ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “จกฺขุวิญฺญาณ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
จกฺขุวิญฺญาณ อ่านตามภาษาบาลีว่า จัก - ขุ - วิน - ยา - นะ มาจากคำว่า จกฺขุ (ตา) กับคำว่า วิญฺญาณ (จิต, วิญญาณ, สภาพที่รู้แจ้ง) จึงรวมกันเป็น จกฺขุวิญฺญาณ แปลว่า จิตที่รู้แจ้งโดยอาศัยจักขุ แปลทับศัพท์เป็น จักขุวิญญาณ ซึ่งก็คือ จิตที่ทำหน้าที่เห็นนั่นเอง
ข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสงคณีปกรณ์ ได้แสดงความเป็นจริงของจักขุวิญญาณ ดังนี้
“บทว่า จกฺขุวิญฺญาณํ ความว่า ที่ชื่อว่า จักขุวิญญาณ เพราะอรรถว่าเป็นวิญญาณแห่งจักษุที่มีเหตุสำเร็จแล้ว หรือว่าวิญญาณอันเป็นไปทางจักษุ หรือว่าเป็นวิญญาณอันอาศัยจักษุ”
ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของธรรม คือ จิต (ธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (ธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (ธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานเพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหลายๆ ดวงได้ และไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิตนั่นเอง มีพยัญชนะหลายคำที่แสดงถึงความเป็นจริงของจิต หนึ่งในพยัญชนะเหล่านั้น คือ วิญญาณ หมายถึงสภาพที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ วิญญาณกับจิตจึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องรู้อารมณ์ตามควรแก่วิญญาณประเภทนั้นๆ ชีวิตประจำวันจึงไม่ปราศจากวิญญาณเลยแม้แต่ขณะเดียว
ขอกล่าวถึงวิญญาณหรือจิต ๑ ประเภท ในบรรดาจิตทั้งหลาย คือ จักขุวิญญาณ คือ จิตที่ทำหน้าที่เห็น เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เราที่เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือสีเท่านั้น จะไปเห็นอย่างอื่นไม่ได้ จะไปเห็นเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ได้ นี้คือ ความเป็นจริงของเห็น และเห็นจะเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ แต่เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง กล่าวคือ ต้องมีกรรมเป็นปัจจัย จึงทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท (๑. ผัสสเจตสิก สภาพที่กระทบอารมณ์ ๒. เวทนาเจตสิก สภาพที่รู้สึกหรือเสวยอารมณ์ ๓. สัญญาเจตสิก สภาพที่จำในอารมณ์ ๔. เจตนาเจตสิก สภาพที่ตั้งใจจงใจ ๕. เอกัคคตาเจตสิก สภาพที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งในอารมณ์ ๖. ชีวิติน-ทริยเจตสิก สภาพที่รักษาธรรมที่ร่วมกันให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ก่อนที่จะดับไป ๗. มนสิการเจตสิก สภาพที่ใส่ใจในอารมณ์) เห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ และมีที่เกิดของจิตเห็น คือ จักขุปสาท เมื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมคือเห็นเลย เพราะเห็นเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ความเข้าใจก็จะต้องค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
สำหรับที่กล่าวถึงจักขุวิญญาณนั้น ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๔๔๑ มีดังนี้
“สำหรับลักษณะของจักขุวิญญาณ ข้อความใน อัฏฐสาลินี มีว่า
จักขุสันนิสสิตรูปวิชานนลักขณัง มีการรู้รูปซึ่งอาศัยจักขุปสาทเป็นลักษณะ
รูปมัตตารัมมณรสัง มีอารมณ์เพียงรูปเท่านั้นเป็นรสะ (กิจ)
รูปาภิมุขภาวปัจจุปัฏฐานัง มีความมุ่งต่อรูปหรือมีภาวะเผชิญกับรูป เป็นปัจจุปัฏฐาน คือ อาการปรากฏ
รูปารัมมณายะ กิริยามโนธาตุยา อปคมนปทัฏฐานัง มีการไปปราศแห่งกิริยามโนธาตุ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นปทัฏฐาน
ลักษณะของจักขุวิญญาณมีอย่างเดียว คือ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีการรู้รูปซึ่งอาศัยจักขุปสาทเป็นลักษณะ
ถ้าพูดถึงลักษณะของจักขุวิญญาณ อย่าคิดว่าเราที่กำลังเห็น แต่ขอให้เป็นลักษณะของจักขุวิญญาณจริงๆ คือ สภาพรู้ ธาตุรู้ ที่กำลังเห็นเท่านั้น ไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน กำลังเป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะรู้รูปที่ต้องอาศัยจักขุปสาทเป็นลักษณะ มีอารมณ์เพียงรูปเท่านั้นเป็นรสะคือเป็นกิจ แสดงให้เห็นว่า จักขุวิญญาณรู้อารมณ์อื่นไม่ได้เลยนอกจากรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏ ซึ่งน่าจะพิจารณาว่าขณะที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ นั้น ไม่ใช่ขณะที่จักขุวิญญาณเห็น แต่ต้องเป็นจิตขณะอื่นหลังจากที่จักขุวิญญาณดับไปแล้ว เพราะว่าจักขุวิญญาณจะเห็นเพียงรูปเท่านั้น คือ หมายถึงเฉพาะรูปารมณ์ซึ่งเป็นเพียงสีสันวัณณะต่างๆ ที่ปรากฏทางตาซึ่งคนตาบอดไม่เห็น นี่เป็นการแยกจิตทางจักขุทวารที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ออกจากทางมโนทวาร ซึ่งรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร
สำหรับปทัฏฐาน คือ เหตุใกล้ให้เกิดจักขุวิญญาณ คือ มีการไปปราศแห่งกิริยามโนธาตุ ซึ่งได้แก่ปัญจทวาราวัชชนจิตนั่นเองเป็นปทัฏฐาน ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิดต่อจากภวังคจิตและดับไป จักขุวิญญาณในขณะนี้จะเกิดไม่ได้เลย แม้ว่ามีจักขุปสาทก็ตาม ก็ต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดก่อนและดับไป จึงจะเป็นเหตุใกล้ให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นได้”
ประโยชน์ของการศึกษาธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ไม่พ้นไปจากเพื่อเข้าใจความจริง เพื่อขัดเกลาละคลายการยึดถือธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล แม้แต่จักขุวิญญาณ ก็เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ซึ่งจะต้องได้อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งต่อไป
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..
บาลี ๑ คำ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ