Hindi-English-Thai 06 August 2025
- ถ้าไม่มีคำ ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งได้ ใช่ไหม ด้วยเหตุนี้จึงฟังธรรมด้วยความเคารพสูงสุดต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง มิฉะนั้นจะไม่มีคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจได้เลย ถ้าหากเราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างประมาท จะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในคำของพระองค์ได้อย่างไร คำของใคร คำของผู้ที่ตรัสรู้
- ด้วยเหตุนี้จากนี้ไปเราศึกษาความจริงสูงสุดของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะเราเรียนแค่คำหลายๆ คำแต่ไม่มีความเข้าใจเดี๋ยวนี้เลย ใช่ไหม และเมื่อมีความมั่นคงในความจริงนั่นคือ สัจจบารมี ถ้าปราศจากสัจจบารมี ความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่จนกระทั่งตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงขณะนี้ เห็นไหม ลึกซึ้งแค่ไหน มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะสะสมความเข้าใจสืบต่อในแต่ละชาติ ความจริงสูงสุดที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งแต่ว่าสามารถเข้าใจได้ในแต่ละขณะเดี๋ยวนี้ แน่ใจไหมว่านี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น
- (คุณประกาศ - แน่ใจ)
- เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญญาบารมี ความเข้าใจถูกว่า ความจริงขณะนี้ลึกซึ้งแค่ไหน ไม่มีใครรู้ถ้าไม่ฟังแล้วฟังอีก ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกแต่ละคำ ยกตัวอย่างเช่น พระองค์ตรัสว่า “เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว” ลึกซึ้งแค่ไหน เกินกว่าที่ใครจะคิดได้ว่าต้องเป็นเดี๋ยวนี้ขณะนี้ ความจริงคือเดี๋ยวนี้ ฟังความจริงเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม
- มิฉะนั้นจะเข้าใจขณะนี้และเข้าใจขณะอื่นต่อๆ ไปได้อย่างไร แต่ขณะนี้เมื่อเกิดแล้วดับทันทีและขณะต่อไปก็ผุดขึ้นทันที แต่แม้แต่เดี๋ยวนี้ขณะนี้สภาพธรรมผุดขึ้นๆ ก็ไม่มีใครรู้เลย ด้วยเหตุนี้จึงฟังเพื่อละคลามไม่รู้และความยึดถึอสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี้คือหนทางมิฉะนั้นประโยชน์อะไรที่จะฟังคำสอนของพระองค์ แต่ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เปิดเผยความจริงในความมืดของความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย ถูกไหม
- เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่เรากำสังสนทนากันส่องให้เห็นถึงความจริงที่มีเดี๋ยวนี้และทุกขณะ ฟังคำของพระองค์ด้วยความระมัดระวัง จงฟัง จงใส่ใจให้ดี แม้พระสารีบุตรก็กล่าวว่า จงฟัง จงใส่ใจให้ดี สำคัญที่สุดคือ ฟังด้วยความใส่ใจไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินคำ
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากำลังพูดถึงความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงทีละหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีอะไร ถามอีกเพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจได้ และสามารถอบรมเจริญขึ้นจนถึงขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริงขณะนี้ได้อย่างที่ได้ฟัง กำลังอยู่ในความมืดหรือเปล่า
- (คุณประกาศ - ความมืดคือ …) คือไม่เข้าใจความจริง ความมืดของอวิชชา ไม่มีความเข้าใจถูกในความจริง เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะไม่ใช้คำว่า อวิชชา แต่สิ่งที่มีจริงที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้กำลังมีจริงๆ อวิชชาไม่เข้าใจเห็น ไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกเห็น
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ ไม่มีความเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เป็นเห็นแต่ไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเพียงคำว่า อวิชชา เห็นไหม สะสมอวิชชามานานเท่าไหร่ แต่ละขณะที่เห็น ได้ยิน คิดนึกทั้งวันไม่ว่าขณะไหนตั้งแต่เช้าจนค่ำ วันนี้จนถึงวันพรุ่งนี้และต่อๆ ไป ควาอวิชชามากมายมหาศาลขนาดไหน เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจอวิชชาเดี๋ยวนี้ใช่ไหม ดังนั้นไม่สงสัยในสภาพที่มีจริงที่เป็นอวิชชา ถูกต้องไหม
- (คุณสุขิน - ผมอยากถามคำถามเกี่ยวกับอวิชชาได้ไหม)
- เชิญค่ะ
- (คุณสุขิน - ท่านอาจารย์กล่าวว่า อวิชชาไม่สามารถเข้าอะไร อันนี้จริงเพราะว่ามีแต่ปัญญาเท่านั้นที่เข้าใจได้ เพราะปัญญาทำหน้าที่เข้าใจถูก แต่อยากรู้หน้าที่ของอวิชชา)
- เดี๋ยวนี้เลย ไม่มีความเข้าใจว่าเห็นคืออะไร กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย อวิชชาไม่สามารถเข้าใจเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนีัถูกต้องตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่กำลังเห็นปรากฏ มีสิ่งที่มีจริงที่เข้าใจถูกว่า มีสิ่งที่มีจริงที่ไม่เข้าใจเห็นที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
- (คุณสุขิน - ถูกต้อง นี้คือกิจหน้าที่ของอวิชชา คือ เรารู้ว่าเจตสิกไม่เข้าใจยกเว้นปัญญา แต่หน้าที่ไม่เข้าใจถูกโดยตรงเป็นหน้าที่ของอวิชชา)
- (คุณประกาศ - สัปดาห์ที่แล้วท่านอาจารยือาจารย์กล่าวถึงนามรูปและสังขารธรรม และนามที่สนทนาคือจิตและเจตสิก เราสนทนาว่ารูปไม่รู้อะไรด้วย เราสนทนาต่อเพื่อเข้าใจสภาพที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้ไหม)
- เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม เราเพิ่งสนทนากันไปใช่ไหม ไม่มีความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้อย่าไปพยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้โดยไม่ฟังด้วยความระมัดระวัง ไตร่ตรองสภาพที่มีจริงอย่างละเอียดรอบคอบทีละ ๑ ทีละคำ มิฉะนั้นก็เป็นเราเสมอ เราอยากจะเข้าใจเรื่องนี้ เราสงสัยเรื่อง มีแต่เราๆ ๆ ทั้งวัน แต่ความจริงศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม เห็นไหม สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม
- แต่สิ่งที่มีจริงปรากฏได้ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ถ้าไม่มีเห็นจะมีสิ่งนั้นที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามรูปทรงสัณฐานของสิ่งนั้นไหม และเป็นรูปร่างรูปทรงได้อย่าง ไม่ใช่เป็นรูปร่างทันที ที่มีรูปร่างรูปทรงได้มาจากแต่ละจุด ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ๑ ขณะ เล็กน้อยสั้นมาก ไม่มีใครรู้ ๑ ขณะได้เพราะว่าดับแล้ว สิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายปรากฏโดยนิมิต ที่เป็นเครื่องหมาย รูปร่าง รูปทรงได้เพราะมีการสืบต่อกันของสิ่งที่เกิดแล้วดับ มีสภาพธรรมมากมายที่เกิดดับซับซ้อนตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะรู้ได้ทีละหนึ่ง ถ้าไม่มีสัณฐานหรือนิมิตของเห็น เช่น เห็นเดี๋ยวนี้กี่ขณะ เห็นไหม ที่ปรากฏให้เห็นเพราะมีสีต่างๆ รวดเร็วจนเห็นเป็นคุณประกาศแต่ละขณะ
- ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ปรากฏปรากฏโดยนิมิต ใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมประเภทไหน เพราะฉะนั้นเรากำลังอยู่ในโลกของนิมิตใช่ไหม
- (คุณประกาศ - ขอความเข้าใจนิมิตเพิ่ม นิมิตคือ..) เครื่องหมายของเห็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้กี่เห็น นับไม่ได้
- (คุณสุขิน - คุณประกาศเราเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็วมาก ท่านอาจารย์พูดถึงจุด หมายความว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจะเล็กจะสั้นจะจิ๋วขนาดไหน เมื่อเห็นเราสามารถเห็นใบหน้าต่างๆ ได้นั่นแสดงว่าไม่ใช่ ๑ ขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏแต่ต้องมีเห็นหลายขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏก็เป็นนิมิตของสิ่งที่ปรากฏจึงมีใบหน้าต่างๆ ถ้าเพียง ๑ ขณะก็จะเป็นรูปร่างรูปทรงไม่ได้ เราจำได้ทันทีว่า เป็นคุณประกาศอยู่ตรงหน้า นั่นคือท่านอาจารย์ นี้คือคุณเมตตา นั่นคือคุณตรัสวิน ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้โดยต้องมีหลายๆ สีที่เกิดดับสืบต่อ ถ้ามีแต่ละหนึ่งจุดๆ ก็ไม่เป็นอะไรๆ ต้องมีหลายๆ จุดจึงเป็นรูปร่างรูปทรงนี้คือ ความหมายของนิมิต แม้แต่เสียงที่เป็นโน้ตต่างๆ ก็ต้องมีหลายเสียงที่เกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ไม่ใช่ ๑ ขณะแต่ต้องมีการเกิดดับสืบต่อกันปรากฏหลายๆ ขณะ)
- (คุณประกาศ - เมื่อเราเห็นรูปภาพที่มีหลายๆ สี ขณะที่กำลังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป คือเป็นสีแต่ละสีที่ปรากฏรวมๆ กันเป็นภาพของสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือ นิมิต)
- โดยนัยของปรมัตถธรรม อะไรคือสิ่งที่ถูกเห็น ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใด เพียงสีสันวัณณะ และทีละสีและ ๑ จุดของสีนั้น เห็นไหมสิ่งที่มีจริงเกิดดับรวดเร็วใครก็เปลี่ยนไม่ได้แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระองค์ทรงเคารพธรรม
- (คุณสุขิน - คุณประกาศต้องเข้าใจความต่างของนิมิตกับบัญญัติว่า ถ้าเป็นใบหน้าเป็นบัญญัติแต่เพราะมีนิมิตจึงมีบัญญัติ ถ้าไม่มีนิมิตเรื่องราวที่คิดว่าเป็นใบหน้าก็ไม่มี และเพราะมีนิมิตจึงมีบัญญัติว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นใบหน้าหรือจอคอมพิวเตอรื ฯลฯ คุณเข้าใจความต่างไหม)
- (คุณประกาศ - เข้าใจบัญญัติและนิมิตยังไม่ชัดเจนยังเป็นขั้นฟัง)
- (คุณสุขิน - ลองคิดแบบนี้ ตอนนี้มีคนนั่งอยู่ในจอใช่ไหม นี้คือบัญญัติเรื่องราว ถ้ามีเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ ขณะ บัญญัติเรื่องราวนี้ก็ปรากฏไม่ได้ หมายความว่า ต้องมีเห็นมากมายหลายเห็นก่อนที่มีความคิดว่าเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าเรา และขณะที่เกิดดับมากมายหลายขณะก็เป็นอารมณ์ด้วย หมายความว่า เห็นรู้อารมณ์ที่ปรากฏให้เห็นโดยนิมิต ที่รูปว่าเป็นเสียงหนึ่งเสียงใด รู้รูปร่างรูปทรงใดๆ ได้ก็โดยนิมิต ถ้าไม่มีนิมิตก็ไม่มีบัญญัติ ถ้าเป็นเพียงสี ๑ จุดจะไม่มีความคิดว่าเป็นใครเพราะเป็นแต่ละหนึ่งๆ แต่เพราะมีแต่ละหนึ่งสืบต่อกันมากมายจึงปรากฏเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และนั่นคือความจ่างกันของนิมิตของหนึ่งสีกับนิมิตบัญญัติ)
- (คุณประกาศ - นี้ยังเป็นความเข้าใจขั้นปริยิติ)
- (คุณสุขิน - ใช่และไม่ใช่ว่าคุณจะเข้าใจนิมิตโดยการรู้นิมิต แต่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เข้าใจตัวนิมิต เรากำลังกล่าวถึงพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยนิมิต เรายังคงสับสนว่า จาก ๑ จุดๆ ๆ จะปรากฏเป็นหน้าตาใบหน้าได้อย่างไร ตอนนี้ท่านอาจารย์ช่วยให้พวกเราเข้าใจสิ่งนี้ได้เพราะว่า แต่ละสภาพธรรมรู้ได้โดยนิมิต มากมายหลายขณะไม่ใช่ขณะเดียว ลองจินตนาการดูว่า ถ้าอยู่ในโลกที่มีทีละขณะๆ ก็จะไม่มีชีวิตที่สามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือพูดคุยกับใคร ถ้าชีวิตคือ ๑ ขณะที่เห็นตามด้วย ๑ ขณะที่ได้ยินตามด้วย ๑ ขณะที่คิดนึกมันจะมั่วไปหมดจะมีชีวิตอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ชีวิตอย่างตอนนี้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังสนทนากันไม่ใช่เพียงเพราะมีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ๑ ขณะแต่เพราะมีจิตเกิดดับสืบต่อรู้อารมณ์ประเภทเดียวกันมากมายหลายขณะโดยนิมิต ผมสรุปถูกมั้ยครับท่านอาจารย์)
- ชัดเจน แต่ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองด้วย ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้มีกี่นิมิต เห็นไหม และมีสิ่งที่มีจริงกี่ขณะ ๑ จุดจะเป็นนิมิตไม่ได้แต่ต้องหลายๆ จุด เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ใครประจักษ์แจ้ง ๑ ขณะที่เห็นได้ไหม ด้วยเหตุนี้ธรรมลึกซึ้งเพราะฉะนั้นเมื่อเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วแค่คิดถึงสิ่งที่ได้อ่าน ไม่ใช่ขณะที่ไตร่ตรองพิจารณาความจริงที่ลึกซึ้งว่า ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นเวลานานเท่าไหร่ แล้วผู้ที่ฟังพระธรรมของพระองค์ แค่ได้ยินคำจะนานแค่ไหนกว่าที่มั่นคงจนละคายความคิดความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยู่ในโลกของอัตตาทั้งวัน แต่ความจริงไม่เหลือแล้ว เพียงชั่วขณะก็ดับหมดแล้ว
- เพราะฉะนั้น เปลี่ยนไม่ได้ ใครจะบังคับให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้แต่เริ่มมีความมั่นคงในความจริงสูงสุดเหมือนสาวกในอดีต นานแค่ไหน ท่านเหล่านั้นได้ฟังแล้วฟังอีกในแต่ละชาติ เพราะฉะนั้นไม่รีบด่วนที่จะประจักษ์แจ้งความจริงหรือนิพพานเพราะเป็นไปไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นกับความเข้าใจ มิฉะนั้นก็เป็นเรา หรือเป็นใคร หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา
- เพราะฉะนั้นลองจินตนาการถึงปรมัตถธรรม ไม่ใช่โลกของใครหรือโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แต่เป็นเพียงโลกของสิ่งที่มีจริงที่เกิดดับ ไม่มีใครสามารถทำให้สิ่งที่ดับแล้วกลับมาเกิดอีกซึ่งเป็นไปไม่ได้ นี้คือชีวิต นี้คือธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจธรรมลึกซึ้งขึ้นในแต่ละขณะที่ได้ฟังความจริงของธรรมว่าคืออะไรจนกระทั่งมีความเข้าใจถูก และนั้นคือการเริ่มต้นของมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นหนทางไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริง
- เป็นความจริงแต่ถ้าไม่มีความเข้าใจก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจประจักษ์ความจริงเดี๋ยวนี้ได้เลยว่า สิ่งที่มีแต่ละขณะคืออะไร ไม่มีโลก ไม่มีใคร ไม่มีคน ไม่มีสิ่งต่างๆ อย่างที่เคย เป็นโลกของอนัตตา เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรก็ตามปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเพราะมีธรรมทุกขณะ เป็นการพิจารณาด้วยปัญญาหรือเปล่า และเมื่อไม่มีปัญญาก็เป็นเพียงคำ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นปัญญาความเข้าใจถูกที่น้อยมากๆ ซึ่งต้องมั่นคงที่จะอบรมเพิ่มขึ้นๆ มิฉะนั้นความติดข้องและความไม่รู้ก็จะเกิดขึ้นแทน จริงไหม
- (คุณสุขิน - อยากจะเข้าใจเร็วๆ ไหม)
- (คุณประกาศ - หมายความว่าอะไร)
- (คุณสุขิน - เราต่างรู้ว่า ความเข้าใจมีน้อยมากและต้องอบรมเจริญขึ้นและเข้าใจเกิดยาก เพราะฉะนั้นอยากจะเข้าใจเร็วๆ ไหม)
- (คุณประกาศ - ความเข้าใจต้องเกิดตามปกติตามธรรมชาติ บังคับไม่ได้)
- (คุณสุขิน - ถูกต้อง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นเราและความเป็นเราก็เป็นเครื่องกั้น)
- (คุณประกาศ - มีความเข้าใจเห็นว่าเป็นธรรมที่แตกต่างจากได้ยิน)
- ยังไม่ถึงเลย (หมายถึงในขั้นฟัง) แม้อย่างนั้นก็ยัง ต้องเข้าใจแต่ละขณะของจิต เป็นสภาพที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น ไม่มีคำ สีชมพูจางมากกับสีน้ำตาลเข้ม รู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ทีละหนึ่งอย่างชัดเจน ไม่ต้องใช้คำเพื่อจะบอกว่าสีชมพูจางๆ หรือสีน้ำตาลเข้ม ไม่มีคำเลยแต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น รู้ชัดกว่าใช้คำใดๆ มาอธิบาย ถูกต้องไหม
- เมื่อทานอาหารที่รสเผ็ดมาก เมื่อมีคนถามว่าเผ็ดแค่ไหน บอกได้ไหม หรือว่าเกินกว่าที่จะใช้คำแต่รู้ว่าเผ็ดแค่ไหน เห็นไหม ด้วยเหตุนี้สภาพที่มีจริงที่รู้อารมณ์มี ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ มิฉะนั้นก็ไม่มีสีต่าง เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ ฯลฯ เป็นเราไหมที่รู้อย่างนั้น แต่เมื่อไม่มีการฟังคำจริงของสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นลิ้มรสก็เป็นเราที่ลิ้มรส แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเพื่อลิ้มรส ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นรสปรากฏชัดเจนกับจิตที่ลิ้มรสนั้น เราเรียกสภาพธรรมนั้นว่า จิต
- และบอกว่าทุกคนมีจิตเป็นไก่ กบ งู แล้วจิตเป็นอะไร ขณะที่รู้แจ้งอารมณ์ เห็นรู้แจ้งอารมณ์โดยไม่ต้องมีคำมีชื่ออะไรเลย เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นใครไม่ได้ เป็นสุนัขไม่ได้ เป็นนกไม่ได้ เอารูปออกให้หมด เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นเห็นของเราไหม เป็นของคุณไหม หรือเป็นเห็นของสุนัขไหม ไม่ใช่เลย เป็นเพียงสภาพที่มีจริงที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งเพื่อรู้แจ้งอารมณ์แล้วดับไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม
- เห็นเป็นได้ยินได้ไหม เป็นคิดนึกได้ไหม เป็นชอบได้ไหม เป็นไม่ชอบได้ไหม เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ค่อยๆ ปลูกฝังความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป แต่ละขณะขอแต่ละชาติ เราไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเป็นอะไรหรือจะมีขณะที่ได้ฟังได้เข้าใจความจริงอีกไหม ด้วยเหตุนี้จึงมีบารมีเป็นการอบรมคุณความดีทุกประการเพราะว่า เห็นแล้วก็เป็นอกุศลเพราะไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นไม่ว่ากุศลประเภทไหนสามารถเกิดขึ้นได้และควรเกิดขึ้นทันที มิฉะนั้นก็เป็นอกุศลอีก กั้นความเข้าใจอีก ยึดถือในสิ่งที่เพียงเกิดแล้วดับอีก
- เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดคือ ขณะที่เข้าใจความจริง หรือแม้ขณะที่เป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มีค่าเพราะขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าใครจะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในนัยไหนแต่ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองพิจารณาความจริงอย่างมั่นคง แม้แต่คำว่า ธรรม ก็ต้องศึกษาและเข้าใจความจริงแต่ละขณะว่าเป็นธรรม
- ไม่ใช่เราที่ศึกษาว่าธรรมคืออะไรแล้วก็ผ่านไปคำอื่นหรือเรื่องอื่นเลย ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ ก็ยิ่งไตร่ตรองอย่างมั่นคงชัดเจนขึ้นเท่านั้น เป็นปัจจัยให้มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นซึ่งจะค่อยๆ ละคลายความเห็นผิด ความไม่รู้และความติดข้องทีละน้อย ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่ความเข้าใจถูกจะทำงานของมันเองเมื่อเข้าใจ เมื่อเข้าใจขณะนั้นอวิชชาหรือความไม่รู้และความติดข้องเกิดขึ้นไม่ได้
- เพราะฉะนั้นเรากำลังสนทนาธรรมกัน เห็นไหม ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีดิฉัน ไม่มีคุณประกาศ ไม่มีสุขิน ไม่มีตรัสวิน มีเพียงธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้เข้าใจธรรมว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแม้แต่จิตที่เกิดขึ้นเห็นแจ้งในอารมณ์ที่ปรากฏก็อาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น เห็นไหมว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- เพราะฉะนั้นเป็นไปตามการสะสมที่จะสนใจเข้าใจความจริง ฟังอีกก็รู้ว่า ขระที่มีค่าที่สุดคือเข้าใจความจริง ไม่ว่าใครจะพูดอะไร เป็นความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จริงหรือไม่จริง ไม่มีใครมีแต่สภาพธรรมที่แตกต่างกัน ความเข้าใจถูกเป็นความเข้าใจ อวิชชาเป็นความไม่รู้ เห็นไหม ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น
- มีความกรุณาเพิ่มขึ้น มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อนเพิ่มขึ้นกับทุกคนเพราะว่า พูดหรือทำด้วยความไม่รู้ไปแล้วตามเหตุตามปัจจัย การฟังมีประโยชน์ไหมกับแค่รู้ว่าจิตที่เท่าไหร่แต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เดี๋ยวนี้แต่ละขณะในชีวิตที่ยังไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาสิ่งที่มีที่สติยังไม่ได้ระลึก สิ่งที่สติสามารถระลึกได้คืออารมณ์ของเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึกและดับ จำชาตินี้ไม่ได้เมื่อถึงชาติหน้า ดับหมดแล้วไม่เหลือ
- มั่นคงไหมในความจริง มั่นคงในหนทางของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ตามเหตุตามปัจจัย มั่นคงขณะนี้หรือขณะไหนก็ได้ แต่มีความเข้าใจความจริงก่อนตายไหม หรือมีชีวิตไปโดยที่ไม่เข้าใจเลยหรือมีความเข้าใจผิดเพิ่มขึ้น คิดถึงการปฏิบัติ คิดถึงการนั่งสมาธิเพื่ออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ใครๆ ไปทำอะไรๆ ที่สำนักปฏิบัติหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่มีความเข้าใจถูกเลยในสิ่งที่มีไม่ว่าเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่
- เพราะฉะนั้นไม่มีเราหรือมีการไปสถานที่ใดๆ โดยคิดว่า จะเข้าใจความจริงได้ พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า ความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ มีสามรอบ แต่ละรอบคือความเข้าใจถูกไปตามลำดับ นี้ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ อริยสัจจ์ ๔ ด้วยเหตุนี้ต้องตรงต่อความจริงเป็นสัจจะ ปัญญา ถ้าเราจนมากๆ แล้วมีคนมาเสนอให้เงินทองทรัพย์สมบัติมากมายเพื่อแลกกับปัญญา จะยอมแลกไหม เป็นคนจนที่มีปัญญากับเป็นคนรวยที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่ว่าจะลาภยศทรัพย์สมบัติชื่อเสียงใดๆ ก็ไม่อาจเทียบกับปัญญา
- ไม่สำคัญเลยว่าอะไรจะเกิดขณะต่อไปเพราะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย กรรมป็นปัจจัยให้เกิดเป็นบุคคลนี้แต่ยังไม่พอ กรรมทั้งหมดที่ได้กระทำแล้วในอดีต หรือกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดในชาตินี้ยังไม่ได้ให้ผลทั้งหมด แค่ให้ผลเกิดขึ้นเท่านั้นยังไม่พอ ด้วยเหตุนี้ผลของกรรมคือขณะที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลอกุศลกรรม เสียง กลิ่น รส รู้กระทบสัมผัสทางกายเป็นสิ่งที่ปรากฏมีกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีใครทั้งสิ้น ยาวหรือสั้น แย่มากหรือเพียงเล็กน้อยก็ตามปัจจัย
- อยากจะแลกความเข้าใจอย่างนี้กับเกียรติยศชื่อเสียงเงินทองไหม (อยาก) ไม่มีความเข้าใจอีกเลย มีแต่ไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของต่างๆ ด้วยเงินและชื่อเสียง
- (คุณสุขิน - กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าให้เลือกได้ว่า ระหว่างไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงสุดชาติหน้าและได้รับความสุขสบายทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเวลาหลายพันปีกับเกิดเป็นมนุษย์และมีโอกาสได้ฟังธรรม จะเลือกอะไร)
- (คุณประกาศ - ได้ฟังธรรมดีกว่า)
- เราไม่ต้องรอชาติหน้า แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เพราะว่าการเกิดมาแล้วรู้อารมณ์ที่น่าพอใจหลายๆ ขณะเป็นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเข้าใจธรรมมากขนาดไหน การจะได้เห็นอะไรก็แล้วแต่กรรม ไม่ว่าจะรวยหรือจน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นไปตามกรรม ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยก็มีความน่ากลัวและนิสัยที่ไม่ดีมากๆ ก็ได้ สามารถทำทุจริตทางกายทางวาจา มีคำถามอะไรไหม
- (คุณประกาศ - เข้าใจว่ามีความไม่รู้ตลอดเวลา ขณะที่เห็น ได้ยิน รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วก็มีความไม่รู้เสมอ เพราะฉะนั้นหนทางคือฟังแล้วฟังอีก กลับมาตรงนี้เสมอว่ายังไม่รู้ นี้คือหนทางใช่ไหม)
- ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาทีละขณะ เห็นไหม ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ขณะที่เห็นและขณะที่เข้าใจ ความเข้าใจหรือความไม่รู้เกิดต่อจากเห็นทันทีไม่ได้ ต้องมีจิตเกิดอีก ๓ ขณะ เห็นไหม เพื่อเป็นปัจจัยไม่ว่ากับความไม่หรือหรือกับความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตตา ไม่มีใครเปลี่ยนได้
- ก่อนเห็นต้องมีจิตที่รู้อารมณ์ที่กระทบตา เป็นจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ ก่อนนั้นเป็นกระแสภวังค์ที่เกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติต่อจากจิตแรกของชาตินี้ตามกรรมที่จะต้องรู้สิ่งที่ปรากฏทั้ง ๕ ทาง
- เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาจิตแต่ละขณะ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจว่า มีจิตอะไรก่อนเห็น และเห็นไม่ชอบไม่ชังเพราะฉะนั้นขณะใดเป็นขณะที่ชอบหรือไม่ชอบอารมณ์ที่เห็น ทั้งหมดมีแสดงไว้ในพระอภิธรรม จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งแต่เพราะว่าไม่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ เห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็นแต่มีความเข้าใจว่า ต้องมีขณะก่อนเห็น ใช่ไหม
- (คุณประกาศ - ต้องมีบางขณะที่เห็น แต่ไม่มีควมเข้าใจ)
- จิตก่อนเห็น
- (คุณสุขิน - ความคิดคือ นี้เป็นความเข้าใจขั้นฟังว่า ไม่มีคนแต่มีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเรากล่าวถึง เห็น ได้ยิน ไ้ดกลิ่ นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะต่า่งๆ เหล่านั้นเป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยแต่ละ ๑ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสิ่งใด นอกจากนี้ยังเข้าใจว่า ตัวเห็นเองเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีจิตอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจซึ่งก็คือรำพึงถึงอารมณ์แล้วดับไป เพราะฉะนั้นความเข้าใจนี้ทำให้มีความเข้าใจอนัตตาเพิ่มขึ้น แม้ในขั้นฟังได้ยินว่ามีจิตที่เกิดขึ้นทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ก่อนเห็น ไม่ใช่ให้เราไปรู้อย่างนั้นแต่ให้เข้าใจว่า เห็นไม่ได้เกิดขึ้นเองได้ลอยๆ แต่ต้องเกิดต่อจากจิตดวงก่อนที่ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์)
- และนี้คือหนทางศึกษาจิตทีละจิต เห็นไหม ก่อนจิตเห็นมีจิตไหม เราศึกษาธรรมในชีวิตประจำเพื่อเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เช่น เดี๋ยวนี้มีเห็นทุกคนรู้ว่าเห็นแต่ไม่เข้าใจว่า เห็นเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบตา เราศึกษาแต่ละขณะเพื่อเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ก่อนที่จะละคลายความคิดว่าเป็นเรา ต้องอาศัยความเข้าใจถูกทีละน้อยๆ ที่ต่อเนื่องยาวนาน นั่นคือ มรรคเป็นหนทางละที่นำไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริง เราต้องฟังอีก ไม่ได้มีแค่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นต้องมีจิตที่เกิดก่อนเห็น ใช่ไหม ก่อนเห็นต้องมีจิตที่เกิดขึ้นและไม่ใช่จิตที่ดำรงภพชาติที่เกิดต่อจากจิตเป็นจิตแรกที่เกิดในชาตินี้ เพราะว่ากรรมไม่ได้ให้ผลเป็นจิตเพียงขณะเดียวแต่ให้ผลมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นขณะใดเป็นขณะแรกที่เป็นผลของกรรมในชีวิต ขณะนั้นเป็นอะไร ขณะที่มีกรรมเป็นปัจจัย ขณะที่เป็นผลของกรรมเพราะกรรมเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น เรากระทำมามากมาย ใครรู้ว่ากรรมใดเป็นปัจจัยให้เห็น ให้ได้ยิน แต่ขณะแรกในชาตินี้อะไรเป็นปัจจัย กรรมใช่ไหม กรรมมีแล้วมากมายนับไม่ถ้วน แต่กรรม ๑ ที่สุกงอมพร้อมที่จะให้ผลเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นโดยกรรมๆ หนึ่ง
- หนึ่งขณะที่เป็นผลของกรรมยังไม่พอ พอไหมถ้าทำอกุศลกรรมที่รุนแรงมากแล้วให้ผลเพียง ๑ ขณะ พอไหม ไม่พอเลย ด้วยเหตุนี้จึงมีผลของกรรมมากกว่า ๑ ขณะ แต่ขณะแรกในชีวิตซึ่งเป็นผลของกรรม ๑ เป็นปัจจัยให้ชาตินี้เป็นแมว เป็นสุนัข เป็นงู เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ฯลฯ กรรมให้ผลเป็นจิตที่ทำกิจเกิด
- เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นผลของกรรมและจิตที่เป็นผลในภาษาบาลีใช้คำว่า วิปาก เคยได้ยินไหม วิปากคืออะไร
- (คุณประกาศ - คือผล) จิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกันโดยมีเพียง ๑ กรรมเท่านั้นเป็นปัจจัยให้ ๑ ชีวิตเกิดขึ้นทำกิจขณะเกิด ๑ กรรมเท่านั้นด้วยเหตุนนี้บุคคลนั้นจึงเป็นคุณประกาศและเป็นต่อไปเรื่อยจนถึงแก่กรรมคือ ตาย จะเป็นคุณประกาศคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้ และกรรมอื่นๆ ที่ได้กระทำแล้วก็จะทำกิจหน้าที่เป็นปัจจัยให้เกิดผลเป็นขณะที่เกิดในชาติต่อๆ ไป
- เพราะฉะนั้นคุณประกาศจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน (ชั่วขณะ) แล้วแต่กรรมที่ทำให้เกิด เมื่อสิ้นสุดกรรมนั้นก็หมดปัจจัยที่จะให้ผลเป็นคุณประกาศอีกต่อไป เพราะฉะนั้นชีวิตเป็นเพียงผลของ ๑ กรรม ศึกษาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่เป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย ทาง ๕ ทวาร
- แมวมีกี่ทวาร ทางรู้อารมณ์ของสุนัขมีเท่าไหร่ (ไม่ทราบ)
- (คุณสุขิน - คุณประกาศมีทางรู้อารมณ์กี่ทาง (๕) เพราะฉะนั้นแมวมีกี่ทาง (๕ เหมือนกัน) ถูกต้อง เท่ากันเพราะฉะนั้นเห็นของแมวหรือเห็นของเราก็คือเห็น เข้าใจที่ท่านอาจารย์กล่าวเพราะเรากำลังสนทนาเรื่องเห็น เรื่องจิตก่อนเห็นคือจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ และก่อนนั้นเป็นจิตที่ดำรงภพชาติ และก่อนที่จะมีจิตที่ทำกิจดำรงภพชาติต้องมีจิตแรกของชาตินี้ที่ทำกิจเกิดซึ่งเป็นผลของกรรมให้เกิดและกรรมนั้นต้องเป็นปัจจัยให้มีขณะต่อไปที่มีชีวิตต่อไป คือ ภวังค์)
- (คุณสุขิน - ดังนั้นเรากล่าวว่า เมื่อมีการเกิดและมีการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะเป็นผลของกรรม และนี้คือ วิบากจิต กรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดยังเป็นปัจจัยให้ดำรงชีวิตต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นมีเกิด ดำรงชีวิต และตาย และที่มีชีวิตต่อไปเป็นภวังคจิตและรู้อารมณ์ที่ไม่ปรากฏ ท่านอาจารย์จะเกื้อกูลต่อเพราะไม่ได้มีแต่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส เพราะไม่มีแต่เกิดดำรงชีวิตและตายแต่ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสในระหว่างที่ยังไม่ตายด้วย)
- (คุณสุขิน - และนี้คือแนวของการสนทนาในครั้งนี้ กรรมเป็นปัจจัยให้มีการเกิดและจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน กรรมเป็นตัวกำหนดว่าจะมีอายุ ๕๐ ปี ๗๐ ปี ๑๐๐ ปีหรือจะกี่ปีแล้วตายก็ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นเกิดมามีชีวิตแล้วตายแน่นอนแต่ในระหว่างที่ยังไม่ตายต้องมีจิตที่รู้อารมณ์อื่นๆ ไม่ใช่แค่จิต ๓ ประเภทนี้)
- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นเราพูดถึงจิตที่รำพึงก่อนเห็น ไม่ใช่เห็น เป็นจิตที่ทำกิจรำพึงคือ รู้อารมณ์ก่อนเห็น ไม่ใช่จิตดำรงภพชาติ เห็นก็ไม่ใช่จิตที่ดำรงภพชาติ เป็นจิตต่างประเภทกัน เพราะฉะนั้นนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต รำพึงถึงอารมณ์แล้ว เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และรำพึงถึงอารมณ์แล้วคิด)
- (คุณประกาศ - รำพึงถึงอารมณ์หมายความว่า…)
- (คุณสุขิน - เป็นจิตประเภทหนึ่งที่ทำกิจรำพึง เราจะได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวต่อไป จิตที่ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เคยได้ยินไหม มีภวังค์เป็นจิตที่ดำรงภพชาติหลังจากการเกิดแล้วก็ตายใช่ไหม แต่ชีวิตไม่ได้เป็นไปแค่นั้น เดี๋ยวนี้มีภวังค์แน่นอนแต่ก็มีเห็นด้วย มีได้ยินด้วย มีได้กลิ่นด้วย มีลิ้มรสด้วย มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก)
- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นชีวิตไม่มีแค่เกิด ดำรงชีวิต แล้วตาย แต่ยังมีสภาพรู้อื่นๆ ด้วย แต่มีจิตแรกที่ออกจากภวังค์คือ อาวัชชนจิตรำพึงถึงอารมณ์ทางปัญจทวารและทางมโนทวาร เช่น กำลังฝัน ขณะหลับและฝันเกิดขึ้นทางใจไม่ใช่ทางปัญจทวาร และมีคิดนึก คิดนึกคือการฝัน แต่ก่อนเห็นต้องมีจิตรำพึงถึงอารมณ์ที่เห็น)
- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นรำพึงคือจิตที่เกิดขึ้นก่อนเห็น เป็นการใส่ใจที่อารมณ์)
- (คุณสุขิน - ไม่ใช่การใส่ใจ การใส่ใจในอารมณ์เป็นกิจของเจตสิกประเภทหนึ่งโดยเฉพาะคือ มนสิการ ส่วนการรำพึงเป็นกิจของจิต คิดว่าเชิญท่านอาจารย์สนทนาต่อ)
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (เห็น) จิตอะไรเกิดก่อนเห็น (ไม่ทราบ ไม่เข้าใจ) ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจจิตทีละหนึ่งให้ชัดเจนขึ้นๆ เพื่อให้ไม่ลืมและเพื่อเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นว่า ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย มีแต่สิ่งที่มีจริง
- เพราะฉะนั้นจิตก่อนเห็นมีจริงไหม (มีจริง) จิตก่อนเห็นเป็นจิตประเภทไหน (ไม่ทราบ แต่ว่าต้องมีจิตประเภทอื่น) ฉะนั้นเราเริ่มใหม่อีกครั้งจากขณะแรกของชีวิต ขณะแรกของชีวิตคืออะไร (กรรมใดกรรมหนึ่ง…) ไม่ใช่ๆ เราพูดถึงจิต เพราะฉะนั้นอะไรเป็นจิตแรกของชาตินี้ (ภวังคจิต) ไตร่ตรองอีกครั้ง อะไรเป็นขณะแรกของชีวิตในชาตินี้
- (คุณสุขิน - ก่อนภวังคจิตควรจะมีจิตอื่นเกิดก่อนภวังค์ไหมในชาตินี้ จิตที่ทำกิจอื่นที่ไม่ใช่ภวังค์)
- (คุณประกาศ - ยังไม่เคยฟัง)
- เพราะฉะนั้นจึงฟังอีกฟังแล้วฟังอีกด้วยความรอบคอบระมัดระวังทีละคำทีละ ๑ ธรรม มีจิตแรก มีขณะแรกของชีวิตในชาตินี้ไหม (ต้องมี) ต้องมี ขณะแรกของชีวิตมีจริงไหม (มีจริง) คืออะไร (ไม่ทราบ) เราพูดได้ไหมว่า ขณะเกิด หรือ ปฏิสนธิจิต ขณะนั้นจะเป็นเห็นได้ไหมขณะแรกของชีวิต (ไม่แน่ใจ)
- เราต้องศึกษาทีละคำ ถ้าไม่มีการเกิดจะมีชีวิตไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นการเริ่มต้นชีวิตใช่ไหม (ใช่) เห็นไหม เราสามารถเข้าใจได้ในขั้นเรื่องราวของปริยัติ ความจริงไม่ใช่เรื่องราว ขณะแรกที่เป็นสภาพรู้ในชีวิตเราเรียกว่าการเกิด มิฉะนั้นไม่มีชีวิตเลย แต่ความจริงหรือสภาพที่มีจริงๆ ของการเกิดคืออะไร เห็นไหม ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่เสียง
- เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นของชีวิตคืออะไร (ต้องมีจิต) ต้องมีสภาพที่รู้อารมณ์ใช่ไหม ต้องเป็นสภาพนั้นที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เป็นขณะแรกของชาตินี้ เพราะว่าชีวิตไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่รสชาติ ฯลฯ แต่เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นชีวิตคือ สภาพที่รู้อารมณ์และสภาพที่มีจริงที่รู้อารมณ์ต้องเกิดเพื่อรู้อารมณ์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เราใช้คำว่า จิต หรือเราใช้คำอื่นก็ได้ เช่น วิญญาณ โดยนัยที่ต่างๆ กัน
- แต่เข้าใจมั่นคงขึ้น ชัดเจนขึ้น จิต คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพื่อรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังมีจิตเพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังเห็นเกิดขึ้นรู้อารมณ์ขณะนั้นต้องมีชีวิต เพราะฉะนั้นเห็นมีชีวิต ชีวิตคือการเห็นและมีสิ่งอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่เห็นเท่านั้น ไม่ว่าขณะไหนที่มีสภาพรู้ขณะนั้นมีชีวิตและเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์
- แล้วทำไมเราถึงกล่าวว่าเป็นใหญ่เป็นประธาน มีความหมายอะไรไหม หรือไม่มีความหมายอะไรเลย หมายความว่า ต้องมีสภาพธรรมอื่นๆ ที่รู้อารมณ์แต่ไม่ใช่ประธาน เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นใหญ่จึงมีสภาพธรรมเดียว ใช้คำว่า จิต เป็นสภาพที่มีจริงที่รู้อารมณ์ชัดเจนกว่าสภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกันและรู้อารมณ์เดียวกันแต่ไม่รู้แจ้งอย่างจิต มีเพียงสภาพธรรมเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์
- ใครรู้ว่าเห็นเห็นความต่างกันของขอบฟ้าและขอบน้ำ สีของทะเลกับสีของท้องฟ้า แต่จิตไม่มีมีความคิดหรือพูดถึงท้องฟ้าหรือมหาสมุทรแต่จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่กระทบตา ถ้าอารมณ์นั้นไม่ได้กระทบเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจสภาพที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ว่าเป็นนามธรรม มีจริงๆ เป็นสภาพที่รู้อารมณ์เรียกว่า นามธรรม ไม่ใช่แค่จิตที่เป็นใหญ่เป็นประธารแต่มีสภาพธรรมอื่นที่เกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกันแต่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างๆ กัน บางอย่างเกิดขึ้นชอบติดข้อง บางอย่างเกิดขึ้นเกลียด ฯลฯ ในแต่ละวัน
- เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ไม่ใช่แค่ตามคำ หรือ แค่พูดตาม แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่อาศัยคำเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงสิ่งนั้นคือ สิ่งที่มีจริงที่เป็นสภาพรู้ แข็งไม่รู้อารมณ์ เสียงไม่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นต้องมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ขณะแรกในชีวิตไม่ใช่เห็น
- เพราะฉะนั้นขณะแรกของชีวิตคืออะไร เราต้องศึกษาเพื่อละคลายความยึดถือ ละคลายความไม่รู้ว่า เป็นเราที่เกิด เป็นแมวที่เกิดแต่ตามความเป็นจริง อะไรเกิด เห็นไหม ถ้าไม่มีการเกิดจะมีอะไรได้ไหม นี้คือชีวิต ด้วยเหตุนี้ขณะเกิดภาษาบาลีใช้คำว่า ปฏิสนธิจิต เคยได้ยินคำว่า ปฏิสนธิ ไหม
- เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีขณะเกิดไหม ขณะเกิดเป็นขณะแรกของชาตินี้เดี๋ยวนี้มีไหม (ไม่ทราบ)
- (คุณสุขิน - เราเพิ่งสนทนาเรื่ิองการเกิดค่อสภาพที่ทำกิจเกิด เพราะฉะนั้นตอนนี้จะมีการเกิดอีกได้ไหม เดี๋ยวนี้คือการเกิดไหม เห็นเป็นการเกิดไหม)
- (คุณประกาศ - ถ้าโดยนัยของการเกิดและดับก็มีการเกิดอีกๆ ทุกขณะ)
- (คุณสุขิน - ไม่ใช่การเกิดของเห็น ตอนนี้เรากำลังสนทนาเรื่องกิจหน้าที่ เราไม่ได้กล่าวถึงสามัญลักษณะของสภาพที่เกิดแล้วดับที่เป็นสังขารธรรม เราไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนั้นแต่เรากำลังกล่าวถึงจิตที่มีกิจต่างๆ และพูดถึงกิจเกิด อาจจะพูดว่า เวียนกลับมาเกิด เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์กำลังกล่าวถึงปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตประเภท ๑ ที่ทำกิจกิจหนึ่งคือ ทำกิจเกิดเป็นจิตขณะแรกของแต่ละชาติ)
- (คุณประกาศ - จิตแรกคือจิตอะไรเป็นจิตแรก)
- (คุณสุขิน - ไม่ใช่เรื่องว่าจิตแรกคือจิตอะไรแต่ต้องมีจิตแรกเสมอ และเรากำลังสนทนาถึงหน้าที่เฉพาะของจิตที่เกิดขึ้นเป็นขณะแรกของแต่ละชาติ คิดนึกเป็นจิตแรกได้ไหม (ไม่ได้) เห็นจะเป็นจิตแรกได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เมื่อเรากล่าวถึงจิตแรก เรากล่าวถึงจิตที่ทำกิจเกิดเป็นขณะแรก เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีการเกิดไหม (ไม่มี) เชิญท่านอาจารย์)
- เดี๋ยวนี้มีอะไร
- (คุณประกาศ - มีเห็น) มีจริงๆ เท่าที่เราจะรู้ได้ว่า เดี๋ยวนี้กำลังมีเห็น แล้วเห็นเป็นขณะแรกของชีวิตไหม (ไม่ใช่) ชาตินี้มีขณะแรกไหม (ต้องมีจิตขณะแรก) แน่ใจหรือ (แน่ใจ) จริงหรือ มั่นคงไหม (มั่นคง) นั่นคือสัจจบารมี ไม่เปลี่ยน ต้องมีขณะหนึ่งที่เป็นขณะแรกของชาตินี้ การเกิดเป็นจิตขณะที่สองในชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) แน่ใจ (แน่ใจ) ดีมาก ไม่เปลี่ยน มีการเกิดกี่ขณะในชาตินี้ (๑ ขณะ) ดีมาก เปลี่ยนไม่ได้ เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต
- เพราะฉะนั้นในภาษาบาลี ปฏิสนธิจิต ๓ คำ ปฏิสนธจิต คือ จิตที่เกิดต่อทันทีหลังจากตาย จิตอื่นจะเกิดไม่ได้หลังตาย ๑ ขณะเท่านั้น ไม่ใช่ ๒-๓ ขณะ เพียง ๑ ขณะที่เกิดขึ้นหลังจุติจิต อะไรเป็นปัจจัยของปฏิสนธิจิต ตอนนี้ดิฉันจะพยายามกล่าวคำภาษาบาลีบ้างเพื่อให้คุ้นเคย ปฏิสนธิจิตเป็นจิตที่เกิดขึ้นหลังตาย
- ปฏิสนธิจิตเป็นกรรมไหม (เป็น) ไม่ใช่ (กรรมกับปฏิสนธิจิตต่างกัน) คำถามคือ กรรมเป็นปฏิสนธิจิตไหม (ไม่เป็น) เมื่อไม่เป็นกรรมแล้วเป็นจิตประเภทไหน
- (คุณประกาศ - ประเภทไหน เป็นประเภทที่มีกรรมเป็นปัจจัย) ถูกต้อง กรรมเป็นเหตุ อะไรเป็นผล จิตอะไรเป็นผล (ดำรงภพชาติ) จิตอะไร มี ๔ อย่าง (ภวังคจิต) จิตอะไรทำกิจปฏิสนธิ (ไม่ทราบ) จิตที่เป็นเหตุคือกุศล อกุศล จิตใดเป็นผลของกรรม จิตประเภทไหนที่เป็นผลของกรรม (วิบากจิต) อกุศลกรรมไม่เป็นปัจจัยให้เกิดวิบากได้ไหม หรือ วิบากไม่มีกรรมเป็นปัจจัยได้ไหม
- (คุณสุขิน - คำถามของท่านอาจารย์คือ เดี๋ยวนี้มีวิบาก วิบากนี้หรือเห็นขณะนี้จะไม่มีกรรมในอดีตเป็นปัจจัยได้ไหม (ต้องมีปัจจัย)
- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ศึกษาคำแต่ศึกษาสิ่งที่มีจริงของแต่ละขณะ เพราะฉะนั้นกรรมคืออะไร มีจริงไหม เป็นจิตไหม (ไม่ใช่จิต) แล้วเป็นอะไร รู้อารมณ์ไหม (รู้อารมณ์แต่ไม่ได้รู้อารมณ์ที่กำลังเห็น) เป็นจิตไหม (ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก)
- เพราะฉะนั้นกุศลจิต อกุศลจิตเป็นเหตุหรือเป็นผล (เป็นผล) กุศลจิต อกุศลจิต กุศฐกรรม อกุศลกรรม เป็นเหตุหรือเป็นผล กุศลกรรมคืออะไร อกุศลกรรมคืออะไร
- (คุณประกาศ - กุศลคือ ไม่ติดข้อง ไม่โลภ ไม่หลงเป็นกุศล เป็นอกุศลเมื่อมีความติดข้อง มีความโลภ มีความหลง) เราออกไปไกลมากเพราะฉะนั้นกลับมาที่จุดเริ่มต้นที่จะเข้าใจชัดเจนขึ้นๆ ทุกคนก็เริ่มต้นเหมือนคุณประกาศ ถ้าไม่มีความเข้าใจ การฟังการไตร่ตรองพิจารณาดูเหมือนว่าจะพอแต่ตามความเป็นจริงไม่พอเลย เราต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ไตร่ตรองแล้ว ไตร่ตรองอีกโดยทุกนัยเพื่อเข้าใจจริงๆ ในขั้นฟัง กุศลหรือกุศล เห็นไหม
- เพราะฉะนั้นกุศลเป็นจิตไหม มีธรรมเท่าไหร่ (จิต เจตสิก และรูป) เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงกุศล กุศลคืออะไร (ไม่เข้าใจ)
- (คุณสุขิน - กุศลมีจริงไหม)
- (คุณประกาศ - มีจริง)
- (คุณสุขิน - ดังนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงประเภทไหน)
- (คุณประกาศ - ไม่เข้าใจคำถาม)
- (คุณสุขิน - คุณบอกว่ามีจริง มีจริงหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ใช่ไหม สิ่งที่ไม่มีจริงก็ไม่จริง เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้ท่านอาจาย์ถามว่า มีสิ่งที่มีจริงกี่ประเภท คุณตอบว่า จิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นกุศลเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นประเภทไหน)
- (คุณประกาศ - เป็นนามธรรม) มีนามธรรมกี่ประเภท (จิตและเจตสิก) เพราะฉะนั้นกุศล มีสภาพธรรมที่เป็นกุศลไหม (มี) เป็นสิ่งที่มีจริงประเภทอะไร (เป็นเจตสิกไหม) ใช่ ต้องเป็นการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบของคุณเอง มิฉะนั้นถ้าไม่มีคำถามก็ดูเหมือนว่าง่ายที่จะตอบว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่เมื่อเราพูดถึงจิตหรือธรรม ๔ อย่าง เราต้องรู้ว่าโดยนัยอะไร
- เมื่อเราพูดถึงธรรมทั้งหมดมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน แต่เราไม่กล่าวถึงนิพพานเพราะไม่ได้มีนิพพาน แต่เดี๋ยวนี้มีจิต มีเจตสิก มีรูปดังนั้นเราจึงสนทนากันด้วยการไตร่ตรองเพิ่มขึ้นถึงความลึกซึ้งเพื่อที่จะเข้าใจมั่นคงขึ้นๆ ในความจริง
- ด้วยเหตุนี้คำถามว่า กุศลเป็นธรรมประเภทอะไร คำตอบคือ เจตสิก จิตเป็นกุศลได้ไหม (ไม่ได้) เป็นกุศลจิตได้ไหม (จิตเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอะไรต้องอาศัยเจตสิกถึงจะเป็นกุศลหรืออกุศล) มีแต่เจตสิกเดี่ยวๆ ได้ไหม (ไม่ได้ถ้าไม่มีจิต)
- เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลเจตสิกเกิดกับจิตก็ต่างกับขณะที่อกุศลเจตสิกเกิดกับจิตเพราะว่า กุศลเจตสิกเกิดกับจิต จิตนั้นจึงเป็นกุศลจิตไม่ใช่แค่กุศลธรรมแต่เป็นกุศลจิตเพราะว่า มีกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่กุศลเจตสิกไม่ใช่จิต เมื่อพูดถึงเจตสิกอย่างเดียว กุศลเจตสิกจะเป็นอกุศลเจตสิกไม่ได้ กุศลเจตสิกต้องเป็นกุศลเจตสิก และกุศลเจตสิกเป็นจิตไม่ได้ใช่ไหม แต่จิตเกิดกับกุศลเจตสิก เพราะฉะนั้นจึงต่างกับจิตที่เกิดกับอกุศลเจตสิก
- ด้วยเหตุนี้จึงมีกุศลจิตและอกุศลจิตแต่สภาพที่มีจริงที่เป็นกุศลเป็นเจตสิก แต่เมื่อเกิดกับจิตจิตก็เป็นจิตที่เกิดกับกุศลเจตสิกจึงเป็นกุศลจิตเมื่อเกิดกับกุศลเจตสิก ชัดเจนขึ้นไหม
- (คุณประกาศ - เป็นกุศลจิตเมื่อมีกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเป็นอกุศลจิตเมื่อมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย) ไม่ใช่แค่คำแต่เป็นความจริงใช่ไหม
- (คุณสุขิน - เป็นความจริงของปัจจัย ทำไมเราพูดถึงปัจจัย เราพูดถึงการปรุงแต่งของธรรมที่เกิดร่วมกัน เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดกับอกุศลเจตสิก จิตนั้นถูกปรุงแต่ให้เป็นอกุศล)
- สุนัขมีกุศลจิตได้ไหม (ได้) สุนักมีอกุศลจิตได้ไหม (ได้) มนุษย์มีอกุศลจิตได้ไหม (ได้) และมนุษย์มีกุศลจิตได้ไหม เห็นไหม จิตเป็นจิต จิตไม่ได้เป็นของสุนัข ของแมวหรือของใครเลยทั้งสิ้น กุศลจิตเป็นเหตุหรือเป็นผล
- (คุณประกาศ - ยังไม่มั่นคงเรื่องเหตุและผล)
- อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เมื่อกล่าวโดยนัยของจิต
- (คุณสุขิน - เราอาจจะย้อนกลับไปกล่าวถึงตอนเริ่มต้นว่า จิตมีกี่ประเภท มีกี่ชาติ อาจจะช่วย คุณประกาศรู้เรื่องจิต ๔ ชาติไหม เราเคยกล่าวถึงแต่เราไม่ได้พูดถึงตรงๆ โดยชาติ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา เคยได้ยินไหม นั่นครอบคลุมนามธรรมทุกประเภท จิตไม่ว่าขณะไหน จิตหนึ่งจิตใดต้องเป็นชาติกุศล หรืออกุศล หรือวิบาก หรือกิริยา จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ต้องเป็น ๑ใน ๔ และก่อนหน้านี้คุณตอบคำถามๆ ๑ ว่า วิบากเป็นผลใช่ไหม เพราะฉะนั้นคำถามเดี๋ยวนี้คือ กุศลคืออะไร)
- (คุณประกาศ - กุศลคือความดีงาม คือความไม่ติดข้อง)
- (คุณสุขิน - ถูกต้อง แต่ถ้าวิบากเป็นผล แล้วกุศลเป็นอะไร อกุศลเป็นอะไร)
- (คุณประกาศ - อกุศลเป็นอะไรที่เป็นความติดข้อง)
- (คุณสุขิน - อกุศลเป็นผลเหมือนวิบากไหม มีกุศล อกุศล วิบาก กิริยา ใน ๔ อย่างนี้วิบากหมายถึงจิตที่เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นกุศลไม่ใช่ผล อกุศลไม่ใช่ผล เพราะฉะนั้นกุศลอกุศลเป็นอะไร ถ้าไม่เป็นวิบาก ไม่เป็นกิริยาแล้วเป็นอะไร ผลหมายความว่า ต้องมีเหตุของผลนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอะไรเป็นเหตุของผล อะไรเป็นเหตุของวิบาก (กรรม) และกรรมเป็นจิตหรือเจตสิกใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรรมที่เป็นเหตุเป็นชาติอะไรใน ๔ ชาติ กุศล อกุศล วิบาก หรือกิริยา)
- (คุณประกาศ - คิดว่าต้องการความเข้าใจในคำอธิบายเพิ่ม)
- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นกรรมหมายถึงอะไร (ความจงใจ) กล่าวได้ไหมว่า กรรมเป็นเหตุ จิตประเภทไหนเป็นเหตุ (เจตสิก) เราพูดถึงจิตเพราะจิตต้อเกิดกับเจตสิก เพราะฉะนั้นเราพูดถึงจิตที่เป็นเหตุได้ บางจิตเป็นเหตุ บางจิตเป็นผล เช่น เห็นเป็นอะไร เหตุหรือผล (ผล) วิบากใช่ไหม เพราะฉะนั้นจิตอะไรเป็นเหตุให้เกิดวิบาก เช่น เห็น จิตอะไรเป็นเหตุ (ยังไม่เข้าใจ)
- (คุณสุขิน - คุณบอกว่า กรรมเป็นเหตุใช่ไหม และกรรมต้องเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คุณบอกว่าเป็นความจงใจ และความจงใจเกิดกับเจิตเพราะฉะนั้นเราก็สามารถพูดถึงจึงโดยนัยที่เป็นเหตุได้ด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรรมเป็นจิตประเภทไหน (ยังตามไม่ทัน) ขอให้ท่านอาจารย์ช่วย)
- ธรรมลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงแต่ละธรรมด้วยหลายๆ คำของแต่ละธรรม เพราะว่ามีลักษณะต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมได้เลย ถูกไหม เพราะฉะนั้นเราจึงศึกษาความจริงสูงสุดที่เปลี่ยนไม่ได้ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น กำลังศึกษาเรื่องจิตเดี๋ยวนี้ใช่ไหม (ใช่) แต่ศึกษาโดยทฤษฎีใช่ไหม ไม่ใช่ขณะที่กำลังมีจิตนั้น เราศึกษาว่า จิตเป็นสภาพธรรมเดียวที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์
- เพื่อให้ไม่ลืมเราต้องเข้าใจชัดเจนว่า มีสภาพธรรมอื่นที่รู้แจ้งอารณ์ได้นอกจากจิตไหม (ไม่มี) ปัญญารู้แจ้งอารมณ์ได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้อง เพราะว่าปัญญาไม่ได้ทำกิจรู้แจ้งอารมณ์แต่เป็นสภาพที่เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏซึ่งต่างกับสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ต้องมีความต่างระหว่างนามธรรม อย่างหนึ่งเป็นจิตและที่เหลือเป็นเจตสิก ไม่มีเจตสิกใดที่ทำกิจหน้าที่ของจิตได้เลยแม้แต่ปัญญา
- ปัญญาจำได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าปัญญาเพียงเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามลำดับขั้นทีละเล็กทีละน้อย แต่หน้าที่จำไม่ใช่หน้าที่ของปัญญา ด้วยเหตุนี้จึงมีสภาพที่ไม่ใช่จิตมากมายที่รู้อารมณ์ สภาพธรรมเหล่านั้นเป็นเจตสิกแต่ละหนึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนๆ ไม่ปะปนกันเลย
- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาความลึกซึ้งของเจตสิกแต่ละเจตสิก แม้เดี๋ยวนี้มีเจตสิกแต่ไม่รู้จึงต้องอาศัยความเข้าใจในขั้นฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไปตอนเย็นในกลางคืน เป็นธรรมทั้งหมดแต่เราพูดถึงชื่อแต่ความจริงมีอยู่ไม่ใช่คำ
- ด้วยเหตุนี้เราค่อยๆ ศึกษาเพิ่มขึ้นถึงกรรม วิบาก ฯลฯ รูปเป็นกรรมไหม เพราะว่า เรายังไม่รู้จักกรรมเพราะฉะนั้นรูปรู้อารมณ์ได้ไหม (รู้ไม่ได้) หิวข้าวหรือยัง (ไม่รู้สึกหิว) อีกไม่ช้าจะถึงเวลาเที่ยงวัน หิวได้ไหม หิวมีจริงไหม (มีจริง) เราพูดถึงชีวิต เราพูดถึงธรรม เราศึกษาเพื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรมในชีวิตประจำวันเพื่อละคลายว่า เป็นเราที่หิว แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมแต่ละ ๑ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน
- เพราะฉะนั้นเมื่อคุณหิว ถ้าความหิวไม่เกิดขึ้น จะมีความรู้สึกหิวไหม เดี๋ยวนี้คุณบอกว่าความหิวยังไม่เกิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อความหิวเกิดเป็นขณะที่หิว เป็นเราไหม (ไม่) แล้วเป็นอะไร (เป็นธรรมอย่างหนึ่ง) ดีมาก มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งแต่ไม่พอ เราศึกษาเพิ่มได้ว่า ความจริงของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันคืออะไร
- เพราะฉะนั้นหิวคืออะไร เป็นธรรม มีจริง กำลังมี ความหิวเป็นธรรมประเภทไหน (เจตสิก) ถูกต้อง ทำไมเป็นเจตสิก ทำไมไม่ใช่จิต (หิวไม่รู้แจ้ง หิวทำหน้าที่ของหิว) หิวรู้อารมณ์ไหมเมื่อหิวเป็นนามธรรม (หิวไม่รู้อารมณ์เต็มที่ จิตเท่านั้นที่รู้อารมณ์เต็มที่)
- หิวเป็นสิ่งที่มีจริงไหม (หิวมีจริง) หิวเป็นธรรมอะไร (เป็นเจตสิก) ถูกต้อง ไม่ใช่จิตแต่หิวเป็นเจตสิกอะไร (ความติดข้อง) ไม่ใช่ ความติดข้องไม่ใช่ความหิวเลย (ความอยากอาหาร) ขณะที่อยากอาหารไม่ใช่สภาพที่หิว หิวเป็นหิว ไม่ทำหน้าที่อื่นเลย เพราะฉะนั้นแม้จะหิววันละ ๓ ครั้งแต่ไม่เข้าใจหิว
- ด้วยเหตุนี้หิวมีจริงให้ศึกษาเพื่อละคลายว่า เป็นเราหิวเพราะไม่มีเราเลย เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นหิวคืออะไร ถ้าไม่ใช่คำว่า หิว มีหิวมั้ย (มี) เพราะฉะนั้นคืออะไร นี้คือการศึกษาธรรม ธรรมที่มีจริงเมื่อปรากฏให้รู้ เห็นไหมชีวิตประจำวันแต่ละขณะ มิฉะนั้นเมื่ออยู่แต่ในหนังสือก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีทางรู้ขณะที่กำลัวมีธรรมเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นหิวมีจริง เป็นสภาพธรรม เป็นเจตสิกแต่เป็นเจตสิกอะไร (ไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล) ไม่ใช่ กุศลหรืออกุศลโดยนัยของชาติของจิตที่เป็นกุศล อกุศล วิบากหรือกิริยา เรากล่าวถึงเฉพาะลักษณะของเจตสิกนี้ซึ่งต่างจากเจตสิกอื่น เพราะว่าคุณบอกว่าไม่ใช่จิตเป็นเจตสิกใช่ไหม เจตสิกมีเท่าไหร่ (๕๒ เจตสิก) เห็นไหม จำตัวเลขได้ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่มี อย่างนี้ไม่ใช่ศึกษาธรรม ศึกษาธรรมคือเมื่อมีธรรมใดก็ศึกษาลักษณะของธรรมนั้นเพราะฉะนั้นความหิวเป็นเจตสิกอะไร (คิดนึก)
- (คุณสุขิน - คุณประกาศ เรากำลังศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมประเภทหนึ่งซึ่งมีทั่วไป ถ้าค่อยๆ เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหิวเกิดขึ้นมีสภาพธรรมนั้นและสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมประเภทเดียวกันนั้นขณะที่เกิดขึ้นในขณะอื่นๆ เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิตทุกประเภท เพราะฉะนั้นเป็นสภาพธรรมไหน คุณตอบไปแล้วว่า เป็นเจตสิกและบอกแล้วด้วยว่า เจตสิกมี ๕๒ เพราะฉะนั้นเป็นเจตสิกอะไร)
- (คุณประกาศ - เวลาศึกษาขั้นปริยัติ เราไม่สามารถตอบได้และนี้เป็นตัวอย่างที่ดี)
- (คุณสุขิน - ถูกต้อง ผมชอบการสนทนาแบบนี้มากเพราะว่า ดีกว่าคนที่เคยฟังมาแล้วและพร้อมที่จะตอบคำถามอย่างถูกต้อง นั้นไม่ได้พิสูจน์เลยว่า เขาเข้าใจ เขาแค่จำชื่อจำคำตอบ เพราะฉะนั้นเราไปช้าๆ แบบนี้ ดีมาก และเริ่มด้วยการเข้าใจว่า เป็นธรรมและนั่นเป็นจุดเริ่มต้น เป็นธรรมอะไรก็ตอบมาแล้วว่า เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นเราไปช้า ไม่มีปัญหากับความเข้าใจของคุณเลย ดีมากๆ เพราะฉะนั้นให้ท่านอาจารย์ช่วยเกื้อกูลให้เข้าใจเพิ่ม)
- (คุณประกาศ - ความรู้สึกหิวเป็นเวทนาใช่ไหม) ดีมาก เป็นเวทนาประเภทไหน มีกี่ประเภท (เป็นทุกข์) ความรู้สึกเป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่) เพิ่มอีกนิด ความรู้สึกมีกี่ประเภท (๓ ประเภท) อะไรบ้าง (สุข ทุกข์ เฉยๆ) และสุข ทุกขืทางกายหรือทางใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีเวทนากี่อย่างเมื่อกล่าวโดยทางกายและทางใจ (มี ๕ อย่าง) อะไรบ้าง สุขกาย สุขใจ เฉยๆ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ
- เพราะฉะนั้นขณะหิวคืออะไร (ทุกข์กาย) แน่นอน เห็นไหม ศึกษาเพื่อเข้าใจโดยการไตร่ตรองของตนเอง ไม่ใช่แค่ฟังคำจำเรื่องแล้วสงสัย แต่เมื่อกำลังมีสภาพธรรมแม้จะไม่ใช้คำว่า ความรู้สึกทุกข์กาย แต่มีความรู้สึกอย่างนั้นที่กายจริงๆ เพราะฉะนั้นความหิวเป็นความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกายและเมื่อคันเกิดขึ้นเป็นสภาพธรรมอะไร (เป็นทุกข์ทางกาย)
- เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ ศึกษาเพิ่มขึ้นเพื่อคลายความยึดถือ ขณะที่สภาพนั้นเกิดขึ้นเป็นธรรมเป็นธรรมที่เกิดที่กาย ยิ่งเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นหนทางละความติดข้องและความไม่รู้และค่อยๆ สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น ขณะที่ธรรมเกิดขึ้น ธรรมทำหน้าที่ไม่มีใครพยายามทำอะไรให้มีน้อยลงหรือมีมากขึ้น
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ศึกษาธรรม เข้าใจแล้วว่าศึกษาสิ่งที่กำลังมีให้ศึกษา นี้เป็นรอบแรกของอริยสัจจะ แต่ไม่ใช่การรู้ตรหรือระลึกตรงลักษณะของความรู้สึกหิว จนกว่าจะมีปัจจัยเพียงพอ มีความเข้าใจมากขึ้น มีความรู้ขั้นฟังเพิ่มขึ้นมั่นคงไม่เปลี่ยน เพราะในแต่ละวันลองคิดดูว่าสะสมอะไรมามาก บัญญัติเรื่องราวเมื่อคืนหรือเมื่อวานเป็นปัจจัยให้คิดถึง และทันทีที่ตื่นขึ้นมาเรื่องราวต่างที่เคยคิดก็เป็นปัจจัยให้คิดถึงแล้วคิดถึงอีกจนกว่าความเข้าใจธรรมจะมั่นคง เป็นปัจจัยให้ไม่ลืมและเข้าใจถูกว่าเป็นสภาพธรรมเดี๋ยวนี้
- เมื่อมีความรู้สึกหิวเกิดขึ้นสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ถึงตรงลักษณะของหิวตามเหตุตามปัจจัย ฟังแล้วฟังอีกๆ แม้จะพยายามอย่า่งมากที่จะให้เข้าใจก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าความเข้าใจไม่พอ แต่เมื่อมีความเข้าใจมั่นคง เป็นเข้าใจถูกตรงลักษณะของสภาวะที่กำลังหิวที่กำลังปรากฏให้รู้ทันทีโดยอนัตตา และนี้คือการศึกษาธรรม เป็นการศึกษาขั้นปริยัติที่จะนำไปสู่ขั้นปฏิปัตติซึ่งจะนำไปสู่ขั้นปฏิเวธซึ่งเป็นขั้นประจักษ์แจ้งว่าทั้งหมดที่มีเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นอนัตตามีในชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้ถ้าไม่สนทนากัน ถ้าไม่ไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียด ถ้าไม่มีปัจจัยให้คิดถึงก้ไม่คิดถึงแต่คิดเรื่องอื่นทั้งวัน เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจสิ่งที่มีทีเล็กทีละน้อยสามารถที่จะสะสมเป็นปัจจัยให้มีขณะที่คิดถึงธรรมแม้คิดถึงคำ แข็งตรงนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ว่าเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา หรือนิ้วมือ ฯลฯ ความคิดถึงรูปร่างรูปทรงหรือบัญญัติไม่มีจริง ไม่ใช่ขณะที่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง
- เข้าใจขึ้นไหม มั่นคงในความจริงของธรรมไหม จนกว่าทั้งหมดเป็นธรรมทีละเล็กทีละน้อยไปตามลำดับ ถ้าไม่ใช่หนทางนี้ มีหนทางอื่นไหมที่จะเข้าใจธรรมเมื่อมีเพียงคำ ด้วยเหตุนี้ขณะที่มีความรู้สึกเป็นสุข ไม่มีคำเพราะมีสภาพธรรมที่เป็นความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย และขณะที่คิดถึงสิ่งที่มีว่าเป็นธรรมก็เป็นไปตามปัจจัย และขณะที่ประจักษ์แจ้งระลึกตรงอารมณ์นั้นต่างจากขณะที่พูดถึงธรรมนั้นเดี๋ยวนี้ เป็นอบรมจนถึงขณะที่มีความเข้าใจถูกในขั้นนั้น
- และนี้คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่หนทางอื่นเลย ไม่ใช่การจำคำจำชื่อหรือพยายามอย่างมากที่จะให้สติเกิดที่จะให้ประจักษ์แจ้งความจริง เป็นไปไม่ได้ ธรรมลึกซึ้งมากต้องอบรมอีกและอบรมอีกและอบรมอีกจนกว่าจะเป็นธรรมดาเป็นธรรม ไม่ใช่แค่คิดแต่สภาพธรรมปรากฏดีแต่ยังไม่พอ และต้องอบรมต่อไปๆ ชัดเจนขึ้นๆ จนถึงวิปัสสนาญาณ
- ถ้าปราศจากความเข้าใจรอบแรกของอริยสัจจะที่เป็นปริยัติจะถึงปฏิปัตติความรู้ในรอบที่ ๒ ไม่ได้ซึ่งเป็นการรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้เข้าใจแล้วในรอบแรก ความเข้าใจชัดเจนพอที่จะเข้าใจสิ่งนี้ทันทีตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นปัญญามีหลายระดับหลายขั้น
- นี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ๑ ขณะของความเข้าใจจากการเริ่มต้นทีละน้อยมากจนกระทั่งเข้าใจมากขึ้นๆ ที่จะถึงขณะที่เข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เตียง ไม่ใช่นาฬิกา ฯลฯ แข็งเป็นแข็ง เข้าใจตรงทั้ง ๖ ทวาร
- เพราะฉะนั้นตอนนี้รู้สิ่งที่ถูกเห็นทางใจได้ไหม ด้วยเหตุนี้เราศึกษาเพื่อเข้าใจว่า เมื่อทางปัญจทวารดับไปต้องมีการรู้อารมณ์เดียวกันทางใจสืบต่อ มิฉะนั้นรู้ไม่ได้ถ้าทางใจไม่รู้อารมณ์เดียวกัน เพราะฉะนั้นทางใจต่อจากทางปัญทวารแต่ละทางโดยไม่รู้เลยว่า ทางใจเกิดมากกว่าทางปัญจทวารเพื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีชื่อว่าอะไร เรียกว่าอะไร ฯลฯ
- เพราะฉะนั้นลึกซึ้งอย่างยิ่งแต่สามารถเข้าใจได้เมื่อมีการไตร่ตรองพิจารณาความจริงอย่างละเอียดรอบคอบขณะนี้ แม้เดี๋ยวนี้มีเห็นแต่มีเพียงความเข้าใจในขั้นฟังเรื่องเห็นเท่านั้น เพราะอะไร เพราะว่า ใส่ใจในสิ่งที่ถูกเห็นในแต่ละขณะ ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี เรากำลังสนทนาถึงนามแต่สิ่งที่มีเป็นขาของเราหรือเท้าของเรา หรือเราหิว ฯลฯ เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอเป็นอัตตา
- เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของอัตตามานานเท่าไหร่ หลายแสนโกฏกัปป์มาแล้ว เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริงสิ่งที่ปรากฏปรากฏกับปัญญาในระดับที่สามารถที่จะค่อยๆ ละความคิดที่เป็นบัญญัติ แข็งไม่จำเป็นต้องพูดว่าแข็งเพราะกำลังมีลักษณะที่แข็งปรากฏ
- เพราะฉะนั้นแต่ละขณะเป็นปัจจัยให้ขณะใหม่เกิดต่อทันทีเร็วสุดประมาณ ไม่มีใครรู้ จนกว่าจะได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ปฏิปัตติรู้อารมณ์นั้นที่ไม่ใช่แค่ชื่อของสิ่งนั้น มั่นคงขึ้นไหมในธรรมและอนัตตา ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกจะสามารถที่จะรู้ไหมว่า ธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เหมือนที่เคยยึดถือมาตลอดว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็น ๑ ขณะที่รู้แจ้งสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นไม่มีความรู้เลยจนกว่าจะถึงความรู้ตามลำดับ
- เพราะฉะนั้นตอนนี้หิวคืออะไรอีกครั้ง (ความหิวเป็นธรรมเป็นความรู้สึก) เป็นความรู้สึกทุกข์ทางกายใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้ามีคนกล่าวว่า ทุกข์ทางกาย ก็รู้ว่าเป็นขณะที่หิว หรือเจ็บ หรือเป็นแผล หรือคัน ฯลฯ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เกิดตามปัจจัยแล้วดับไม่มีใครรู้จนกว่าจะรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยการฟังการไตร่ตรองจนกระทั่งมีการระลึกรู้พร้อมความเข้าใจถูกโดยความเป็นอนัตตา ใครจะรู้ว่าจะเป็นอารมณ์ไหนตามเหตุตามปัจจัย ไม่สงสัยในขณะที่เป็นปัจจัยหรือขณะที่เป็นสังขารธรรม
- ต่อไปเราจะศึกษาว่าเดี๋ยวนี้มีปัจจัยอะไร เดี๋ยวนี้สามารถรู้ได้แต่เราไม่ใช้คำหรือข้อความใดๆ แต่มั่นคงว่า ไม่ว่าสิ่งใดที่กำลังมีต้องอาศัยปัจจัยจึงเกิดได้ และสิ่งที่เกิดแล้วต้องดับ สัพเพ สังขารา อนิจจา เพราะฉะนั้นเราศึกษาด้วยความรอบคอบในสังขารธรรมและวิสังขารธรรมต่างกันตรงข้ามกัน เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินว่า สังขารธรรม คืออะไร
- (คุณประกาศ - อะไรที่เกิดต้องดับไป) เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเกิดเพราะปัจจัย ไม่มีอะไรที่เกิดโดยไม่มีปัจจัย ไม่มีคำไม่มีชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นปัจจัยอะไร เรารู้ชื่อทีหลังแต่เราต้องเข้าใจความจริงเข้าใจลักษณะของสังขารธรรมที่ต่างๆ กัน
- เพราะฉะนั้นอะไรไม่ใช่สังขารธรรม ยังไม่เรียนยังไม่ถึงแต่ศึกษาสังขารธรรมเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าใจวิสังขารธรรม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรไม่ใช่สังขารธรรม (ไม่มี) เพราะว่าสิ่งที่มีเป็นสังขารธรรม ไม่สงสัยในสิ่งที่มีจริงและสังขารธรรมเดี๋ยวนี้ สังขารธรรมทั้งหมด สัพเพ สังขารา อนิจจา ทุกขาและอนัตตา เพราะฉะนั้นฟังดีๆ สัพเพ สังขารา อนิจจา และ อนัตตา แต่สัพเพ ธัมมา อนัตตา แต่สัพเพ สังขารา อนิจจา ต่างกันเห็นไหม ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อะไรคือสัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา อนิจจา ได้แก่อะไร
- (คุณประกาศ - สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยทั้งหมด) คืออะไร (เห็น ได้ยิน) คือ จิต เจตสิกและรูป จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมดและรูปทั้งหมดเป้นสังขารธรรม สถาพที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง และ นิพพานเป็นวิสังขารธรรม ไม่เกิด ไม่มีปัจจัยให้เกิด เข้าใจความหมายของทั้งหมด สัพเพ สังขารา อนิจจา และสัพเพ ธัมมา อนัตตา หมายความว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเข้าใจเพิ่มอีก ๒-๓ คำ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัพเพ สังขารา อนิจจา ทุกขา
- สมควรแก่เวลาแล้ว ยินดีในความเข้าใจและบารมีของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ
ศึกษาจิตทีละจิต เห็นไหม ก่อนจิตเห็นมีจิตไหม เราศึกษาธรรมในชีวิตประจำเพื่อเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เช่น เดี๋ยวนี้มีเห็นทุกคนรู้ว่าเห็นแต่ไม่เข้าใจว่า เห็นเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบตา เราศึกษาแต่ละขณะเพื่อเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ก่อนที่จะละคลายความคิดว่าเป็นเรา ต้องอาศัยความเข้าใจถูกทีละน้อยๆ ที่ต่อเนื่องยาวนาน นั่นคือ มรรคเป็นหนทางละที่นำไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ