เมื่อรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่
โดย เมตตา  1 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50838

[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 360 - 362

อัฏฐกวัคคิกะ

ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔

[๗๗๙] ก็ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษา ในกาลทุกเมื่อ ภิกษุรู้ความดับว่าเป็นความสงบแล้ว ไม่ พึงประมาทในศาสนาของพระโคดม.


อ.คำปั่น: สืบเนื่องมาจากเมื่อวานได้มีการสนทนาธรรมะในวันจันทร์ครับ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษา ในกาลทุกเมื่อ ครับ เป็นข้อความที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายในแนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๔๙๔ ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลจะให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้พิจารณาในความเป็นจริงของธรรมะ เป็นการศึกษาธรรมะไม่ข้ามในแต่ละคำจริงๆ ครับ

ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้อัญเชิญ ข้อความใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ตุวฏกสุตตนิทเทส มา ซึ่งกระผมก็ขอโอกาสอ่านข้อความนี้อีกครั้งครับ ซึ่งเป็นพระกถา แต่ละคำๆ ก็มีความละเอียดมากเลยครับ ที่จะได้กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียด ข้อความที่ปรากฏในพระกาถานี้ มีข้อความดังนี้

ก็ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษา ในกาลทุกเมื่อ ภิกษุรู้ความดับว่าเป็นความสงบแล้ว ไม่ พึงประมาทในศาสนาของพระโคดม. ครับท่านอาจารย์ นี้คือ ๑ พระกถาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ครับ แต่ละข้อความ แต่ละช่วงก็ควรค่าอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษาที่จะได้สนทนา เป็นการตั้งต้นแล้วตั้งต้นอีก เริ่มแล้วเริ่มอีก เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ข้อความแรกเลยครับ

ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ ครับ มีคำว่า ธรรมะ มีคำว่า ค้นคว้า ครับท่านอาจารย์ ในเบื้องต้นที่จะได้ศึกษาเพื่อความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเจริญขึ้นไปตามลำดับครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธรรมะนั้น คืออะไร? ธรรมะนั้นคืออะไร รู้หรือยัง?

อ.คำปั่น: ธรรมะนั้น ก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งหลากหลายมากเลยครับ

ท่านอาจารย์: และข้อความต่อไปว่าอย่างไร เมื่อรู้อย่างนี้แล้วใช่ไหม?

อ.คำปั่น: เมื่อรู้ธรรมะนั้นแล้ว ค้นคว้าอยู่ครับ

ท่านอาจารย์: ค้นคว้าอะไร?

อ.คำปั่น: ค้นคว้า ก็คือค้นหา พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เห็นแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นต้นครับ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นข้อความต่อไปหรือเปล่า?

อ.คำปั่น: เป็นข้อความที่อธิบาย บทว่า ค้นคว้า ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เข้าใจสิ่งที่เป็นธรรมะนั้นแล้วหรือยัง?

อ.คำปั่น: ยังไม่เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาใช่ไหม?

อ.คำปั่น: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพื่ออะไร?

อ.คำปั่น: เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: เพื่อเข้าใจธรรมะนั้น

อ.คำปั่น: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเดี๋ยวนี้ อะไรที่เป็นธรรมะนั้น?

อ.คำปั่น: ธรรมะนั้น ก็คือเห็นครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาใช่ไหม?

อ.คำปั่น: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง

อ.คำปั่น: ธรรมะนั้นก็ต้อง แต่ละหนึ่งๆ ครับ

ท่านอาจารย์: รู้จักไหม แต่ละหนึ่ง? ถ้าไม่รู้จัก จะบอกได้ไหมว่า หนึ่งนั้นเป็นธรรมะ?

อ.คำปั่น: ถ้าไม่รู้จักก็บอกไม่ได้ครับ แต่ละคำก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เพราะว่า แม้แต่คำว่า ธรรมะ ก็ต้องตั้งต้นจริงๆ ว่าคืออะไรด้วย คือสิ่งที่มีจริง

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ธรรมะเปล่าๆ นะ ธรรมะนั้น

อ.คำปั่น: ใช่ครับ ก็ต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงนั้น แต่ละหนึ่งๆ ที่ท่านอาจารย์ได้ถาม ซึ่งกระผมก็ได้ตอบในเรื่องของ เห็น เห็นก็เป็นธรรมะนั้น หนึ่งในธรรมะนั้น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักธรรมะนั้นแล้ว ทำอะไร?

อ.คำปั่น: ก็มีข้อความว่า ค้นคว้าอยู่ครับ

ท่านอาจารย์: ใช่!! พอไหม แค่เห็นมีจริง ธรรมะนั้น?

อ.คำปั่น: ไม่พอเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ค้นคว้าเพื่ออะไร?

อ.คำปั่น: ก็เพื่อให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งครับ

ท่านอาจารย์: เพื่อรู้จักเพื่อเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมะนั้น

อ.คำปั่น: ชัดเจนมากครับ ขอโอกาสอีกนิดครับ จากการสนทนากับท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ได้รับประโยชน์มากทีเดียวว่า ธรรมะนั้น ก็เป็นแต่ละหนึ่งของสิ่งที่มีจริงนั้น แล้วก็ไม่พอ ก็ต้องค้นคว้าเพื่อให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในธรรมะนั้นด้วยครับ

ทีนี้ข้อความต่อไปก็เป็นเรื่องสำคัญมากครับ พึงเป็นผู้มีสติ ครับ

ท่านอาจารย์: รู้จักสติไหม จะได้มีสติหรือไม่มีสติ?

อ.คำปั่น: จากที่ได้ฟังก็เข้าใจในความหมายครับว่า เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล เป็นไปในความดีประการต่างๆ ครับ

ท่านอาจารย์: เมื่อวานนี้เพิ่งผ่านไปเป็นเมื่อวานนี้เอง มีสติบ้างไหม?

อ.คำปั่น: มีสติบ้างไหม

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถระลึกได้ วันนี้ตั้งแต่ตื่นมามีสติบ้างไหม? เพราะพูดเหมือนกับรู้จักสติ ก็ต้องรู้จักว่าขณะไหนมีสติบ้างตั้งแต่ตื่นมาวันนี้

อ.คำปั่น: ขณะที่ได้ฟังพระธรรมครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเข้าใจด้วย

อ.คำปั่น: แล้วเข้าใจด้วยครับ แม้แต่ได้อ่านข้อความที่เป็นพระพุทธพจน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วครับ ได้ไตร่ตรองพิจารณามีความเข้าใจตามที่พระองค์ทรงแสดงตามกำลังปัญญาของตนก็ต้องมีสติแล้วในขณะนั้นครับ

ท่านอาจารย์: ต้องมี แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นสติ

อ.คำปั่น: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะนั้นเพื่ออะไร?

อ.คำปั่น: เพื่อค้นคว้าให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของธรรมะนั้นๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ตามตัวหนังสือเป๊ะ!! อย่างนั้นหรือ หรือว่ารู้ว่ายังไม่ได้เข้าใจ สติ ได้ยินแต่ชื่อสติ เพราะฉะนั้น จึงไม่รู้ว่า วันนี้มีสติขณะไหนบ้าง

เพราะฉะนั้น จึงศึกษา ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง อันนี้แหละคือค้นคว้า แต่ไม่ใช่พอจำคำว่า ค้นคว้า ก็ไปค้นคว้า แต่ไม่รู้ว่าค้นคว้าอะไร

อ.คำปั่น: ท่านอาจารย์ก็เตือนดีมากครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จำคำพูดเป๊ะ แต่เข้าใจอะไรหรือเปล่า ค้นคว้าเมื่อไหร่ อย่างไร?

อ.คำปั่น: กราบเท้าขอบคุณท่านอาจารย์ที่เตือนครับ ท่านอาจารย์ครับเวลาศึกษาก็มีคำครับ อย่างข้อความที่กระผมได้อ่านใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ก็จะมีคำแต่ละคำที่อธิบายไว้ อย่างครับท่านอาจารย์ที่จะไม่ใช่เป็นการเพียงจำคำ จำชื่อ ครับ

ท่านอาจารย์: ต้องเข้าใจความหมายค่ะ ถ้ายังไม่เข้าใจความหมายก็ไม่สามารถที่จะพูดด้วยความเข้าใจ แต่พูดตามคำเป๊ะ แล้วงัย!! ค้นคว้าอย่างไร

อ.คำปั่น: ต้องมีความเข้าใจตามคำนั้นๆ ครับ แม้แต่ข้อความที่กล่าวถึง พึงเป็นผู้มีสติ ก็ละเอียดมากเลยครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ [ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔]

ขอเชิญรับฟังได้ที่..

เริ่มแล้วเริ่มอีก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 1 ก.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ