัยของตัวเอง แล้วจะละอาคารบ้านเรือนไปทำไม ไปสนุก ไปรับเงิน ไปให้คนกราบไหว้ แล้วก็ไปสอนผิดๆ ทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่า ไม่ได้พูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

~ พระภิกษุทุกรูป ที่บวช ก็เพื่อที่จะดำเนินตามรอยพระบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การขัดเกลากิเลส ไม่ใช่มารับเงินรับทอง

~ บวชแล้วไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ พระภิกษุ ไม่ศึกษาพระธรรม ผิด เป็นอาบัติ (มีโทษ) เพราะเหตุว่า การบวช ก็ต้องหมายความว่า ก่อนบวชเป็นคฤหัสถ์ และคฤหัสถ์นั้นก็ต้องได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ไม่ได้ฟังเลยแล้วบวช อย่างนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ บวชทำไม ในเมื่อเป็นคฤหัสถ์ก็ฟังพระธรรมได้ แต่ว่าเวลาฟังพระธรรม ต่างคนต่างรู้อัธยาศัยของตนเอง จริงใจที่จะสละอาคารบ้านเรือน วัตถุทรัพย์สมบัติทั้งหมด ความสนุกสนานรื่นเริง วงศาคณาญาติทั้งหมด เพื่อที่จะอุทิศ (เฉพาะ) ศึกษาพระธรรมและพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของพระธรรม ที่จะศึกษาอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตได้ จึงบวช ไม่ใช่ใครๆ อยากจะบวชก็บวช

~ ภิกษุใดที่ไม่ศึกษาธรรมให้ลึกซึ้ง กล่าวผิดจากพระธรรมและพระวินัย ภิกษุนั้นเป็นโทษ และก็เป็นอันตราย เพราะเหตุว่า ทำให้คฤหัสถ์หลงผิด เข้าใจผิดด้วย

~ พระภิกษุที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย ไม่ปลงอาบัติ ไม่สำนึก ท่านตกนรก ไปสู่อบายภูมิ

~ ถ้าพระภิกษุ ไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม แต่บวช เป็นโทษอย่างยิ่ง ไม่ดำรงพระศาสนา และก็ทำให้คฤหัสถ์หลงผิด เข้าใจผิด ด้วย

~ พระภิกษุต่างจากเพศคฤหัสถ์ พระภิกษุเป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้สมกับการเป็นเพศที่สูงยิ่งแล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร .... รับเงินรับทอง เป็นภิกษุได้อย่างไร
~ ขอเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นผิด ต้องอาจหาญร่าเริง กล้าหาญจริงๆ ที่จะอยู่ฝ่ายถูก

~ ถ้ามีความเห็นถูกต้องจริงๆ จะเห็นคุณประโยชน์ของการมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้อง วันหนึ่งข้างหน้าก็จะได้ประโยชน์ใหญ่ในการไม่ตามสิ่งที่ผิด หรือตามหมู่คณะในทางที่ผิด เป็นผู้กล้ายืนอยู่ในทางที่ถูกได้

~ สิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายแม้แต่ผู้ศึกษาธรรม คือ การติดในลาภ สักการะ สรรเสริญ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้มั่นคงจริงๆ เพื่อการละ ไม่ว่าจะศึกษา จะทำงานเผยแพร่พระศาสนา ก็เป็นไปเพื่อการละ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น

~ ใครก็ตามที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ต้องเข้าใจธรรม แล้วคนที่ต้องการจะรักษาพระพุทธศาสนา ศึกษาธรรมหรือเปล่าเข้าใจธรรมหรือเปล่า มีแต่จะรักษา จะรักษาอย่างไร รักษาด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ก็รักษาไม่ได้

~ ถ้าช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจถูก เป็นประโยชน์ไหม? เป็นผลดีไหม? และก็เป็นกุศลด้วย เป็นการขัดเกลากิเลส เพราะธรรม ตรง ความถูกต้องที่ได้พิจารณาแล้ว จะผิดไม่ได้เลย

~ ชาวพุทธต้องฟังพระธรรม จึงจะเป็นชาวพุทธจริงๆ ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธที่เข้าใจพระธรรมที่ศึกษาจริงๆ ก็เป็นผู้ทำลายพระศาสนา

~ พอได้ยินคำว่ากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ไม่มีใครชอบ แต่มีทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง แต่ส่วนมาก ก็มีมาก เยอะ มีทุกวันก็ไม่รู้

~ ปัญญาประเสริฐที่สุด ปัญญา ละอกุศล ถ้าไม่มีปัญญาจะละอกุศลได้อย่างไร

~ พระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ พระภิกษุทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อายุเท่าไหร่เป็นเถระหรือไม่เป็นเถระ ทั้งหมด จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ใครที่ประพฤติผิดจากที่ทรงบัญญัติไว้ ก็มีโทษ

~ พระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทรงบัญญัติไว้
เป็นศาสดาแทนพระองค์ คนอื่นเกิดแล้วตายไป มีความรู้น้อยบ้างมากบ้าง
แล้วจะให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ได้อย่างไร แต่พระธรรมวินัยที่แต่ละคนได้ศึกษาดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์

~ เป็นคฤหัสถ์ทำความดีได้มากตามอัธยาศัย เป็นพระภิกษุทำความดีให้ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ด้วยการศึกษาธรรมเข้าใจธรรม และประพฤติตามพระธรรม เท่านั้น จึงเป็นความดีที่ยิ่งกว่าคฤหัสถ์
~ เป็นภิกษุ พูดเล่นได้ไหม ล้อเล่นได้ไหม? ไม่ได้ ดูหนังได้ไหม? ไม่ได้
เล่นคอมพิวเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ฟังเพลงได้ไหม? ไม่ได้
~ พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเป็นคนดี เพราะฉะนั้น เป็นคนดีเมื่อไหร่
ก็แทนคุณเมื่อนั้น แต่ถ้าไปบวชแล้วไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่ได้แทนคุณอะไรเลย เป็นโทษกับตนเองด้วย

~ เป็นผู้ทรยศต่อพระสัมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้ สอนอย่างนี้ แต่ไม่ทำตาม
~ พระบางรูปบอกว่า ถนอมน้ำใจของคฤหัสถ์ ก็รับ (เงิน) ไว้ แล้วจะส่งต่อให้คนอื่น อย่างนี้ ไม่เคารพความจริง ในพระธรรม ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชเป็นโทษ ไม่ได้เป็นบุญเลย ใช้คำว่าบวช เป็นโทษ เพราะไม่ได้เข้าใจธรรม
~ บวชแล้วไม่ได้เรียนธรรมเลย แล้วก็รับเงินรับทอง นั่นไม่ใช่ภิกษุเลย นั่นเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นโทษกับตนเองอย่างมาก จากโลกนี้ไปก็คือ (ไปเกิดใน) อบายภูมิ เพราะทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดว่าเราเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย
~ มีอัธยาศัยที่จะศึกษาพระธรรม เป็นคฤหัสถ์ก็ศึกษาได้ แล้วไปบวชทำไม?
~ ถ้ายังเก็บสิ่งที่ผิดไว้ แล้วจะถูกได้อย่างไร ก็ปะปนกัน เพราะเหตุว่า ยังคิดว่าสิ่งที่ผิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
~ หนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังพระธรรมซึ่งเป็นคำของพระองค์ เป็นความจริงทุกคำ
~ การที่ไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่เห็นโทษของการประพฤติทางกายทางวาจาที่ไม่เหมาะสม ตามลำดับ ตั้งแต่เล็กน้อย จนกระทั่งถึงสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
~ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมีปัจจัยทำให้เกิดก็เกิดขึ้นทั้งนั้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
~ คนที่เข้าใจพระธรรมแล้ว ก็จะคิดถึงคนอื่นที่เขาไม่เข้าใจ เพราะเหตุนั้นก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้มีโอกาสไตร่ตรองพิจารณาให้ถูกต้อง
~ ความเข้าใจพระธรรมจะทำให้ละเว้นจากการเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ต่ำช้า
~ ละเว้นสิ่งที่ไม่ดี เพราะอกุศลทั้งหมดไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้เลย และโอกาสที่จะกุศลจิตจะเกิด ก็ไม่มากเลย

~ ถ้าชาตินี้เห็นผิด ชาติต่อไปก็เห็นผิด แต่ถ้าชาตินี้ได้สะสมความเห็นที่ถูกต้องเป็นปัจจัย พอได้ยินคำที่ถูกต้อง ก็สามารถเข้าใจถูกได้ เพราะคำจริงทั้งหมด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าว เพราะเป็นคำที่ถูก
~ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ แต่ต่อไปนี้ ก็จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะรู้ว่าสิ่งใดผิดก็ไม่ทำ นี่คือปัญญา ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นถูก จะไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๘ (ครั้งพิเศษ)

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย jaturong  วันที่ 4 ก.พ. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย มกร  วันที่ 5 ก.พ. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 6 ก.พ. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย kukeart  วันที่ 9 ก.พ. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ