ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีปัญญา

 
khampan.a
วันที่  8 พ.ย. 2560
หมายเลข  29294
อ่าน  2,266

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

ของการสนทนาธรรม

ที่แพริมน้ำธาราบุรี อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

วันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐



~ ไม่รู้มานานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าใจว่าการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายความว่าอะไร หมายความว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

~ เรากราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยมานานมาก แต่ไม่รู้คุณของพระรัตนตรัยว่าสามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงของทุกอย่างที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายว่า สิ่งนั้นแม้มีก็เพียงแค่ชั่วคราว จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ความไม่รู้ ทำให้หลงยึดถือติดข้องว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงก็คือถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด อะไรๆ ก็ไม่มี

~ ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีปัญญา

~ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรม เพราะเหตุว่า มีจริงๆ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า ธมฺม (ธรรม) ในภาษาบาลี ไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีคำว่า ธมฺม (ธรรม) เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ก็คือ ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ด้วยตนเอง แต่ว่ามีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละขณะ แต่ละวัน ว่าคืออะไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

~ เกิดมาแล้ว บางคนไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็อยู่ไปวันๆ ถึงอย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร (คือ ธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง) หลงเข้าใจว่า เป็นเรา แต่พอตายแล้วไม่มีคนนี้อีกเลย คนนี้ไปหาที่ไหนก็ไม่มี สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว แล้วจะเป็นคนนี้แบบไหน แบบรู้ความจริง เป็นคนดี หรือว่า แบบไม่รู้ความจริง หลงยึดถือจนกระทั่งจิตใจเต็มไปด้วยความยินดียินร้ายเศร้าหมองสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมได้ทุกอย่าง ทำทุจริตกรรม ดีหรืออย่างนั้น ในเมื่อเป็นบุคคลนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว

~ ชาตินี้ที่เป็นมนุษย์ มีโอกาสพิเศษกว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรม เพราะสะสมมาที่จะมีโอกาสได้ยินสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นความจริงที่สุด ซึ่งถ้ามีความเข้าใจแล้ว ความเข้าใจก็จะสะสมติดตามไป

~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส แม้จะล่วงเลยมา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว แต่ก็สืบทอดมาจนถึงขณะนี้ เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสที่จะได้ฟังได้ศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง

~ เกิดมา ไม่รู้ว่าจะละจากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ ทรัพย์สมบัติที่มี ก็ตามไปไม่ได้ ร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็ตามไปไม่ได้เลย

~ เมื่อเริ่มฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย

~ การเกิด ไม่ใช่กรรม แต่เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเป็นนกหรือเลือกเป็นคน ได้ไหม ไม่ได้เลย เป็นอะไร ก็คือ มีกรรมที่ทำให้เป็นอย่างนั้น จะเกิดที่ไหน อย่างไร ประเทศไหน นรก หรือสวรรค์ก็แล้วแต่กรรม แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้เลยว่าที่เราทำดี ทำชั่ว ทุกวัน เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าจะให้ผลเกิดเมื่อไหร่ และเป็นอะไร

~ ธรรมเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ใช้คำว่า อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

~ ทุกอย่างที่เกิด มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น

~ การศึกษาธรรม ค่อยๆ เข้าใจทีละคำอย่างมั่นคง

~ ไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจธรรม จะไปบวชทำไม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม เวลาที่ไปฟังพระธรรมที่พระวิหารเชตวันหรือที่ไหนก็ตาม คนที่ฟังก็มีคฤหัสถ์ที่ไปฟังด้วย แล้วรู้อัธยาศัยของตนเองว่าสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์มีความจริงใจที่จะอุทิศชีวิตทั้งชีวิต เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) โดยประพฤติตามพระธรรมวินัยสิกขาบทต่างๆ สามารถประพฤติตามได้ จึงบวช

~ ถ้าภิกษุใดที่ทำผิด ประพฤติล่วงสิกขาบท ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว ย่อมเป็นโทษ เพราะอะไร เพราะปฏิญาณตนโดยการขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่ว่าไม่ได้มีความประพฤติเหมือนอย่างพระภิกษุ ก็ผิดแล้ว

~ การที่เรากล่าวถึงพระธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ (เป็นประโยชน์) ที่เรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษ นั้น เป็นประโยชน์ไหม (เป็นประโยชน์) ช่วยให้บุคคลนั้น (ซึ่งเป็นภิกษุ) ได้พ้นจากโทษที่ว่าถ้าเขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ต้องอาบัติแล้วไม่ปลงอาบัติ ไม่แสดงเปิดเผยให้รู้ว่าตนเองได้กระทำผิดและสำนึกที่จะไม่ทำอย่างนั้นอีกและไม่ทำจริงๆ ถ้าไม่สำนึกจริงๆ ตายแล้ว ไปไหน ไปอบายภูมเท่านั้น ถ้าเขาจะต้องไม่ไปอบายภูมิเพราะเขาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ดีไหม (ดี) เพราะฉะนั้น เราจึงได้กล่าวถึงพระธรรมวินัยทั้งหมด เพราะฉะนั้น จิตที่กล่าวอย่างนี้ มีความเป็นมิตรหวังดีหรือเปล่า

~ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย แล้วไปไหน ถ้าเป็นเพราะอกุศลกรรม (ให้ผลนำเกิด) ก็ต้องไปอบายภูมิแน่ แล้วใครอยากจะให้ใครไปเกิดในอบายภูมิบ้าง เพราะฉะนั้น คำพูดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนพ้นจากทุกข์ ไม่ว่าโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น

~ บุญ คือ สภาพจิตที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ

~ ถ้าเราไม่มีความหวังดีต่อกัน พระพุทธศาสนาก็จะไม่ดำรงอยู่ต่อไป แต่ว่าความหวังดี ก็มีหนทางเดียว คือ เราต้องเข้าใจธรรม ถ้าเราไม่มีความเข้าใจธรรม เราจะมีความหวังดีได้อย่างไรว่าพระภิกษุท่านผิดตรงไหน อย่างไร แต่ถ้าเรามีความเข้าใจธรรม เราก็รู้ว่าท่านทำอะไรที่ไม่ถูก

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมและไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ภิกษุ

~ ภิกษุ คือ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสด้วยการเข้าใจพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะละคลายกิเลสได้ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย แล้วเพศบรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลส ใช่ไหม ขัดเกลายิ่งกว่าคฤหัสถ์ อย่างมาก

~ กิเลสทั้งหมดมาจากความไม่รู้ จะค่อยๆ ละคลายกิเลสทั้งหลายได้ก็ด้วยความรู้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะรู้เลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนเพื่อละกิเลส สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ แม้แต่บวช บวชทำไม ถ้าไม่รู้ว่าพระธรรมวินัยเพื่อขัดเกลากิเลส แล้วบวช คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นโทษกับตัวเองอีกด้วย เพราะเหตุว่าบวชทำไม บวชคืออะไร บวชแล้วทำอะไร แต่บวช แสดงว่าบวชด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็เพราะด้วยความไม่รู้จึงทำให้ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้

~ พระภิกษุ บอกว่าสละชีวิตคฤหัสถ์ สละเงินทอง แล้วไปรับเงินทอง แสดงว่า สละชีวิตความเป็นคฤหัสถ์แล้วไปเป็นเหมือนอย่างคฤหัสถ์ สมควรไหม ย่อมไม่เป็นผู้ที่ตรง ใคร รับเงินทอง? คฤหัสถ์รับเงินทอง แต่ถ้าภิกษุใด รับเงินทอง ย่อมไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ พระพุทธศาสนา บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทุกคำของพระองค์ เป็นไปเพื่อการขัดเกลาละคลายกิเลส และกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คำสอนแต่ละคำ ยากยิ่ง มีค่าอย่างยิ่ง แล้ว (ถ้า) ช่วยกันทำลายให้หมดไป ก็เท่ากับว่า เราไม่ได้ทำสิ่งที่สมควรที่จะเป็นชาวพุทธเลย เพราะเหตุว่า ไม่เข้าใจธรรมและก็ยังทำลายพระธรรมวินัยด้วย.


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง...

และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 8 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 8 พ.ย. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
s_sophon
วันที่ 8 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 9 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nakul63
วันที่ 9 พ.ย. 2560

ธรรมแต่ละหนึ่งปรากฏแล้วตั้งอยู่ดับไปจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 11 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 12 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Dechachot
วันที่ 18 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Samnieng fongnoi
วันที่ 26 พ.ย. 2560

สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ