ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  18 พ.ย. 2559
หมายเลข  28366
อ่าน  2,029

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณสดศรี สัมพันธ์ (คุณต่าย) เจ้าของร้าน Young Rabbit ซึ่งเป็นร้านขายส่งเสื้อผ้าเด็ก ตั้งอยู่ที่ชั้น ๕ อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครฯ เพื่อไปสนทนาธรรมที่ร้าน ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๑.๓๐ น. ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ แล้ว ที่ท่านอาจารย์เดินทางมาสนทนาธรรมที่นี่ สำหรับการสนทนาธรรมในครั้งก่อน ท่านสามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาได้ที่นี่ครับ

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณสดศรี สัมพันธ์ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๙

อันดับต่อไป ขอนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น มาให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาเช่นเคย ดังความต่อไปนี้

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับคำของคนอื่น ทั้งหมด!!! คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เข้าใจพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงตรัสรู้อะไร ได้แต่กราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบเช้า กราบค่ำ แต่ไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้หรือรู้จริงๆ รู้อย่างเราหรือเปล่า? หรือว่า เพราะตรัสรู้ เราจึงต้องกราบไหว้ ในการที่ท่านสามารถที่จะเข้าใจถูกต้อง เหนือคนอื่นทั้งสิ้น มิฉะนั้น เราจะกราบทำไม? ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ก็กราบในพระปัญาญาคุณ ที่สามารถเข้าใจถูกในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ซึ่งเราไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แม้แต่ทุกคำที่เราพูด อย่าง "สติ" เราคิดว่าเรากำลังนั่งอย่างนี้เรามีสติ แต่ความจริงเราไม่รู้ว่า "สติ" คืออะไร แต่มี "เราคิด" ว่ามีสติ

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ที่ว่า "เป็นเรา" ทั้งหมดนี้ มีจริงๆ หรือเปล่า? ถ้าไม่เกิด มีไหม? ถ้า "เห็น" ไม่เกิดขึ้นและ "กำลังเห็น" เห็นก็ไม่มี ขณะนี้กำลัง "ได้ยิน" เพราะ "ได้ยิน" เกิดขึ้นได้ยิน ไม่ใช่ "เราได้ยิน" เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าไม่มีความเคารพในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ เราจะไม่รู้เลยว่า แต่ละคำที่เราได้ฟัง เป็นคำซึ่งเราพูดมาก่อนในชีวิต แต่พูดด้วย "ความไม่รู้" ทั้งหมด!!!

เช่น เรา, สติ, หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ใครไปมีสติรู้นั่น รู้นี่ แต่ให้เข้าใจถูกต้องตามความจริงว่า "สิ่งที่มี" ต้อง "เกิดขึ้น" หลากหลายมาก ดีก็มี ชั่วก็มี โกรธก็มี ไม่โกรธก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก และ แค่ปรากฏ "นิดเดียว" แล้วก็ "หมดไป" แล้วไม่กลับมาอีกเลย!!

เมื่อกี้นี้ ที่ตอบคำว่าสติ ก็แค่ "คิด" ขณะนั้นว่า "มีสติ" แล้วก็หมดไปแล้ว ถ้าจะเกิดใหม่ คิดว่ามีสติ ก็เป็นความคิดใหม่ ไม่ใช่อันเก่า ทุกอย่างมีชั่วขณะที่แสนสั้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่เราเกิดมา มีทุกอย่าง อยากได้ทุกอย่าง ทำทุกอย่าง มี "เห็น" มี "ได้ยิน" มี "คิดนึก" มี "สุข" มี "ทุกข์" แล้วก็ไม่เหลือเลย โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่มี คือ อะไร? แล้วก็หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว!!

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะศึกษาหรือฟังธรรมะโดยให้ "เขาบอก" เรา แต่ว่าต้องมี "ความเข้าใจ" อย่างมั่นคง ว่าเรากำลังฟังอะไร ฟังเรื่อง "สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้" เพราะ "เดี๋ยวนี้มีจริงๆ " สิ่งที่มีจริงเมื่อวานนี้ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ และสิ่งที่มีจริงตอนนี้ ไม่ใช่ตอนเย็น ตอนค่ำ เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว ในขณะที่กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยรู้ความจริงนี้เลย ว่าสิ่งที่มีจริงชั่วคราวนี้ เป็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง หลากหลายมาก เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

"เห็น" มี ไม่ใช่ "ได้ยิน", "คิด" มี ไม่ใช่ "เห็น" เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง เกิดดับสืบต่อ ไม่มีใครรู้เลย ห้ามก็ไม่ได้ ไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้ตายก็ไม่ได้ เกิดมาเพียงแค่เพื่อเห็น เพื่อได้ยิน เพื่อได้กลิ่น เพื่อลิ้มรส เพื่อรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพื่อคิดนึก เพื่ออยากได้โน่น อยากได้นี่ มีทรัพย์สมบัติมากมาย แล้วก็ต้องจากไป ไม่มีความเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เข้าใจว่าเป็น "ของเรา" อีกต่อไป มีใครไม่เป็นอย่างนี้บ้าง? เหมือนกันหมดเลย!!

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงมี และใครก็ไปทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด จึงเกิดได้ ถ้าไม่โกรธ แล้วใครมาบอกให้โกรธ โกรธได้ไหม? ไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่า เริ่มรู้จักธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงต่อเมื่อเกิดขึ้น และถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้ ใครลองไปทำให้อะไรเกิดสิคะ ทำ "เห็น" สิคะ ทำได้ไหม? ตาบอด ไม่มีทางเห็นได้เลย ทำ "ได้ยิน" ได้ไหม? ก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เพราะ "มีแล้ว" ตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงเลยว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ที่จะทำอะไรก็ทำได้

ด้วยเหตุนี้ สติปัฏฐาน ต้องรู้จักคำว่า "สติ" ก่อน ถ้าไม่รู้จักสติ แล้วจะไปรู้จักสติปัฏฐาน ได้อย่างไร? การศึกษาธรรมะ อย่าไปคิดว่าเราจะมีสติปัฏฐานทันทีที่ได้ยินคำนี้ แต่ว่า เรายังไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่คำว่าสติ หรือคำว่าสติปัฏฐาน ไม่ใช่บอกเดี๋ยวนี้เข้าใจเดี๋ยวนี้ แต่เข้าใจจริงๆ ว่าสติคืออะไร มีจริงหรือเปล่า? และเดี๋ยวนี้มีไหม? ถ้าไม่รู้ว่าสติคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า? และจะรู้ได้อย่างไรว่าแล้วสติจะเกิดได้อย่างไร ไม่มีเหตุปัจจัยให้สติเกิด สติก็ไม่เกิด

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้ได้ว่า ขณะใดที่เข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น เรียนเพื่ออะไร? ศึกษาเพื่ออะไร? ถ้าตอบได้ก็คือเข้าใจ เรียนทำไม?

คุณลุงศุกล เรียนเพื่อความเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์ เรียนเพื่อเข้าใจ ใช่ไหม? เพราะแต่ก่อนไม่เข้าใจ ใช่ไหม?
คุณลุงศุกล ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เมื่อไม่เข้าใจ จึงเรียนให้เข้าใจ
คุณลุงศุกล ทีนี้ คำว่า "ศึกษา"
ท่านอาจารย์ ศึกษาเพื่ออะไร?
คุณลุงศุกล ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
ท่านอาจารย์ แล้วเรียนเพื่ออะไร?
คุณลุงศุกล เรียนเพื่อรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ เหมือนกันไหม?
คุณลุงศุกล มันน่าจะมีความแตกต่างกันบ้าง

ท่านอาจารย์ กินข้าว รับประทานข้าว เหมือนกันไหม? กินข้าวหรือยัง? รับประทานข้าวหรือยัง? เหมือนกันไหม? เรียนหรือยัง? ฟังหรือยัง? เข้าใจหรือยัง? ศึกษาหรือยัง? เหมือนกันไหม?
คุณลุงศุกล ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ศึกษา มีความหมาย ๓ อย่าง คือ ไตรสิกขา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ หมายความว่าปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจในการฟัง ที่เราใช้คำว่า ปัญญา ปัญญา ต้องเป็น "ความเข้าใจ" ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ปัญญา

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ใช้คำว่าปัญญา ใช้คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" ก็ได้ เพราะว่า "ทิฏฐิ" แปลว่า ความเห็น ความเข้าใจ "สัมมา" คือ ถูกต้องตามความเป็นจริง "มิจฉาทิฏฐิ" ก็คือ ความเห็น ความเข้าใจ ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ผิด จึงใช้คำว่า มิจฉาทิฏฐิ แต่ "ทิฏฐิ" ก็คือ ความเห็น ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเราเรียนเพื่อ "เข้าใจ" รับประทานอาหารเพื่อ "อิ่ม" กินข้าวก็เพื่อ "อิ่ม" เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเรียน ไม่ว่าจะศึกษา ไม่ว่าจะฟัง ทั้งสิ้น เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ให้ถูกต้อง จะใช้คำไหนก็ได้ ไม่ใช้คำนี้ก็ได้ ใช้คำภาษาไหนก็ได้!!

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง ไม่ใช่ระดับที่ เข้าใจลักษณะที่กำลังเป็นจริงอย่างที่ฟัง เพราะฉะนั้น ปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับ ถ้าไม่มีการฟังเลย ความเข้าใจธรรมะที่มีจริง ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น "ปริยัติ" ฟังพระพุทธพจน์เท่านั้น จะไปเรียนวิชาเกษตร วิทยาศาสตร์ เรียนหมอ เรียนอะไร ก็ไม่ใช่ปริยัติ เพราะว่า ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ!!!

เพราะฉะนั้น "ปริยัติ" หมายความถึง ความรู้ที่เกิดจากการฟังสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้อง "รอบรู้" ไม่ว่าจะได้ยินคำไหน พอเขาบอกว่าธรรมะ เราก็เข้าใจ ไม่ว่าจะอยู่ในพระไตรปิฎก ส่วนของพระวินัย พระสูตร พรอภิธรรม มีคำว่า "ธรรมะ" เราก็เข้าใจ ว่าหมายความถึงอะไร นั่นคือ รอบรู้ แล้วยังแทงตลอดว่า นั่นไม่ใช่เรา!!!

เพราะฉะนั้น จึงมีความเข้าใจ แม้ในปริยัติ ก็มีทั้ง "รอบรู้" และ "แทงตลอด" เป็นปัจจัยให้ "สติสัมปชัญญะ" เกิด แม้ไม่ฟัง "สติ" ก็กำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฟังแล้ว เข้าใจแล้ว "ระลึกได้" ว่าขณะนี้เพียงแค่ "เห็น" กำลังเห็นนี้ เพียงแค่ "เห็น" แล้วก็หมดไป ถ้า "กำลังรู้ลักษณะที่มีจริงๆ " ด้วยความเข้าใจถูกต้อง ตรงตามที่ได้ฟัง นั่นคือ "ปฏิปัตติ" ต้อง "รอบรู้" และ "แทงตลอด" แม้ในปฏิปัตติ ไม่ไปเข้าสำนักปฏิบัติ ไม่ไปทำโน่น ทำนี่ เพราะว่า นั่นคือ "ผิด"

ถ้ารอบรู้จริงๆ แทงตลอดจริงๆ ก็รู้ว่า ปฏิปัตติ "ไม่ใช่เรา" แต่เป็น "สติสัมปชัญญะ" มีปัญญาเกิดร่วมด้วย มีวิริยะเกิดร่วมด้วย มีความตั้งมั่นคงเกิดร่วมด้วย มีสภาพธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงว่า เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด เพราะเข้าใจ เกิดร่วมกับความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ใช่เรื่องคิดเอง ไม่ใช่เรื่องฟังครั้งเดียว ไม่ใช่เรื่องฟังแล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ความเข้าใจระดับไหน? ระดับปริยัติ-ฟังพระพุทธพจน์ รอบรู้หรือยัง? มั่นคงหรือยัง? แทงตลอดหรือยัง?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณสดศรี สัมพันธ์ และ สมาชิกกลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ทุกท่าน และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญชมบันทึกการถ่ายทอดสดครั้งนี้ได้ที่นี่ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Noparat
วันที่ 18 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 19 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
นายสุรพล กิจพิทักษ์
วันที่ 19 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 20 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 20 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 21 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ