เปรต เป็นโอปปาติกะ หรือไม่

 
วิริยะ
วันที่  26 พ.ค. 2560
หมายเลข  28874
อ่าน  1,580

เรียนถาม

เปรต เป็นโอปปาติกะ หรือไม่คะ และจำเรื่องราวในอดีตได้เหมือนเทวดาหรือไม่คะ

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 พ.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกล่าวถึงการกำเนิดของสัตว์ครับ

การกำเนิดของสัตว์ มี 4 ประเภทดังนี้

1. อัณฑชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่

2. ชลาพุชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์

3. สังเสทชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล

4. โอปปาติกะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที โดยฉับพลัน

อัณฑชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในไข่ เรียกว่าอัณฑชะ เช่น ไก่ เป็ด เป็นต้น

ชลาพุชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในครรภ์ เรียกว่า ชลาพุชะ เช่น มนุษย์ เป็นต้น

สังเสทชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล หมายถึงเกิดในสิ่งสกปรก เช่น เกิดในของบูดเน่าหรือในน้ำสกปรก ก็เกิดเป็นแมลงที่เป็นตัวอ่อน เป็นต้น

โอปปาติกะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น เป็นตัวทันที โดยฉับพลัน

นี่คือกำเนิดเหล่าสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดที่เมื่อเกิดแล้วต้องไม่พ้นจากลักษณะการเกิด 4 อย่างตามที่กล่าวมาครับ

โอปปาติกะ เป็นการกำเนิดของเหล่าสัตว์บางประเภทคือเมื่อสัตว์ได้ตายลง จุติจิตเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีคือเป็นตัวผุดขึ้นทันที สมบูรณ์ทันที โตดั่งกับคนอายุ 16 ปี เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์จะต้องอยู่ในครรภ์ก่อนค่อยเป็นจุดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น นี่คือกำเนิดในครรภ์ แต่ถ้าเป็นหมู่สัตว์ีที่เป็นโอปปาติกะ เมื่อสัตว์นั้นตายก็โตเป็นตัวขึ้นทันที ไม่ต้องรอให้โต ดังนั้นจึงเป็นการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งสัตว์ที่เกิดเป็นโอปปาติกะก็จะเป็น เทวดาทั้งหมด คือเมื่อสัตว์ใดจะไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็จะเป็นตัวโตผุดขึ้นทันที โดยฉับพลัน ไม่ต้องรอค่อยๆ โตหรืออยู่ในครรภ์ ในไข่แล้วค่อยๆ โตครับ

โอปปาติกะจึงเป็นเหล่าสัตว์ที่เป็นพวกเทวดา เปรตและสัตว์นรกด้วยครับ คือเมื่อบุคคคลใดจะต้องไปนรกเมื่อตาย ดังเช่น พระเทวทัตเมื่อตายไปก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก เกิดเป็นตัวใหญ่ขึ้นมาทันทีโดยฉับพลันแล้วก็ถูกทรมานในนรกครับ ส่วนมนูษย์โดยทั่วไปแล้วก็จะเกิดในครรภ์ มีบ้างที่เป็นโอปปาติกะคือเกิดมาแล้วโตทันที เช่นมนุษย์ในยุคแรก ตายจากความเป็นพรหมแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์แต่โตเป็นตัวใหญ่ทันทีเหมือนบุคคลอายุ 16 ไม่ต้องอยู่ในครรภ์ ในไข่แล้วค่อยๆ โตครับ

โอปปาติกะจึงหมายถึง เหล่าสัตว์ที่เกิดโดยลักษณะโตขึ้นเป็นตัวทันที สมบูรณ์ทันที ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งก็มีพวกเทวดาส่วนใหญ่ เปรต สัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉานบางประเภทที่เกิดขึ้นเป็นตัวทันที ไม่ต้องเกิดในครรภ์และในไข่ครับ

ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์หรือเปรตหรือนรก เป็นภพภูมิที่เกิดขึ้นเป็นตัวทันที เหมือนกับคนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้น ฉะนั้น คนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นย่อมจำสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปในโลกนี้ฉันใด ผู้ที่เกิดในภพภูมิอื่นที่ได้กำเนิดโอปปาติกะ ย่อมจำได้ว่าชาติก่อนตนเคยกระทำกรรมอะไรไว้ จึงมาเสวยทุกข์หรือเสวยสุขตามกรรมที่ตนกระทำไว้ เพราะการได้กำเนิดใหม่ในภพใหม่ สืบเนื่องจากนามรูปในชาตินี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละคนแล้วก็ตาม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 354

ที่ชื่อว่า โอปปาติกะ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนมาเกิดขึ้นโดยฉับพลัน. ในข้อนั้น

นี้เป็นความแตกต่างกันระหว่าง สัตว์เกิดในเหงื่อไคล กับสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นในจำพวก

เทวดาและมนุษย์. สัตว์จำพวกสังเสทชะ เกิดเป็นตัวอ่อนเล็กๆ สัตว์จำพวกโอปปาติกะ

เกิดเป็นตัวเท่ากับคนอายุ ๑๖ ปี.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 355

เทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไปตั้งแต่ ชั้นจาตุมมหาราชิกา จัดเป็นจำพวกโอปปาติกะทั้งนั้น.

สัตว์นรกก็เช่นกัน. ในจำพวกเปรตก็หากำเนิดได้ครบทั้ง ๔.

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 47

ดูก่อนสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก

และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่าโอปปาติกะกำเนิด.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 27 พ.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดในภพต่างๆ เป็นสัตว์โลกประเภทต่างๆ รวมถึงโอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที) ด้วย เปรต ก็เป็นโอปาติกะ ด้วย จำเหตุการณ์ในอดีตได้ การเกิดเป็นผลมาจากการที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ในเรื่องเหตุแห่งการเกิด นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีอวิชชา ยังมีตัณหา ก็ยังต้องเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็มีทุกข์เรื่อยไป จนกระทั่งตาย เพราะชีวิตก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ความสุขนั้นก็ไม่เที่ยง แม้แต่ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์คือรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่เที่ยงทั้งสิ้น ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาให้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง คือ เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้สัตว์โลกถึงการดับทุกข์อย่างแท้จริง การดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น ต้องดับกิเลสทั้งปวงและดับการเกิดด้วย เพราะเหตุว่าเมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องประสบกับทุกข์ประการต่างๆ ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวงแต่การจะไปถึงตรงนั้นได้ ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ต้องอบรมเจริญเป็นระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ.

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วิริยะ
วันที่ 29 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kullawat
วันที่ 5 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ