[คำที่ ๗๓๘] สุทฺธสงฺขารปุญฺช
โดย Sudhipong.U  16 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51199

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สุทฺธสงฺขารปุญฺช

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

คำว่า สุทฺธสงฺขารปุญฺช เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สุด - ดะ - สัง - ขา - ระ - ปุน - ชะ ] มาจากคำว่า สุทฺธ (ล้วนๆ , ไม่มีอย่างอื่นเจือปน) สงฺขาร (สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง, สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) กับคำว่า ปุญฺช (กอง , หมู่, คณะ) รวมกันเป็น สุทฺธสงฺขารปุญฺช แปลว่า กองแห่งสังขาร (สิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ล้วนๆ เป็นคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ซึ่งเป็นธรรมที่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีสังขาร (สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) แม้แต่อย่างเดียวที่เกิดแล้วจะไม่ดับ ล้วนดับไปทั้งหมด ทั้งจิต เจตสิก และรูป กองแห่งสังขารล้วนๆ ก็คือ ขันธ์ ๕ (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์) นั่นเอง สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สถาควรรค วชิราสูตร ดังนี้

“ดูกรมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่า “สัตว์” ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียง (คำ , การเรียก) ว่า “รถ” ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น ความจริง ทุกข์เท่านั้น ย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ”


สิ่งที่มีจริง นั้น ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้ ไม่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อประมวลแล้ว ก็คือ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด และรูปทั้งหมด เป็นสังขาร หรือ ขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง เป็นสังขาร หรือ สังขารธรรม จึงมีแต่กองแห่งสังขารล้วนๆ เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่อย่างใด ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลให้ผู้ที่ได้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้อง น้อมไปสู่ความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป และทุกขณะของชีวิตไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากจิตแม้แต่ขณะเดียว เพราะเหตุว่าจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที

เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) ก็เป็นสภาพธรรมมีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกันกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือมีทั้งรูปและนาม) เจตสิกก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ตัวอย่างของเจตสิก เช่น ผัสสะ (สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์) เวทนา (ความรู้สึก) โลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความไม่รู้) สติ (สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เป็นต้น

รูป หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร รู้อารมณ์อะไรๆ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่นามธรรม, รูปธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วก็ดับไปเช่นเดียวกัน

จิต เจตสิก และรูป ทั้งหมดนี้ เป็นสังขาร เช่น เห็นในขณะนี้ เกิดแล้วเพราะปัจจัยหลายอย่าง กล่าวคือ มีอารมณ์ของจิตเห็น มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น มีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น คือ จักขุวัตถุ มีกรรมเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมนั้นเลยแม้แต่น้อย

จิต เจตสิก รูป เป็นสังขาร สังขาร คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเข้าใจคำนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะรู้ได้เลยว่า ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง มิฉะนั้นเกิดไม่ได้ และสิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย ซึ่งตลอด ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า สังขารหรือสังขารธรรม ไม่เปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่น เพราะหมายถึงธรรมที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ถ้าหากได้ยินคำว่า “สังขารหรือสังขารธรรม” ขณะใด ก็หมายความถึงธรรมใดๆ ก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น และเมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป เมื่อจิตเป็นธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จิตก็เป็นสังขารหรือสังขารธรรม เจตสิกเป็นธรรมที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เจตสิกก็เป็นสังขารหรือสังขารธรรม ยกตัวอย่างเช่น ความชอบใจ ความต้องการ ความติดข้อง เป็นโลภเจตสิก ความขุ่นเคืองใจ ความหยาบกระด้างของจิต เป็นโทสเจตสิก ไม่ใช่จิต เพราะเหตุว่าเจตสิกเกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต แต่ว่าเจตสิกมีหลายชนิด และบางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทหนึ่ง อีกบางชนิดก็เกิดกับจิตอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้น จิตประเภทหนึ่งก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างๆ กัน และเป็นแต่ละประเภทด้วย เช่น ขณะที่ชอบ สนุกสนานเบิกบานใจ ไม่ใช่ในขณะที่กำลังโกรธขุ่นเคืองใจ เป็นต้น รูปแต่ละรูป ก็เป็นสังขารหรือสังขารธรรม เพราะเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง

จะเห็นได้ว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และเจตสิกก็เกิดร่วมด้วย และรูปแต่ละรูปก็เกิดดับ เพราะฉะนั้น ทั้งจิต เจตสิก รูป เป็นสังขารหรือสังขารธรรม เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีสภาพธรรมแม้แต่ขณะเดียวที่เกิดแล้วจะไม่ดับ ล้วนแล้วต้องดับไปทั้งนั้น แต่ละคำๆ ที่พระองค์ตรัส ย่อมน้อมมาสู่ความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่เราจริงๆ เพราะเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใดก็ตาม ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย ศึกษาด้วยความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษาพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นจริงของธรรม และมีจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษาว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเป็นการศึกษาในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่น้อยคนจะได้ศึกษา สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป

อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 16 ต.ค. 2568

ใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร

ในชีวิตประจำวันขณะใดที่กุศลเกิด ขณะนั้นสงบจากอกุศล ถ้าเรามีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราก็จะเบาสบายด้วยกุศลธรรม เราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ