ขันธ์ กับอุปาทานขันธ์

 
nyongcha
วันที่  17 ม.ค. 2561
หมายเลข  29424
อ่าน  1,502

พระอรหันต์ที่ยังไม่ดับขันธ์ปรินิพาน ยังคงดำรงขันธ์อยู่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งหมายความว่าพระนิพพานที่เป็นไปกับอุปาทิ (อุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่าอุปาทิ) คือ อุปาทานขันธ์ ๕ ที่ยังเหลืออยู่

ถามว่า ขันธ์ที่ยังดำรงอยู่ของพระอรหันต์ เป็นขันธ์ หรืออุปาทานขันธ์ตามข้อความข้างบนพระอรหันต์ท่านไม่น่ามีความยึดมั่นในขันธ์ใดๆ แล้ว น่าจะเป็นเพียงสภาพขันธ์เฉยๆ ที่ยังดำรงอยู่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 18 ม.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขันธ์ ๕ อุปาทาน และ อุปาทานขันธ์ ๕ ต่างกันครับ

อุปาทาน คือ ความยึดมั่น มี ได้แก่ กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑

กามุปาทาน โดยสภาพธรรม ได้แก่ โลภเจตสิกอย่างเดียวก็ได้ โดยไม่มีความเห็นผิด เช่น ติดข้องมากๆ ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นกามุปาทาน หรือ ติดข้องในความยินดีในภพ เป็นต้น พระอรหันต์ เท่านั้น ที่ละ กามุปาทานได้

ส่วน ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑ เป็นทิฏฐิเจตสิก คือ มีความเห็นผิดด้วย พระโสดาบัน ละ อุปทาน ๓ เหล่านี้ได้ ครับ

อุปาทานขันธ์ ๕ คือ สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ เช่นกัน แต่เป็นที่ตั้งที่ยึดถือของโลภะ เป็นต้น จึงเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ซึ่งก็คือสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด เว้นแต่โลกุตตรธรรมครับ ซึ่งโลภะไม่สามารถติดข้องได้ ไม่สามารถยึดถือได้ จึงไม่เป็นอุปาทานขันธ์ ๕

ดังนั้น อุปาทานขันธ์ ๕ จึงหมายถึง ที่ตั้งที่เป็นยึดถือ ของโลภะ ก็หมายถึง สภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด ยกเว้น โลกุตตรธรรม ๙ ที่เป็นมรรคจิต ๔ ผลจิต ๔ และนิพพาน ส่วนสภาพธรรมที่เหลือ ที่เป็นอุปทานขันธ์ ๕ คือ จิตและเจตสิกที่เหลือ และรูปทั้งหมด คือ สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ นั่นเอง ที่ยกเว้น โลกุตตรธรรม ๙

เพราะฉะนั้น อุปทานขันธ์ ๕ จึงกว้างกว่า อุปาทาน ๔ เพราะ อุปทาน ๔ คือ โลภะเจตสิกและทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ อุปาทานขันธ์ ๕ คือ เป็นส่วนของสังขารขันธ์ ครับ

จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า อุปทานขันธ์ ๕ เป็นสภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของการยึดถือ ส่วนอุปทาน ๔ เป็นสภาพธรรมที่เป็นตัวยึดถือ ยึดมั่นด้วยกิเลสคือ โลภะ และทิฏฐิ ครับ

ดังนั้น พระอรหันต์ ยังมีขันธ์ ๕ และมีอุปาทานขันธ์ ๕ แต่เป็นที่ตั้งที่ยึดถือของโลภะ เป็นต้น หรือ เป็นอารมณ์ให้ผู้อื่นยึดถือได้ แต่พระอรหันต์ ไม่มีอุปาทาน คือ กิเลส ตามที่กล่าวมาครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 18 ม.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อุปาทาน เป็นความยึดมั่นถือมั่น เป็นเรื่องของกิเลสอย่างแท้จริง ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ก็ไม่พ้นไปจากความยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นอุปาทาน ๔ ได้แก่ กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นด้วยความเห็นผิด) สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด) อัตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล) ไม่พ้นไปจากความติดข้อง และ ความเห็นผิดเลย

การดับกิเลส ก็ดับเป็นขั้นๆ และเป็นไปได้ด้วยปัญญาที่ถึงความสมบูรณ์ พร้อมแล้วเท่านั้น พระโสดาบัน ดับความเห็นผิดได้อย่างหมดสิ้น พระอนาคามี ดับความติดข้องในกามได้ พระอรหันต์ดับความติดข้องในภพได้ตลอดจนถึงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นไม่มีการเกิดขึ้นอีก ดังนั้น กล่าวได้ว่า พระอรหันต์ ไม่มีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น แต่มีขันธ์ เกิดขึ้นเป็นไป จนกว่าจะดับขันธปรินิพพาน ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 18 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nyongcha
วันที่ 18 ม.ค. 2561

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 24 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 24 ม.ค. 2561

พระอรหันต์มีขันธ์ แต่ไม่มีอุปาทาน ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะท่านดับกิเลสหมดแล้วค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ