ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๐ * * 
~ ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลใด ถ้าทำอกุศลกรรมแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเปรตได้ทั้งนั้น
~ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเข้าใจนั้น ก็จะทำให้แกล้วกล้าอาจหาญที่จะทำทุกอย่างที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเกรงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ควรเกรง คือ อกุศล
~ กุศล ก็มี น้อยหรือมาก ถ้าไม่รู้ก็ต้องคิดว่ากุศลมาก แต่ความจริงระหว่างกุศลเกิด ก็มีอกุศลเกิดก่อนและเกิดต่อ อยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ ใครจะสามารถชี้โทษที่มีให้คนที่มีอกุศลนั้นรู้ได้ ไม่สามารถเป็นไปได้เลย ถ้าไม่ใช่การตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง เดี๋ยวนี้มีไหม อกุศล? มี นี่คือประโยชน์แล้ว ได้รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปสู่ที่หนึ่งที่ใดไปนั่งเดินยืนนอนแล้วก็จะหมดอกุศลและความไม่รู้ได้
~ อยู่ไปในความเป็นเราโดยตลอดในสังสารวัฏฏ์จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วคนที่ได้ฟังธรรมของพระองค์ ก็รู้ความจริง เหตุที่จะทำให้ละอกุศล คือ รู้ความจริง
~ คำใดก็ตาม ที่ทำให้เข้าใจ ผู้นั้นก็ปีติ (เอิบอิ่มใจ) รู้ว่า มีโอกาสที่จะได้เข้าใจขึ้น
~ คนที่ฟังคำจริง (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เข้าใจถูก เห็นประโยชน์ของคำจริง ก็จะทิ้งสิ่งที่ผิดทั้งหมด แล้วก็มีการเห็นประโยชน์ ว่าเมื่อเราสามารถเข้าใจได้ คนอื่นถ้ามีโอกาสได้ฟังก็สามารถจะเข้าใจได้ด้วย เพราะฉะนั้น ก็มีความเป็นมิตร หวังดีที่จะให้สิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งใครให้ไม่ได้เลย นอกจากตนเองที่ได้ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง เข้าใจเมื่อไหร่ ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งภาษาบาลีก็จะใช้หลายคำ สมฺมาทิฏฺฐิ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฏฺฐิ (ทิฏฐิ) เป็นความเห็น สมฺมา (สัมมา) ก็ตรงถูกต้องตามความเป็นจริง ปัญญามีการเข้าใจความจริงของสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ใช้คำว่า ไม่สามารถที่จะเอาอะไรมาเปรียบค่าของความเห็นถูกซึ่งจะนำไปสู่การค่อยๆ ละกิเลสจนกระทั่งดับกิเลสได้หมด ไม่เหลือเลย
~ วันหนึ่งๆ ก็จะเห็นได้ว่า จะพูดสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น เวลาที่หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) มีกำลังขึ้น แต่ก่อนอาจจะพูดไปโดยที่ไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นจะเป็นโทษ แต่ว่าเวลาที่หิริโอตตัปปะเกิดขึ้น ทำให้พิจารณาเห็นว่า สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ แม้ว่ากำลังจะพูด ก็ยังสามารถที่จะเว้น ไม่พูดในขณะนั้นได้
~ ทุกคนมีทรัพย์สมบัติมากไหม เอาไปได้ไหมตอนตาย? แม้แต่ร่างกายซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเราก็ยังเอาไปไม่ได้เลย
~ ความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของพระธรรม ที่จากการที่ไม่เคยฟังแล้วก็ได้ฟัง จากอกุศลมากๆ ที่เคยมี ความเข้าใจธรรม ค่อยๆ ละคลายอกุศลตามกำลังของปัญญา
~ ให้ทราบว่าคนที่น่าเกลียด เต็มไปด้วยอกุศล สามารถที่จะเปลี่ยนจากที่เคยเป็นอกุศลให้ค่อยๆ ลดลงไป ก็ด้วยความเข้าใจธรรม เพราะปัญญา ย่อมนำไปในกิจทั้งปวง ปัญญาจะไม่เห็นผิด ปัญญาจะไม่เห็นว่าอกุศล ดี เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญา ก็จะทำกรรมดีเพิ่มขึ้น อกุศลก็ค่อยๆ ลดไปจนกว่าจะสามารถสละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้
~ คนที่ไม่รู้ คนที่มีอกุศล น่าสงสารไหม หรือจะโกรธเขาดี? ถ้าสามารถจะช่วยคนนั้นให้เป็นคนดีสักนิดหนึ่ง พร้อมจะทำทันทีไม่รีรอเลย เพราะความดีเป็นสิ่งที่หายากมาก โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็ยาก เกิดก็น้อย
~ เครื่องผูกที่มั่นคง ได้แก่ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ไม่เว้นแม้แต่ประเภทเดียว ผูกไว้ไม่ให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ซึ่งพาให้ตกต่ำเพียงอย่างเดียว ไม่นำประโยชน์ใดๆ มาให้เลยแม้แต่น้อย
~ ไม่รู้ตลอดไปแน่ๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
~ ฟังพระธรรม ต้องตั้งต้น พื้นฐานที่จะต้องเข้าใจก่อน ก็คือ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะพูดถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม เมตตา (ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน) เป็นธรรม กรุณา (เมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์ ก็ช่วยให้พ้นจากความทุกข์) เป็นธรรม อกุศลเป็นธรรม โลภะ โทสะ โมหะเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถเข้าใจแต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎกถูกต้องชัดเจนขึ้น
~ แต่ละคนก็คิดต่างกัน ถ้าคิดถึงความตาย คนหนึ่งคิดต่อไปว่าอย่างไร อีกคนหนึ่งคิดต่อไปว่าอย่างไร ก็แล้วแต่การสะสม แต่ให้เห็นว่า ถ้ารู้ว่าทุกคนต้องตาย แล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรดีเท่ากับทำความดีทันทีเท่าที่จะทำได้ เพราะว่า ส่วนใหญ่เรามักจะประมาทแล้วก็รอเวลาที่จะทำดี
~ ชีวิตไม่เที่ยงไม่แน่นอน จะพ้นจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ แต่ตราบใดที่ยังเป็นโอกาสที่จะทำความดี คนนั้นก็จะไม่ละเลยที่จะทำความดี ขณะใดที่ทำความดี เพราะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน จะเป็นคนนี้อีกไม่นาน แล้วอะไรเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ที่จะที่พึ่งได้จริงๆ ต้องเป็นความเข้าใจ โอกาสที่จะเข้าใจมีไหม ถ้ามี ทำไมทิ้งโอกาสนั้น เพราะฉะนั้น นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นรากฐานที่จะทำให้เมื่อมีความเข้าใจถูกแล้ว ก็ไม่ใช่เรา แต่ว่า ความเข้าใจนั่นแหละ นำมาซึ่งกุศลหรือสิ่งที่ดีงามโดยประการทั้งปวง แต่ไม่ฝืน เพราะถ้าฝืน ก็เป็นเรา เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้มั่นคงจริงๆ ว่าไม่มีเราต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
~ คำสอนทุกคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงทั้งหมดหรือเปล่า? หรือว่ามีผิดบ้าง มีถูกบ้าง? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรง จริง เพราะเกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์
~ ตราบใดที่ยังมีความเข้าใจผิด ซึ่งยังไม่ได้ละทิ้งไปด้วยความเข้าใจถูก ความเข้าใจผิดนั้น ไม่สามารถจะทำให้รู้ความจริงได้เลย
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรอง
~ ความเห็นถูกเท่านั้น ที่จะรู้ว่าอะไรผิด
~ ความเห็นถูก ต้องถูกเสมอ
~ ถ้าเป็นหนทางผิด ก็ผิดไปตลอด ไม่สามารถกลับหนทางผิดให้เป็นหนทางถูกได้
~ ถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล เทียบกันไม่ได้เลยว่าวันหนึ่งกุศลน้อยกว่าอกุศลแค่ไหน
~ พระธรรมทั้งหมด เพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูก ว่า กิเลสมีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรม เป็นหนทางเดียวที่ทำให้สามารถละกิเลสได้
ถ้าใครคิดว่า ละกิเลสได้โดยไม่เข้าใจธรรม ผู้นั้น เข้าใจผิด
~ ถ้าทำดีแล้วปลอดภัยแน่นอน ไม่มีสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจด้วยประการใดๆ เลยทั้งสิ้น
~ อาจหาญที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้วทิ้งส่วนที่ผิดทันที เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทิ้งทันที โอกาสที่จะเสพคุ้น (กับสิ่งที่ผิด) ย่อมเพิ่มขึ้นแล้วก็ยิ่งละลำบากมากขึ้น
~ ผู้หลงงมงาย จะเป็นชาวพุทธไม่ได้ เพราะชาวพุทธต้องรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ถึงแม้ว่าคนทั้งโลกจะเห็นผิด แต่ว่าถ้ามีผู้ที่เห็นถูกไม่กี่คน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
~ คนที่มีความเห็นที่ถูกต้อง จะพูดสิ่งที่ถูกต้องไหม ด้วยความหวังดีที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกด้วย?
~ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะชีวิตสั้นมาก เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือให้คนได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ชาติต่อๆ ไปก็จะไม่เห็นผิด และคนอื่นที่ได้เข้าใจแล้วก็เริ่มจะไม่เห็นผิด เพราะความเห็นผิด อันตรายมาก ถ้าผิดแล้วในชาตินี้ ชาติต่อๆ ไป ก็ผิด.
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ