ปัจจุบันยังมีพระที่รับเงินทองอยู่จำนวนมาก

 
ฉีฟ่งจื้อ
วันที่  18 พ.ค. 2560
หมายเลข  28857
อ่าน  947

เรียน ท่านวิทยากร หลังจากที่ทางมูลนิธิได้มีการรณรงค์เกี่ยวกับภิกษุที่รับเงินทองทางสถานีวิทยุและทางโทรทัศน์และการติดสติกเกอร์หลังกระจกรถยนต์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เท่าที่ผมสังเกตในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่มีการใส่บาตรก็ยังมีญาติโยมนำเงินใส่บาตรให้ภิกษุและภิกษุก็ยินดีรับเงินด้วยความเต็มใจโดยไม่เขินอายและทำเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นั่นแสดงว่ายังมีผู้ที่ยังไม่เข้าใจพระวินัยและไม่ได้ฟังหรือดูสื่อที่ทางมูลนิธิเผยแผ่ไป และภิกษุคงไม่มีเวลาดูเหมือนกันเพราะท่านก็มีกิจนิมนต์เยอะ เมื่อหลายปีที่แล้วก็มีวัดป่าแถบภาคเหนือมีการรณรงค์เหมือนกันโดยขึ้นคัทเอ๊าท์ทั้งที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดพักหนึ่งแล้วก็เงียบไป ก็ขอเรียนถามว่าการรณรงค์ในครั้งนี้จะได้ผลเป็นรูปธรรมแค่ไหน เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยและผู้ที่ได้ฟังสื่อของมูลนิธิส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับรู้กิจกรรมของมูลนิธิและผู้ที่ฟังธรรม ไม่ได้ครอบคลุมคนส่วนมากของประเทศจึงยากต่อการรู้ข้อมูลข่าวสาร ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 พ.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่หยุดที่จะกล่าวคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้อื่น เพราะความไม่รู้มีมาก ดังนั้น ความหวังดี ความปรารถนาดีจริงๆ คือ มุ่งประโยชน์แก่ผู้อื่น ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แน่ สำหรับผู้เห็นประโยชน์ มีความจริงใจที่รับฟังในคำจริง พิจารณาไตร่ตรอง ตามความเป็นจริง ว่า พระภิกษุ คือ ผู้เข้าใจพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส ในเพศที่สูงยิ่ง คือ เพศบรรพชิต สละทรัพย์สินเงินทองก่อนแล้ว จึงบวช เมื่อบวชแล้ว จะรับเงินรับทอง มีเงินมีทองได้อย่างไร คฤหัสถ์ที่เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะไม่ทำในสิ่งที่ผิด คือ ไม่ถวายเงินให้พระภิกษุ เพราะการถวายเงินแก่พระภิกษุ เท่ากับผลักพระภิกษุลงอบายภูมิ เพราะทำให้ท่านต้องอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) มีโทษ ถ้าพระภิกษุยังไม่แก้ไขด้วยการแสดงอาบัติอย่างถูกต้อง ด้วยความจริงใจจริงๆ แล้วมรณภาพ (ตาย) ไป ในชาติถัดไป เกิดในอบายภูมิเท่านั้น ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 พ.ค. 2560

ขออนุญาตสนทนาตามประเด็นของท่าน ฉีฟ่งจื้อ ที่ยกมาว่า

"การรณรงค์ในครั้งนี้จะได้ผลเป็นรูปธรรมแค่ไหน เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยและผู้ที่ได้ฟังสื่อของมูลนิธิส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับรู้กิจกรรมของมูลนิธิและผู้ที่ฟังธรรม ไม่ได้ครอบคลุมคนส่วนมากของประเทศจึงยากต่อการรู้ข้อมูลข่าวสาร"

ขออนุญาตกล่าวย้อนไปถึงวันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ เมื่อทรงรู้แจ้งในธรรมะแล้ว ทรงไม่น้อมพระทัยที่จะสั่งสอนธรรมะแก่สัตว์โลกเนื่องจากพระธรรมยากและละเอียดลึกซึ้งที่จะประจักษ์แจ้ง แต่ก็ยังมีผู้ที่ในตามีธุลีน้อยคือมีปัญญาเพียงพอที่จะฟังคำสอนและประจักษ์แจ้งในสัจจธรรมที่ทรงแสดงได้ พระองค์จึงใช้เวลาตลอด ๔๕ พรรษา แสดงพระธรรมอันมีค่าหาประมาณมิได้ให้แก่สัตว์ทัั้งหลาย มีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะจำนวนไม่น้อย แม้ขณะนั้นจะมีลัทธิของอาจารย์ทั้งหก และลัทธิอื่นๆ ที่มีผู้คนนับถือเป็นจำนวนมหาศาลกว่ามากก็ตาม พระพุทธองค์มิได้ทรงคำนึงถึงจำนวนคนเลย เนื่องจากทรงทราบเรื่องการสะสมของแต่ละคนดี

ต่อมาเมื่อทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เหล่าภิกษุสงฆ์จึงได้รวบรวมพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงซึ่งเรียกว่าการสังคายนาซึ่งเป็นที่มาของพระไตรปิฎก และเหล่าพุทธบริษัทก็พยายามรักษาพระธรรมวินัยให้มั่นคงไม่ถูกแก้ไขบิดเบือน เนื่องจากแต่ละสมัยจะมีเหล่าภิกษุที่เห็นผิดแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยไปตามความเห็นของตน ซึ่งก็ได้แยกออกไปเป็นนิกายต่างๆ มากมาย พระไตรปิฎกได้มีการสังคายนาหลายครั้ง แต่ละครั้งเป็นไปเพื่อทำให้เกิดความมั่นคงในพระธรรมวินัย ขจัดผู้ที่เห็นผิดออกไป เพื่อให้พระธรรมวินัยอันเป็นพระสัทธรรมแท้จริงตกทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง

ปัจจุบันผ่านกึ่งพุทธกาลมาแล้ว จึงไม่แปลกที่ปรากฎผู้เห็นผิดมากมาย ทั้งที่เป็นภิกษุและคฤหัสถ์ ล้วนไม่ศึกษาและไม่เคารพพระธรรมวินัย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับพุทธบริษัทที่ยังมีความเห็นถูกต้อง คงต้องช่วยกันดำรงพระธรรมวินัยไว้ โดยทำหน้าที่อธิบาย ทำความเข้าใจ ในพระธรรมวินัยที่ถูกต้องเพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ได้มีโอกาสฟังและทำความเข้าใจให้ถูกต้องได้ แม้จะเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องได้ แต่เรื่องจำนวนมิใช่เป็นจุดประสงค์ที่ต้องการ

สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือได้ตอบแทนคุณพระธรรมวินัยซึ่งเปรียบเสมือนพระศาสดาแทนพระพุทธองค์ด้วยการรักษาสิ่งที่ถูกต้องอันประเสริฐสูงสุดให้ดำรงต่อไป และตอบแทนคุณพระอริยสงฆ์และบรรพบุรุษที่เป็นพุทธบริษัทที่ได้รักษาพระธรรมวินัยให้ตกทอดมายังชนรุ่นนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนในปัจจุบันที่ต้องรักษาพระธรรมวินัยที่ถูกต้องให้ตกทอดไปยังชนรุ่นต่อๆ ไป ทำให้มีโอกาสได้เห็นถูกและสามารถเข้าใจความจริงจนประจักษ์แจ้งในสัจจธรรมได้ตามกาลอันสมควร ไม่ปล่อยให้พระธรรมวินัยถูกกระทำย่ำยีไปเฉยๆ โดยไม่ทำหน้าที่ใดที่จะปกป้องบ้างเลย

ดังนั้น การรณรงค์ให้ความเข้าใจในรูปแบบต่างๆ เป็นไปตามความสามารถที่พอจะกระทำได้ตามเหตุและปัจจัย มิใช่เรื่องที่ต้องทำให้เป็นรูปธรรมให้เกิดผลเหมือนกับการทำโครงการทางโลกที่ตั้งเป้าตั้งความหวังให้สำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ฝืนความเป็นอนัตตาเป็นอย่างยิ่ง

แต่การรณรงค์ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งแก่ผู้รณรงค์เองและผู้ที่จะได้รับรู้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งผู้รับทราบข้อมูลจะเข้าใจหรือใช้เหตุผลในการพิจารณาหรือไม่ก็เป็นไปตามการสะสมของผู้นั้นๆ ไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย

ขออนุโมทนากับท่าน ฉีฟ่งจื้อ และอาจารย์คำปั่นที่ให้ความรู้ในประโยชน์และโทษของการประพฤติผิดพระธรรมวินัยข้างต้นด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 21 พ.ค. 2560

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 21 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 22 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 23 พ.ค. 2560

แต่ละคนแต่ละหนึ่งจริงๆ ตามการสะสม อย่างน้อยคนที่ศึกษาพระวินัยเมื่อรู้แล้วก็สามารถบอกต่อๆ กัน ไม่ทำให้ท่านต้องอาบัติพระวินัยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
p.methanawingmai
วันที่ 25 พ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 26 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
วิริยะ
วันที่ 26 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 27 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
papon
วันที่ 6 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
hc215
วันที่ 9 มิ.ย. 2560

จริงค่ะ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตยังขาดการศึกษาพระธรรมวินัยอยู่มาก ก็เลยปฏิบัติตามๆ กันมา พอพูดถึงทำบุญปุ๊บ ก็ต้องเอาเงินใส่ซองปั๊บ

สำหรับตัวเอง ปกติจะชอบนิมนต์พระมาฉันภัตตาหารที่บ้านประจำ ตอนนี้งดซองแล้วค่ะ มีแต่ถวายอาหารและเครื่องไทยธรรมที่เลือกสรรแล้วว่าเหมาะสมสำหรับเพศบรรพชิต คุยกับสามีว่า เราต้องมีความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง โชคดีที่สามีก็เข้าใจเช่นกัน

ขออนุโมทนาความรู้ที่ได้จากอาจารย์ เพื่อนพี่น้องทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ