ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านน้ำผุด เขาใหญ่ ๒๗-๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  16 ม.ค. 2560
หมายเลข  28535
อ่าน  2,553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณนภา จันทรางศุและครอบครัว เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรมที่บ้านน้ำผุด บ้านพักตากอากาศของครอบครัว ที่ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นจุดประสงค์ของท่านเจ้าภาพต้องการให้ท่านอาจารย์ได้พักผ่อนแบบสบายๆ ตามอัธยาศัย โดยไม่มีพิธีรีตอง หรือมีกำหนดการที่เป็นทางการดังที่ท่านเป็นอยู่ประจำ

หลายครั้ง แม้ในครั้งนี้ ที่ท่านอาจารย์ปรารภถึง "ผู้จัดการ" ซึ่งโดยนัยคือ "เจ้ากี้เจ้าการ" หมายความว่า บุคคลที่สะสมอุปนิสัยในความ "เจ้ากี้เจ้าการ" ชอบที่จะ "เป็นผู้จัดการโลก" (ของผู้อื่น) ทั้งๆ ที่มิได้ถูกร้องขอ เรื่องของผู้จัดการเช่นว่านี้ มีกันมากน้อย ตามการสะสม แต่ละคนย่อมเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติขัดเกลา จากความเข้าใจพระธรรมและคำเตือนด้วยเมตตาของท่านอาจารย์อยู่บ่อยๆ ซึ่งสำหรับข้าพเจ้าเอง ก็น้อมพิจารณามาสู่ความขัดเกลาในความเป็นผู้เจ้ากี้เจ้าการของตนเองด้วยเช่นกัน หากมิได้พบกับพระธรรมคำสอนที่มีค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นำมาขยายความโดยความเมตตาของท่านอาจารย์ให้พอได้เข้าใจบ้าง ข้าพเจ้าคงสำเร็จความเป็นผู้จัดการใหญ่ (ที่น่าสงสาร) ไปนานแล้ว เพราะบุญแท้ๆ ที่พระธรรมและคำเตือนของท่านอาจารย์ ทำให้ผู้จัดการที่เคยใหญ่โต ค่อยๆ เล็กลงๆ ตามลำดับ ชาตินี้อาจลดลงจนเหลือเพียงตำแหน่งหัวหน้าแผนก แต่ชาติต่อๆ ไปในภายภาคหน้า อาจมิใช่เป็นเพียงหัวหน้าแผนกหรือผู้จัดการใหญ่ แต่อาจกลายเป็นประธานบริษัทเลยก็เป็นได้ หากไม่ได้พบกับพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องอีก อาจทำให้เป็นคนน่ารังเกียจมากกว่านี้ ทั้งมีความเห็นผิดที่มีกำลังมากจนไม่อาจกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้องได้ ท่านจึงเตือนว่า ตราบใดที่ยังไม่บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคล ย่อมเป็นผู้ที่มีคติความเป็นไปที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น อาจกลายเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิได้ น่าอันตรายยิ่งนัก

อนึ่ง เป็นที่น่าคิดพิจารณาถึงความติดข้องและความเป็นอนัตตาว่า ทั้งๆ ที่เราเรียน เราศึกษามามาก แต่ความเข้าใจที่มี ก็พ่ายแพ้แก่กำลังของความติดข้องต้องการอยู่ร่ำไป นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ถึงกำลังของความเข้าใจ ที่บุคคลจะพึงสำเหนียกโดยบ่อย ถึงการเป็นผู้ไม่เพียงสะสมความเข้าใจธรรม แต่เป็นผู้มีการน้อมประพฤติ ปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมที่มีความเข้าใจนั้นด้วย จึงจะเป็นผู้ได้ชื่อว่า ศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม ขัดเกลากิเลส โดยแท้ หาไม่แล้ว จะกลายเป็นผู้เปล่าจากการศึกษาธรรม เป็นผู้ที่ไม่จริงใจในการศึกษา หรือแม้เป็นผู้ที่หาประโยชน์จากการศึกษาธรรม พ่ายแพ้แก่ความติดข้องต้องการที่มีกำลังของตน ซึ่งหากมีกำลังมาก ย่อมกลายเป็นผู้ที่ไม่จริงใจในการศึกษาธรรม ลืมจุดประสงค์และหัวใจของการศึกษาว่า เพื่อความเข้าใจและน้อมประพฤติปฏิบัติละคลายกิเลสและความติดข้อง ไม่ใช่ยิ่งศึกษายิ่งติดข้อง ในลาภ ในยศ ในชื่อเสียง สักการะ ซึ่งหากเป็นเช่นว่านั้น ก็ย่อมกลายเป็นผู้ที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ที่นอกจากจะไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ยังพลอยเป็นจุดด่างของหมู่คณะอีกด้วย

สำหรับข้าพเจ้า การได้มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการอธิบายขยายความด้วยความตรง ด้วยเมตตาของท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นที่คิดพิจารณาบ่อยครั้งว่า เป็นบุญอย่างที่สุด และไม่น่าเชื่อว่า ยังเป็นผู้มีโอกาสได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ โดยการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้ซึ่งเมตตาบรรยายธรรมมาแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ จนบัดนี้ เป็นเวลากว่าหกสิบปีแล้ว ท่านยังคงมีสุขภาพแข็งแรง สดชื่น (กว่าพวกเราๆ เสียอีก) บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้ารำพึงกับตัวเองขณะที่ฟังท่านบรรยายธรรมว่า เพราะบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อนโดยแท้ ที่ยังได้ฟังเสียงของท่าน โดยมีท่านนั่งอยู่เฉพาะหน้า เป็นความจริง จริงๆ ไม่ใช่ความฝันแต่ประการใดเลยทั้งสิ้น สาธุ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณแอ๊วและครอบครัว ที่ให้โอกาสข้าพเจ้าและครอบครัวได้ร่วมเจริญกุศลด้วยในครั้งนี้ เฉพาะอย่างยิ่งคุณประกิต สามีที่แสนประเสริฐของคุณแอ๊ว ที่ไม่เพียงเป็นผู้สนับสนุนการเจริญกุศลทุกประการของคุณแอ๊ว ด้วยจริงใจยิ่ง แต่คุณประกิต ยังเป็นผู้ที่ค่อยๆ น้อมเข้ามาสู่คลองของพระธรรม ที่คุณแอ๊วดำเนินอยู่ อย่างน่าปีติและอนุโมทนาที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกปีติเสมอๆ ที่ได้เห็นบุคคลได้ก้าวมาสู่หนทางอันยอดเยี่ยมและมีค่าที่สุดในสังสารวัฏนี้ เพราะเหตุว่า ทรัพย์แลรัตนะใดในสากลจักรวาล ไม่อาจเทียบได้เลยกับความเข้าใจพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ความสุขที่ได้จากความเข้าใจธรรม เป็นความสุขที่แท้จริง อย่างที่ผู้ที่ไม่มีความเข้าใจธรรม จะไม่มีวันคิดและรู้สึกถึงได้เลย แน่นอน

การสนทนาธรรมในครั้งนี้ เป็นการกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนและสนทนาธรรมเป็นการส่วนตัวที่บ้านน้ำผุด ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศของลูกชายของคุณประกิตซึ่งขณะนี้ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีคุณพ่อและคุณแม่ของลูกสะใภ้ที่มีความน่ารักและเป็นกันเอง ให้การต้อนรับ และดูแล อำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง กราบขอบพระคุณในความกรุณาของท่านทั้งสอง มา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ การสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ เป็นการสนทนาเป็นการส่วนตัวกับกลุ่มสนทนาธรรมของคุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ ซึ่งคุณแอ๊วเธอเป็นหนึ่งในสมาชิก

อนึ่ง เมื่อพูดถึงความเป็นส่วนตัว ข้าพเจ้าไม่เคยลืมคำที่ท่านอาจารย์กล่าวเตือน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของทุกคนว่า การสนทนาธรรมที่ท่านเจ้าภาพกราบเรียนท่านอาจารย์ไปสนทนานั้น มีกรณีที่ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า หากท่านเจ้าภาพจัดการสนทนาธรรม โดยแจ้งประกาศเชิญชวนเป็นสาธารณะ ทุกท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมฟังได้ตามคำเชิญ แต่หากท่านเจ้าภาพมีจุดประสงค์เชิญท่านอาจารย์เป็นการส่วนตัว และมิได้บอกกล่าวเชิญชวนใคร ทุกคนควรเคารพในความเป็นส่วนตัวของท่านเจ้าภาพ หากเขามิได้เชิญ ย่อมเป็นผู้ที่รู้การควรว่า ไม่ไปขอร้องหรือไปเสนอแนะให้ท่านเจ้าภาพกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามความเป็นผู้จัดการของตน "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม" ซึ่งมีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นการกระทำดังกล่าว และทั้งทราบด้วยถึงคำเตือนหลายครั้งของท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเคยเตือนถึงขนาดที่ว่า มีบางท่านอยากไปร่วมสนทนาด้วยทั้งๆ ที่เจ้าภาพไม่ได้เชิญ ด้วยท่านเจ้าภาพมีที่อยู่ที่พักจำกัด ก็ยังมีบางท่านขอไปนอนที่พื้น ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวตำหนิว่า เป็นการทำให้ท่านเจ้าภาพ มีความลำบากใจมาก เพราะมิใช่แต่เพียงที่พักเท่านั้น แต่เป็นทั้งเรื่องรถรับส่ง เรื่องอาหารการกิน ฯลฯ ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ศึกษาและมีความเข้าใจ ควรที่จะมีความละเอียดในเรื่องดังกล่าวนี้ และย่อมจะไม่เป็นผู้ที่แม้แต่จะคิดเลย ทั้งยังควรที่จะได้สำเหนียกว่า การฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายนั้น เป็นประโยชน์แน่ แต่ไม่ใช่ต้องเดินทางไปในทุกที่ ทุกครั้ง ที่ท่านเดินทางไป เพราะเหตุว่า ธรรมที่ท่านบรรยายนั้นมีมาก "เกินพอ" แก่การที่ทุกบุคคลจะมีความเข้าใจได้ในชาตินี้ ไม่ใช่ต้องติดตามท่านไปฟังด้วยความติดข้องต้องการในทุกๆ ที่เลย ที่ปรารภทุกท่านเช่นนี้ก็ด้วยปรารถนาดี เพราะเหตุว่า ระยะนี้ เราดูเหมือนจะลืมหลักการที่ถูกต้องในการศึกษาและความควรประการต่างๆ ที่กล่าวมา ละเลยคำที่ท่านอาจารย์กล่าวเตือน ซึ่งควรอย่างยิ่งที่จะน้อมใส่ไว้ในหัวใจ ด้วยความเคารพและซาบซึ้งยิ่ง ทั้งนี้ ก็เพื่อการประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นประการสำคัญที่สุด

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ได้อยู่ร่วมการสนทนาธรรมและกิจกรรมต่างๆ ในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความพรั่งพร้อม บริบูรณ์ ในกุศลทุกประการ ปราศจากปัญหาแลอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความรื่นรมย์ โสมนัส โอ่อ่า อลังการ ทั้งรสพระธรรมและรสอาหารอันเลิศ ที่ท่านเจ้าภาพบรรจงจัดให้ทุกท่านได้รับ ในท้ายที่สุด ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสหายธรรมทุกท่าน ที่ร่วมกันเจริญกุศลในครั้งนี้ด้วยดี รสของพระธรรมและไมตรีทุกประการที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้รับ ทำให้รู้สึกถึงในความขอบพระคุณและอนุโมทนาอยู่เสมอๆ ครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน มาบันทึกและนำเสนอทุกท่านเพื่อพิจารณา และรับประโยชน์จากพระธรรมเช่นเคย นะครับ การได้มีโอกาสอ่านช้าๆ ทีละคำ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้าเสมอๆ ไม่เพียงในขณะที่ถอดความลงกระทู้ แต่เป็นในทุกขณะที่ต้องอ่านซ้ำๆ เพื่อตรวจสอบคำผิด เข้าใจว่าทุกๆ ท่านก็เช่นกันนะครับ

อาเตียง คำถามยังไม่มีนะคะ แต่ว่าได้ฟัง ได้คุย สนทนากันถึงธรรมะ ก็ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ๆ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ ประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ตรง "เข้าใจ" ไม่ต้องไปนั่งคิด ว่าเรามาก เราน้อย นี่เป็นปัญญาหนาหรือเป็นปัญญาลึก ไม่ต้องคิดอย่างนั้นเลย "เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง"
อาเตียง และจะช้าจะเร็ว ในที่สุดก็เข้าใจได้ ทุกวันนี้ก็ต้องกราบท่านอาจารย์ เพราะได้มีโอกาสฟังธรรมได้หลายช่องทาง อย่างที่ท่านอาจารย์พูด ไม่ต้องไปหา (ธรรม) ที่ไหน มีอยู่เดี๋ยวนี้เองทุกขณะ
ท่านอาจารย์ แค่นี้ค่ะ จะฟังอย่างไรๆ ก็คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!

อาเตียง เขาเกิดเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว อันใหม่ ยังไม่มา ขณะนี้ ...
ท่านอาจารย์ นั่นเรา "คิด" ค่ะ ฟังเพื่อที่จะได้ไถ่ถอนที่เคยไปทรงจำว่าเที่ยง มั่นคง ยั่งยืน เป็นเรา เป็นเขา ความจริงก็คือ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วขณะ สั้นมาก แล้วก็หมดไป จนกว่าเราจะมั่นคง เราไปสุข ไปทุกข์ กับสิ่งที่มีเพียงชั่วคราว แม้ว่าจะได้ฟังอย่างนี้ และพิจารณาแล้วก็เข้าใจว่านี้จริงที่สุด "เห็น" แค่มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วหมด ทั้ง "เห็น" ทั้ง "สิ่งที่ปรากฏ" แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์ ก็เป็นแค่ "ความเข้าใจ เล็กๆ น้อยๆ " ที่ค่อยๆ สะสมไป จนกว่า ความติดข้องของเราจะเบาบาง ไม่ใช่เบาบางที่อื่น แต่เบาบางที่ใจนี้แหละ ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง

อาเตียง เป็นจริงในขณะที่สติระลึกรู้
ท่านอาจารย์ เรายังไม่พูดถึงสติระลึกอย่างไรทั้งสิ้น เอา "เข้าใจ" คือ คนที่เขาสอนเรา บางทีเขาสอนให้เราข้าม กระโดดไปเลย จากการฟังเดี๋ยวนี้ ไปสติระลึกรู้ ทำให้เราไปสงสัยว่า สติระลึกรู้อะไร? แต่ความเข้าใจของเราไม่มี ไม่มีการที่จะชำระจิต ซึ่งมากไปด้วยความติดข้อง และ ความไม่รู้ เห็นอะไรก็ยึดถือว่าเที่ยงหมดเลย ถ้าฟังจริงๆ ในขั้นการฟังก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า มีสิ่งซึ่งปรากฏและหมดแล้ว

เพราะฉะนั้น แม้ฟัง ถ้าเข้าใจมั่นคง ก็ค่อยๆ คลาย แล้วก็นำมาสู่การที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะถึงแม้ว่าจะพูดถึงสิ่งมี ก็ไม่ได้รู้ตรงสิ่งที่มี มันยังมืดอยู่ ใช่ไหม? เพราะจิตอันนี้ มากไปด้วยกิเลส แล้วจะไปเข้าใจสิ่งที่เป็นความจริง ตรงตามที่ได้ฟังได้อย่างไร จนกว่าจะขัดเกลาจิตนี้ก่อน เต็มไปด้วยความไม่รู้แค่ไหน? ไม่ต้องไปคิดเรื่องสติ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอะไรเลย แค่ "ฟัง" เรามั่นคงไหม? ว่าเราทุกคน ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะ มีชั่วขณะที่เกิดแล้วดับ และไม่มีอีกเลย แล้วไม่กลับมาอีก

เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ มากแค่ไหน? ขณะที่ไม่ได้ฟังธรรมะ มีแต่เรื่องเรา เรื่องเขา ใช่ไหม? แล้วก็สุข ทุกข์ ต่างๆ เรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่ถ้ารู้ว่าความจริง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเราไหม? ไม่มีเห็นเกิดขึ้น จะมีเราเห็นไหม? ถ้าเดี๋ยวนี้ "ได้ยิน" ไม่เกิดขึ้น จะเป็นเราได้ยินไหม? เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่มีใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ หรืออยากจะให้เกิด ก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่อยากให้หมดไป ก็ไม่ได้

คือ ความจริง เป็นเรื่องจริง แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะมีผู้ที่เปิดเผยสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจขึ้น จนกว่าบุคคลนั้น สามารถจะค่อยๆ คลายความไม่รู้ ก็จะประจักษ์ชัดว่า แท้ที่จริงก็ปกติธรรมดาอย่างนี้เอง แต่ขณะนี้ เห็นแล้วก็ไม่รู้ ได้ยินแล้วก็ไม่รู้ คิดแล้วก็ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ จนกว่า ... เห็นแล้ว ค่อยๆ รู้ ... ได้ยินแล้วก็ ... ค่อยๆ ..รู้ ... สิ่งต่างๆ ก็จะปรากฏเพิ่มขึ้น โดยไม่มีเราไปทำ!!! ที่มั่นคงที่สุดก็คือ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่เปลี่ยนเลย

สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ธรรมะทั้งหลาย ทั้งหมด เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แค่ปรากฏ มีแค่ปรากฏ ถ้าเวลานี้ "แข็ง" กำลังปรากฏ "แข็ง" ปรากฏ เพราะแข็งเกิดและหมดแล้ว แต่ปัญญาไม่พอที่จะรู้ความเกิดดับของ "แข็ง" แต่เรารู้ว่า "แข็ง" เกิดแน่ๆ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีแข็ง และแข็งก็ต้องดับไป เพราะว่ามี "ได้ยิน" มี "เห็น" เห็นไม่ใช่แข็ง เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่อ เร็วมาก ค่อยๆ ฟัง ไม่ใช่สติปัฏฐาน อะไรๆ ทั้งนั้นเลย นั่นไม่เข้าใจอะไรเลย ได้แต่บอกเวลาสติเกิด เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่กำลังนี้ ที่จะค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ว่า ไม่มีเราที่จะไปทำ ให้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ปรากฏให้ชัดเจนได้ เพราะว่าลักษณะเขาเป็นอย่างนั้น แต่ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ และความต้องการ บังสนิท

เพราะฉะนั้น อะไร อะไร จะค่อยๆ เปิดความเข้าใจในขั้นการฟัง ทีละเล็ก ทีละน้อย กว่าจะเปิดของเขาออกได้ จนรู้ความจริงว่า นี่กำลังเป็นอย่างนี้!!!

เพราะฉะนั้น ก็ฟังไปเรื่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ ชื่อต่างๆ ก็เป็นชื่อต่างๆ ไป ลักษณะตัวจริงก็คือว่า เข้าใจสิ่งที่ปรากฏไหม? ถ้าเข้าใจเดี๋ยวนี้ ปัญญาหนาไหม? ปัญญาลึกไหม? ไม่ต้องไปคิดเลย ไม่ต้องไปสนใจเลย ปัญญาของเรา ไม่สามารถที่จะรู้ทุกคำในพระไตรปิฏก สักปิฎกเดียว หรือแม้แต่พระสูตร สูตรเดียว เข้าใจทุกคำไหม?

เพราะฉะนั้น ก็ฟัง เพราะ "เข้าใจ" ก็ไม่ใช่เรา ต้องมีความมั่นคงว่า ไม่มีเรา แล้วรู้ด้วยความมั่นคงว่า เพราะไม่รู้ต่างหาก จึงเป็นเรา!!! หนทางที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องเพราะ "รู้ขึ้น" และ "รู้" นั้นก็ไม่ใช่เราด้วย!! ถ้าเป็น "เรารู้" ก็จบอีกเหมือนกัน!! เพราะ ไม่รู้ก็เป็นเรา รู้ก็เป็นเรา อะไรๆ ก็เป็นเรา ฟังก็เป็นเรา ใช่ไหม? แต่ต้องฟังด้วยความเข้าใจ มั่นคง ชัดเจน ลึก ว่าไม่ใช่เรา!!!

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ จริงๆ ก็ทราบว่า ความเห็นผิดสามัญ สักกายทิฏฐิคือยึดกายนี้ว่าเป็นเรา ก็หนาเหนียวแน่น เป็นอัตโนมัติ มีคุณทิพย์ มีคุณอรวรรณ มีคุณน้อย มีท่านอาจารย์ แต่ก็ทราบว่าก็เป็นธรรมดา แต่ถ้าฟังแบบนี้ ความเห็นผิดที่ว่า ไม่มีกรรม ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม หรือว่าการบูชาผู้มีคุณไม่มี อะไรอย่างนี้ ความเห็นผิดธรรมดาสามัญกับความเห็นผิดที่มีกำลัง ต่างกันอย่างไรคะ? พวกเรานี่ก็ยังมีความเห็นผิดอยู่แน่ๆ

ท่านอาจารย์ แล้ววันนี้ทั้งวัน ใครคิดเรื่องกรรมบ้าง? กรรมไม่มีนี่ใครบ้าง วันนี้ทั้งวัน
พี่อรวรรณ อย่างตอนไปทานข้าว หนูก็จะบอก เป็นรับกุศลวิบากอะไรอย่างนี้ คิดอยู่ว่า ไปรับแต่สิ่งดีๆ วิวสวย เห็นดี แล้วก็ทานอร่อย อะไรอย่างนี้

ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะคุณหมอคะ ฟังแล้วมีโอกาสจะคิดไหม? เป็นปัจจัยให้คิดไหม? แม้แต่กำลังรับประทานอาหาร แต่ก็..ใครคิด ...
พี่อรวรรณ ก็ยังเป็นเราคิด แต่เป็นอนัตตาจริงๆ นะคะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้น ก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นปกติ!!

คุณหมอธงชัย ผมเริ่มเข้าใจในความสำคัญของขั้นฟัง เพราะเวลาเขาพูดกันเรื่อง "ความเป็นเรา" ความจริงไม่ต้องสนใจ เข้าใจในขั้นฟัง "เรา" มันก็จะน้อยไปเอง
ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ

ท่านอาจารย์ บารมี มีถึง ๑๐ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ที่กำลังฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจนี่ บารมีอะไรบ้าง? เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา แต่เป็นคุณความดี เพราะว่าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นอกุศลจิตเกิด ยิ่งมืด ยิ่งปิดบัง ไม่ให้เห็นความจริง เพราะฉะนั้น ก็อาศัยกุศล ที่จะเกิด ที่จะไม่ให้จิตเน่า เป็นเชื้อโรค เป็นโรค มากกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว ค่อยๆ ขัด ค่อยๆ เกลา เพราะปัญญารู้ว่า ถ้าไม่มีการฟัง ก็ไม่มีการเข้าใจต่อไปได้!!

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่กำลังฟัง บอกได้ว่าเป็นบารมี เพราะเหตุว่า เมื่อมีความเข้าใจ แล้วก็รู้จุดประสงค์ว่า ฟังทำไม? ฟังเพื่อค่อยๆ ละคลายกิเลส เพื่อที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ตามที่ได้ฟัง ว่า ขณะนี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปจริงๆ แต่ยังไม่ถึง ต้องอาศัยคุณความดีต่างๆ ที่จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา ความติดข้อง เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังนี่ บารมีอะไรบ้าง? บารมี มี ๑๐ เพราะฉะนั้น พอที่จะรู้ว่า กำลังฟังเดี๋ยวนี้ เป็นบารมีอะไรบ้าง?

คุณสันติ ก็มี "ปัญญา" ... เข้าใจนิดหน่อย ...
ท่านอาจารย์ ปัญญาบารมี เมื่อเข้าใจ แล้วอะไรอีก
คุณสันติ "วิริยะ" ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ วิริยะบารมี ความเพียร เขาเกิดโดยที่ไม่ใช่เราไปทำ ทั้งหมดที่ฟังคือธรรมะซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เรียนเพื่อเข้าใจว่า ธรรมะเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา แม้แต่วิริยะก็เกิดแล้ว ไม่ใช่เรา มีปัญญาบารมี วิริยะบารมี แล้วอะไรอีกคะ? คุณแอ๊วตอบว่า ขันติบารมี อดทนค่ะ เพราะรู้ว่า ฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น เห็นไหม ในขณะเดียวกันนี้ประกอบด้วยบารมี ซึ่งไม่ใช่เรา!!

ต้องรู้ว่า จุดประสงค์ทั้งหมด จะเป็นบารมีหรือไม่ใช่บารมี หรืออะไรก็ตามแต่ ก็เป็นธรรมะ ซึ่งจะไม่ติดข้องว่าเป็นเรา เพราะมีความเข้าใจว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แปลว่า เราอยู่ในโลกของความไม่รู้ในการเกิดดับ เข้าใจว่าเที่ยง ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปล่อย ไม่คลายเลย จำไว้มั่นคงเหลือเกิน คิดขึ้นมาถึงคนโน้นคนนี้ ก็นี่แหละ เป็นตัวตน สิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะรู้ว่า แท้ที่จริง ไม่มีค่ะ เป็นการเกิดดับของธาตุ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง สะสมจนกระทั่งเป็นแต่ละธาตุ ซึ่งวิจิตรมาก

บารมีอะไรอีก ... ศีลบารมี ... และอะไรอีก อธิษฐานบารมี สัจจบารมี เห็นไหม? ไม่มีเราเลย!! ถ้าบารมีเหล่านี้ไม่มี ไม่เกิด ความเป็นเรา ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะค่อยๆ ละคลายไปได้อย่างไร?

คุณสันติ ยากเหมือนกันนะครับ
ท่านอาจารย์ ยากที่สุด!! เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะแต่ละครั้ง ถ้ารู้คุณ เหมือนเรากำลังเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ จากพระโอษฐ์ทั้งนั้น!! เราก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า "ทุกคำ" เป็นสิ่งที่มีจริง ยาก ลึกซึ้ง แต่มีโอกาสได้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์แล้ว เราก็ไม่ทอดทิ้ง ไม่ละเลย เพราะว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏ ก็คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง!! เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเกิดเป็นอะไรบ้างที่แล้วมา และต่อไป จะเป็นอะไร อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถ้ามีปัญญา สามารถค่อยๆ รู้ขึ้น ก็สามารถที่จะนำไปสู่การออกจากสังสารวัฏ ยังไม่อยากออกก็อยู่ไป

แต่ถ้าคิดว่า เราไม่อยากออกแล้วอยู่ไป จะอยู่ไปแบบไหน? แบบงู แบบนก แบบเปรต แบบอสุรกาย หรือว่า เรามีโอกาสจะอยู่อย่างเป็นคน ก็แล้วแต่บุญกรรมอีก เราเห็นคนในโลกนี้ต่างกันหลากหลาย ใช่ไหม? เกิดมาก็ต่างกันแล้ว เกิดมาแล้วเห็นก็ต่างกัน ได้ยินก็ต่างกัน ชีวิตแต่ละวันก็เพิ่ม เห็นความหลากหลายของแต่ละคน แต่ละวัน มากขึ้น เดี๋ยวคนนั้นเจ็บ เดี๋ยวคนนี้มั่งมี เดี๋ยวคนนั้นเสื่อมลาภ เดี๋ยวคนนี้เสื่อมยศ แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เลือกก็ไม่ได้ แล้วแต่จะเป็นอย่างไร

อย่างชีวิตของพระโพธิสัตว์ ก็แสดงชัดเจน กว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นคนที่ ขนาดที่เข็ญใจที่สุด ใช่ไหม? นอนบ้านหนัง เห็นไหม เลือกก็ไม่ได้ แต่ความดีกับปัญญา ใครก็เอาไปไม่ได้ สามารถที่จะติดตาม และสามารถที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นประโยชน์

ไม่ว่าเราจะมาที่นี่ ก็เพราะเราเห็นประโยชน์ หรือที่ไหนก็ตาม ที่เราเปิดธรรมะฟัง ก็เพราะเราเห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนที่เห็นประโยชน์ก็ไม่ละประโยชน์ เราจะรู้ได้เลย ว่าคนนี้เห็นประโยชน์ไหม? เห็นแค่ไหน?

คุณสันติ ขณะที่ได้ฟังท่านอาจารย์บรรยาย หรือว่าฟังทางวิทยุหรือทางไอพอด ความเข้าใจก็จะมีเพิ่มขึ้น ทีละนิด
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเห็นประโยชน์จึงฟัง
คุณสันติ แต่พอหลังจากนั้น ลืมหมดเลย
ท่านอาจารย์ ก็ธรรมดา ก็ฟังอีก เพราะลืม จึงฟังอีก ฟังจนกว่าจะไม่ลืม ฟังจนกว่าจะเข้าใจ

คุณประกิต คือ ผมแอบฟังอยู่เรื่อยๆ นะครับ เราจะศึกษาเพื่อสะสม เพื่อสร้างปัญญา ให้รู้ไปเรื่อยๆ ด้วยการฟังธรรมะ เพื่อที่จะได้เข้าใจ แต่คราวนี้ เท่าที่ผมเรียนหนังสือมา เราอ่านหนังสืออย่างเดียว เราไม่เข้าใจหรอก ถึงจะเป็นความจริงอย่างไร เราก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ จนกว่าจะมีคนชี้แนะ หรือมีอาจารย์ มาช่วยชี้บางจุดให้เรา เราถึงจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ค่ะถูกต้อง

คุณประกิต คราวนี้ ผมก็เลยสงสัยว่า ที่ฟังอยู่ เราต้องฟังไปเรื่อยๆ หรือว่าให้เข้าใจสะสมไปเองครับ
ท่านอาจารย์ เรื่อยๆ นี่ ต้อง "เข้าใจไปเรื่อยๆ " ด้วย แต่ละคำที่เราฟัง เราต้องเข้าใจ ฟังไปก็เข้าใจอีก เข้าใจอีก ไปเรื่อยๆ
คุณประกิต คราวนี้ บางอย่าง อย่างเราเรียนหนังสือ เราไม่มีทางเข้าใจ เราอ่านสิบรอบ บางทีเราก็ยังไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงมีการสนทนา เพื่อที่เราจะได้สอบทาน

คุณประกิต มีทางอะไรไหม? ที่ว่า เหมือนกับเป็นอาจารย์ชี้แนะอะไรบางจุดที่ ... .
ท่านอาจารย์ คำพูดของใครก็ตามแต่ เราจะรู้ว่า คุณแอ๊วพูดอย่างนี้ คุณน้อยพูดอย่างนี้ เสร็จแล้วคำพูดพวกนั้นทำให้เข้าใจได้ โดยไม่จำกัดว่าใคร แต่คำพูดนั้น ...
คุณประกิต ก็คือการสนทนากัน เอาจุด เหมือนกับเป็นการชี้แนะจากแต่ละคน ใช่ไหมครับ?
ท่านอาจารย์ ใช่ค่ะ

คุณประกิต ไม่ใช่ว่าเราฟังอย่างเดียว เราไม่รู้แน่ๆ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะว่า ประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาอะไร ทั้งหมดเพื่อเข้าใจ ถ้าเราจะไปเที่ยวเล่น เราก็ไม่ได้ศึกษา เราก็เพลิดเพลินไป แต่ไม่เข้าใจ แต่ถ้าพูดว่า ทำกับข้าว เราทำไม่เป็น ถ้าได้ฟังเขาบอก ชี้แจงอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เข้าใจ ไม่ว่าจะเย็บเสื้อ เย็บผ้า หรือวิชาทุกวิชา ต้องเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ธรรมะก็เหมือนกัน การฟังทุกอย่าง การศึกษาทุกอย่าง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วเราฟังธรรมะ ก็มี "ตัวธรรมะ" เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม? สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นสิ่งที่มี แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร? ว่าไม่ใช่เรา จริงๆ น่ะไม่ใช่ แต่เพราะไม่รู้ ใช่ไหม? จึงฟังไป ทีละคำ สองคำ จนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ อีกนานค่ะ อีกนาน ... ... .. (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ ธรรมเนียมของเราดีนะคะ "ธรรมเนียมสนทนาธรรม" ไม่ได้ไปไหน มีธรรมเนียม ธรรมเนียมสนทนาธรรม
คุณภาณี เวลาที่ไปอินเดียหรือไปศรีลังกา เวลาที่ท่านอาจารย์อยู่ตรงไหน ก็จะมีคนมาล้อมท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ สนทนาธรรม ไม่มีใครบังคับด้วยนะ!! (หัวเราะกันครืน)
คุณวันชัย พอจะทำอะไรสักอย่าง ก็รู้สึกสะดุ้ง สะดุ้งกลัวผู้จัดการ (หัวเราะกันใหญ่)
ท่านอาจารย์ ดีมากที่ไม่เป็นผู้จัดการเอง!!

คุณนภา จริงๆ แล้วมีประโยชน์นะคะ ถ้าไม่มีคำนี้มาเตือนใจเรา เราก็จะ ปุ๊บ..มาแล้วผู้จัดการ เหมือนกับมาดึงๆ ไว้หน่อย
ท่านอาจารย์ หมดทุกกรณีเลย ลามไปจนกระทั่งถึงหมดทุกอย่าง แค่นั่ง ก็ผู้จัดการแล้ว ยังไงกัน? นั่งตรงไหนก็ไม่ได้หรือ?
คุณนภา เข้าใจว่าท่านอาจารย์ไม่ได้หมายถึงเราหรอก หมายถึงตัวโลภะนั่นแหละ มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว
ท่านอาจารย์ หมายความว่า เป็นความ "คุ้นเคย" ที่จะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ลืม

คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ทุกอย่างต้องจัดการ ถึงจะเรียบร้อย
ท่านอาจารย์ ใครจัดล่ะ?
คุณอรวรรณ จะเรียนสนทนาว่า เวลาทำอะไร แล้วท่านอาจารย์บอกว่า นี่นะ ผู้จัดการมาแล้ว
ท่านอาจารย์ ทีนี้ ใครจัด? ใครเป็นผู้จัดการล่ะ?
คุณนภา เรา โลภะเป็นผู้จัดการ
ท่านอาจารย์ โลภะเป็นผู้จัดการ เขาจัดไปหมด ตั้งแต่ลืมตา
คุณอรวรรณ ประเด็นที่จะสนทนาคือ เรื่องราวต่างๆ ไม่จัดการไม่ได้นะคะ ก็ไม่เป็นไป..
ท่านอาจารย์ เขาเป็นแล้ว!!
คุณอรวรรณ ขอยกตัวอย่าง อย่างคุณแอ๊วเขาจัดทริปนี้
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ เขาเป็นแล้ว เป็นแล้ว!! มีใครไปบอกไหม? เอ้าคุณแอ๊วหยิบมีดมา คุณแอ๊วหั่นอย่างนี้นะ ไปหยิบมาจากตู้เย็น ออกมาอย่างนี้ มีใครไหม? เขาจัดอยู่แล้ว โลภะเขาจัดอยู่แล้ว แล้วโลภะเขาก็ "เพิ่มความเป็นผู้จัดการ" แทน "จัดการ" เป็น "ผู้จัดการ"

คุณอรวรรณ หมายความว่า ก็จัดสนทนาธรรม คือกุศลให้คนเข้าใจธรรมะ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ นั่นแหละ นั่นแหละ ทุกอย่าง!!
คุณอรวรรณ แล้วถ้าไม่มีโลภะ อย่างนี้ก็ ...
ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวเรา!! หมายความว่า มีการจัดการโดยธรรมะ ทีนี้ ธรรมะไหน?
คุณอรวรรณ แต่เจตนาเขาเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ ก็เป็น กุศลเขาก็จัดการได้อยู่แล้ว ไม่ต้องมี "ตัวเรา" ไปจัด คนโน้น คนนั้น คนนี้ อีกต่างหาก ตื่นขึ้นมานี่เขาก็จัดการเสร็จ ลืมตา อาบน้ำ อะไรต่ออะไร คือจัดการแล้ว แล้วเรายังจะไปเป็น "ผู้จัดการ" จัดการมาตั้งแต่เช้าเลย หมายความว่า โลภะเขาจัดการตลอด ใช่ไหม? เรายังจะเพิ่ม "เราจะเป็นผู้จัดการ" คนโน้น คนนี้ คนนั้น ขึ้นมาอีก

(แทนที่จะเป็นกุศล กับกลายเป็นอกุศล สนับสนุนพระหรือสนับสนุนโจร?)

คุณภาณี ซ้อนเข้าไปอีก คือ โลภะเขาจัดการ แต่เรายึดโลภะที่จัดการว่าเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ไม่!! โลภะจัดการตลอด แต่ยังเพิ่มความเป็นผู้จัดการ คนโน้น คนนี้ คนนั้น นี่คือผู้จัดการ คือโลภะเขาจัดการของเขาอยู่แล้วนี่ แต่ยังมีผู้จัดการไปจัดการคนโน้น คนนี้ คนนั้น อีกต่างหาก..ธรรมะจัดการก็ยังไม่พอ ยังเป็นผู้จัดการอีก!!! อย่างธรรมะเขาจัดการตั้งแต่ตื่น จะอาบน้ำ จะทำอะไรทั้งหมด ก็ยังมีผู้จัดการว่า นั่งตรงนี้ คนโน้นนั่งตรงโน้น คนนี้เขยิบไปอีกหน่อย คุณอรวรรณดูสิ ธรรมดาก็มีโลภะกันทุกคน แล้วเราก็นั่งอยู่อย่างนี้ แล้วมีผู้จัดการไหม? มาแล้ว ถ้าไม่มีก็ไม่มี แต่ประเดี๋ยวก็มีผู้จัดการเพิ่มเติมขึ้นมาจัดการอีก

คุณอรวรรณ ที่ไม่เข้าใจคือ ทุกครั้งที่ทำงานอะไร ต้องมีแม่งาน เป็นผู้ประสานงาน
ท่านอาจารย์ ไม่ว่ากัน ไม่ว่ากัน ก็ประสานไปสิ ทำไปสิ แต่นี่ ผู้จัดการเลย!! คุณอรวรรณมานั่งตรงนี้ มาๆ มานั่งตรงนี้!! (หัวเราะกันใหญ่) มา มานั่งตรงนี้!! มานั่งตรงนี้!! (คุณอรวรรณหัวเราะชอบใจ)

(เกลี้ยง ... ต้องเกลี้ยงจริงๆ ... ไม่อย่างนั้นไม่ดับเป็นสมุทเฉจ)

คุณอรวรรณ มีคนบอกว่าหนูเจ้ากี้เจ้าการ ก็คิดว่า จริงๆ บุคลิกเราคงจะเป็นอย่างนี้จริงๆ จะเฉยกับเรื่องราวไม่ได้ อันนี้ต้องเจ้ากี้เจ้าการ หนูก็เลยไม่รู้ว่า คำว่าเจ้ากี้เจ้าการกับการจัดการอะไรให้เรียบร้อยนี่ ต่างกันอย่างไร?

ท่านอาจารย์ คนละเรื่อง คนละเรื่อง
คุณอรวรรณ เพราะว่าบางครั้งอะไรที่ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ก็จะวุ่นวาย แต่เหมือนกับไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเจ้ากี้เจ้าการกับผู้จัดการ

ท่านอาจารย์ มี มี ระหว่างหน้าที่ของเราที่จะต้องทำให้เรียบร้อย เราจะต้องทำให้เรียบร้อย บอกคนนี้ บอกคนนั้น ให้ทำอย่างนี้ อย่างนั้น ตามหน้าที่ เพื่อความเรียบร้อย อันนั้นไม่ใช่ที่ว่าเมื่อกี้นี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อยนะ!! เจ้ากี้เจ้าการมาแล้ว!!
คุณอรวรรณ อ๋อ ... เจ้ากี้เจ้าการคือว่า ไม่ใช่เรื่องของตัวเลย เขาจะอย่างไร เขาจะนั่งตรงนี้ แล้วทำไมต้องไปบอกให้เขานั่งตรงนั้นล่ะ ... ..ก็คงต้องไปลบชื่อนี้ออกค่ะ เจ้ากี้เจ้าการอะไรประมาณนี้ (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ ความจริงเราไม่ค่อยรู้หรอก ถ้าไม่มีตัวอย่างในพระไตรปิฎก อย่างท่านพระราหุล ท่านไม่ได้เอาไม้กวาดไปวาง แต่คนมาบอกว่าท่านวาง ท่านก็เฉย ท่านรู้ว่าถ้าพูดต่อไปอีกสองคำ แล้วกลายเป็นร้อยคำ พันคำ

เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ทุกคำในพระไตรปิฎก ช่วยเตือนเรา สำหรับเตือนเรา ไม่อย่างนั้น ท่านจะยกตัวอย่างท่านพระราหุลทำไม? ตัวอย่างในพระไตรปิฎกเตือนเรา สอนเรา แต่เราจะรู้หรือเปล่าว่า นั่นคือ เตือน!! อย่างเรื่องท่านพระราหุลนี่ก็เตือนแล้ว สงบทุกกรณีได้ เมื่อเราไม่วุ่นวาย!!
คุณอรวรรณ เพราะฉะนั้น เจ้ากี้เจ้าการนี่ก็คือ สะสมโลภะที่จะเป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ใช่ แล้วอย่างไร?
คุณอรวรรณ ถ้ารู้ ความเข้าใจเขาก็จะรู้ว่า อ้นนี้เจ้ากี้เจ้าการหรือเปล่า แล้วเราก็หยุด ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเขาจัดการเอง

ท่านอาจารย์ ใช่!! ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเข้าใจ เป็นธรรมดาของปัญญา เขาจะไม่นำไปในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง!! และถ้ารู้ว่า อันนี้เราจัดการ ต่อไปเราก็จะได้ ไม่จัดการ ใช่ไหม? แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็จัดการเหมือนเดิม ในพระไตรปิฎกจะว่าอย่างไร เราก็เหมือนเดิม แต่ว่า ถ้าเรารู้ว่าอันนั้นเป็นประโยชน์อย่างไร ขัดเกลาละเอียด แม้เรื่องเล็กน้อยที่สุด!!

ไม่อย่างนั้น พระวินัยไม่มาหรอก เวลาเก็บบาตรอย่างไร อะไรอย่างนี้ บอกไว้เลย ทุกอย่างหมด ความละเอียดของโลภะ ของอกุศลทั้งหลาย มันออกมาในชีวิตประจำวัน เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ โผล่ให้เห็น แล้ว "ตัวที่มาเห็น" ล่ะ? ยิ่งละเอียดกว่านั้น!!!

... ... ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านน้ำผุด เขาใหญ่ ... .ทุกสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้น หมดไปแล้ว ดับไปแล้ว สิ้นสุดไปแล้ว ไม่มีวันที่จะหวนคืนมาได้อีกเลย ... ... แต่ปัญญาความเข้าใจพระธรรม และคุณความดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น มิได้หายไปไหนเลย ยังคงสะสมอยู่ในจิต เป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมแก่บุคคลนั้นเอง ตลอดหนทางทุรกันดารที่แสนยาวนานในสังสารวัฏ ...

กุศลที่ประณีต และผลของกุศลที่ประณีต ที่ได้ปรากฏขึ้นและดับไป ณ กาลครั้งนี้ แสดงถึงความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ของเหตุและปัจจัย อันบุคคลได้ร่วมกันกระทำ ทั้งร่วมรับผลของกุศล ด้วยความอาจหาญ ร่าเริง แสดงถึงความสะสมอุปนิสัยของท่านเจ้าภาพที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ในอันที่จะเกื้อกูลแก่ผู้อื่นโดยทุกเมื่อ โดยไม่คำนึงถึงตนเป็นประการสำคัญ ผลของกุศลทุกประการจึงเกิดปรากฏ แสดงความจริงที่ทรงแสดงให้บุคคลได้สำเหนียกในความวิจิตรโอฬารของการสะสมที่มีมาในจิต การทั้งหลายที่สำเร็จลุล่วงโดยงดงาม ปราศจากปัญหาและอุปสรรคใดๆ ย่อมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสะสมอันงดงามที่มีกำลังของบุคคลได้อย่างดียิ่ง เหนือสิ่งอื่นใด การได้มีโอกาสอันวิเศษที่สุดครั้งหนึ่งในสังสารวัฏ ที่ได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ามกลางกัลยาณมิตรที่มีความชื่นบานต่อกัน โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้มีเมตตายิ่งในวาระนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือทรัพย์แลรัตนะใดในสากลจักรวาล ที่บุคคลไม่อาจได้รับเลย หากมิได้เป็นผู้ที่ได้เคยสั่งสมบุญไว้แต่ปางก่อน

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 823
" ... บทว่า ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา - ความเป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน ได้แก่ ความเป็นผู้สะสมกุศลไว้ในกาลก่อน นี้เป็นข้อกำหนดในบทนี้ กุศลกรรมที่ทำด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณ กุศลนั้นนั่นแหละ ย่อมนำบุรุษนั้นเข้าไปในประเทศอันสมควร ให้คบสัตบุรุษ บุคคลนั้นนั่นแหละ ย่อมตั้งตนไว้ชอบ ... "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนภา จันทรางศุ และครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมคลิปวีดีโอและบันทึกการถ่ายทอดสดในครั้งนี้ได้ที่นี่ ... .


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kullawat
วันที่ 17 ม.ค. 2560

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 17 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 19 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ท่านอาจารย์สุจินต์

คุณนภาและคุณประกิจ

คุณวันชัยและครอบครัว

อาจารย์เต้ย และคุณป๊อป (พรชัย อภิศักดิ์สิริ)

และกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 27 ม.ค. 2560

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์คุณวันชัยและทุกท่านคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ