บาปบุญมีจริงไหม ... ทำไมยังเจริญรุ่งเรือง

 
ใบลานเปล่า
วันที่  20 ม.ค. 2561
หมายเลข  29429
อ่าน  1,156

บริษัทได้ปั้นพนักงานคนนี้ขึ้นมาเพราะเห็นว่าหน่วยก้านดี น่าจะช่วยกันพัฒนาองค์กรไปได้ไกล แต่ภายหลังกลับเอาข้อมูลลับของบริษัทไปติดต่อและทำเองแข่งกับบริษัท ดึงลูกค้าไปแทบหมด ทั้งยังได้ดีอยู่ดี มีเงินเข้าเยอะสุขสบาย ซื้อบ้านซื้อรถ ตอนอยู่ด้วยกันก็ทุจริต ลักเล็กขโมยน้อย เม้มเงินต่างๆ นาๆ ก่อหวอดจะยกพวกลาอออก แต่เจ้าของก็ให้อภัยเพราะเห็นว่าเป็นคนรุ่นใหม่ คงจะใจร้อนบ้าง สุดท้ายขอขึ้นเงินโดยไม่เหมาะสม เจ้านายให้ออกจากงานเพราะถือว่าปัญหาเยอะเกิน ก็แอบเอาข้อมูลทั้งหมดของคนที่สร้างตัวเองมาไปแอบติดต่อทำเองทั้งหมด ทางไหนเป็นของเจ้านายเก่าก็ไปแย่งหมดกะให้เจ้านายเก่าตาย อยู่ต่อหน้าคนนี้พูดแบบนึง อยู่ลับหลังพูดอีกแบบนึง ทำทุกอย่างเพื่อได้เงินโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น

ตอนนี้เจ้านายเก่าเริ่มลังเลว่า บาปบุญมีจริงไหม ทำไมคนที่ทำดีกับเขาต้องเป็นทุกข์จากสิ่งที่เค้าทำ ข้อมูลเท็จที่เค้าเอาไปพูด แต่เค้ากลับได้ดี มีลูกค้ามีเงินเข้าอยู่สุขสบาย

บาปบุญมีจริงไหม หรือเป็นเรื่องเล่าหลอกคนขี้แพ้ หรือเราจะต้องปรับตัวอยู่แบบสัญชาติญาณสัตว์โลกล่าคนที่อ่อนแอ ใครอ่อนก็แพ้ไป ถูกไล่ล่า ถูกสัตว์ใหญ่กว่ากินไปแบบนั้น

บาปบุญมีจริงไหม หรือแค่เรื่องเล่าหลอกคนขี้แพ้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 ม.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กรรมที่ทำย่อมมีกาลเวลาที่จะให้ผลครับ กรรมบางอย่างให้ผลในปัจจุบัน ชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดๆ ไป ดังนั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำก็ตาม ต้องมีกาลเวลาที่จะให้ผล ทำดี ไม่จำเป็นจะต้องให้ผลทันที บุคคลนั้นจึงเห็นว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย แต่กับประสบทุกข์ ซึ่งการประสบทุกข์เป็นผลมาจากกรรมชั่ว ไม่ใช่เพราะกรรมดีเป็นเหตุครับ ส่วนคนที่ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วอาจจะไม่ให้ผลตอนนั้น ในชาตินั้นก็ได้ แต่กรรมดีที่เขาเคยทำไว้ในอดีตส่งผล เขาก็ประสบสุข จึงสำคัญว่าทำชั่วกลับได้ดีมีถมไป ดังนั้น จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว และกรรมย่อมมีกาลเวลาที่จะให้ผลครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 2

๔. แม้คนผู้ทำบุญ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดกรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดี


[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 215

"คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้นคนพาล ย่อมประสพทุกข์

มีคำอธิบายที่เป็นพระพุทธพจน์ว่า

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 168

คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี ส่วนคนทำเหตุชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว

ซึ่งก็ตรงกับคำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ ซึ่งในอรรถกถา อธิบายไว้ว่า พืชสะเดาหรือพืชประเภทบวบขม ย่อมมีแต่รสขม ไม่ให้ผลเป็นรสหวาน ฉันใด กรรมชั่วที่ทำก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดี ไม่ให้ผลในทางที่ดี พืชอ้อย พืชสาลีย่อมให้รสหวาน ไม่ให้ผลเป็นรสขม ฉันใด แม้กรรมดีที่ทำย่อมให้ผลในทางที่ดี ไม่ให้ผลชั่วครับ ทำดีจึงได้ดี ทำชั่วจึงได้ชั่ว คือได้รับผลวิบากที่ดีหรือชั่วตามแต่ประเภทของกรรมที่ทำครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 ม.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของธรรม ไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม แต่เกิดมาแล้ว ก็มีความแตกต่างกัน มีความประพฤติเป็นไปที่แตกต่างกัน ตามการสะสม เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีคนชั่ว ไม่มีคนดี เป็นต้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ แต่ที่เรียกว่าเป็นคนชั่ว ก็เพราะเหตุว่า ธรรมฝ่ายชั่ว ธรรมฝ่ายไม่ดี คือ อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ถูกอกุศลครอบงำ จึงมีความประพฤติเป็นไปตามกำลังของอกุศล จึงเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า เป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่มีกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา ต่อผู้อื่น มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ว่าร้าย ผู้อื่น พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน บุคคลประเภทนี้เป็นคนดี เพราะมีกุศลธรรม เกิดขึ้นเป็นไป คนดี กับ คนชั่ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมามีในสมัยนี้ แต่ มีทุกยุคทุกสมัย ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ตามสมควร เรื่องกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด กรรมในอดีตชาติที่ผ่านๆ มา แต่ละบุคคลก็ได้กระทำมาอย่างมากมาย มีทั้งดีและไม่ดี กรรมดี กับ กรรมชั่ว เป็นคนละส่วนกัน
การกระทำกรรมดี และ กรรมชั่ว นั้น เป็นการสร้างเหตุใหม่ เมื่อกรรมถึงคราวที่จะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้น (เหตุ ย่อมสมควรแก่ผล) ถ้าเป็นผลของกรรมดี ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกรรมชั่ว ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เป็นไปไม่ได้ที่เหตุดี แล้วจะให้ผลไม่ดี หรือ เหตุไม่ดีแล้ว จะให้ผลเป็นดี แต่เหตุย่อมสมควรแก่ผล เหตุดี ผลก็ย่อมดี เหตุไม่ดี ผลก็ต้องไม่ดี ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ประสาน
วันที่ 24 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 24 ม.ค. 2561

บาปบุญมีจริง เขาทำอกุศลกรรมจะได้รับผลในอนาคต แต่ขณะนี้กุศลในอดีตเขาให้ผลทำให้เขารวยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 25 พ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ