ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๑

 
khampan.a
วันที่  30 ต.ค. 2559
หมายเลข  28323
อ่าน  2,398

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๑

~ ทุกคำที่กล่าว (ตามพระธรรม) เป็นการเคารพในพระรัตนตรัย สิ่งใดที่ผิด ก็ควรที่จะให้พุทธบริษัทได้เข้าใจ เพื่อที่จะได้ช่วยกันไม่กระทำสิ่งที่ผิด เป็นประโยชน์ทั้งแก่ผู้กระทำผิด ที่จะรู้ว่า ผิด แล้วไม่กระทำ และเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นด้วย ที่จะไม่อนุโมทนาสาธุในสิ่งที่ผิด (คือ ไม่เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่ผิด)

~ อีกความหมายของ "ภิกขุ (ภิกษุ) " คือ ผู้ที่ทำความดีในเพราะการขอ รู้คุณเลยว่าอาหารแต่มื้อ ได้มาจากผู้ที่มอบให้ ใส่ลงไปในบาตรเพื่อที่จะให้ชีวิตดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้ ก็ต้องทำความดี ให้คุ้มกับการที่เขาได้ให้

~ อวิชชา คือ ไม่รู้ และ วิชชา คือ รู้ เราจะเอาวิชชามาแต่ไหน มีอะไรเป็นปัจจัยให้วิชชา (ปัญญา) เกิด ต้องเข้าใจธรรมอย่างเดียว เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งให้เราเกิดปัญญา ไม่ใช่เพื่อให้เราพ้นภัยอันตราย หรือ พึ่งให้เราทำนั่น ทำนี่ให้สำเร็จ แต่พึ่งพระธรรมคำสอนของพระองค์ เพื่อให้เรามีปัญญา และธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ซึ่งจะนำผลที่ดีมาให้ตามควรแก่เหตุที่จะเป็นไปได้

~ อดทนได้ไหมถ้าคนนั้นเขาว่าร้ายเรา ทำร้ายเราด้วยอะไรก็ตาม แต่ความเป็นมิตรของเราต่อเขานั้น เขาทำลายไม่ได้ เรายังคงมีความหวังดี ไม่ประทุษร้าย พร้อมที่จะช่วยช่วยอย่างอื่นนั้นช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ช่วยให้เขาเป็นคนดีและเข้าใจพระธรรม นั่นคือประโยชน์จริงๆ ของการคบกัน เรารู้จักกันเพื่ออะไร ถ้ารู้จักเพื่อไปไหนด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน จะมีประโยชน์อะไร แต่ประโยชน์จริงๆ ของการเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนผู้หวังดีที่แท้จริง คือ อดทน ไม่หวั่นไหว เพื่อให้คนที่เรารู้จัก คนที่เราเป็นมิตรนั้นได้เป็นคนดีและเข้าใจพระธรรม

~ ขณะใดที่ความดีเกิดขึ้น ไม่ทำร้ายตนเองและไม่ทำร้ายคนอื่น อกุศลเป็นศัตรู แต่คุณความดีเป็นมิตร เรามีความดี คือ ความหวังดี เกื้อกูล อดทนที่จะให้คนอื่นเกิดปัญญา อดทนรอให้เขาเป็นคนดี ไม่ว่าคำพูดของเขาจะร้ายต่อเรา หรือจะทำอะไรต่อเราก็ตาม แต่ความเป็นมิตรที่แท้จริงจะทำให้สามารถอดทนคอย จนกระทั่งพระธรรมทำให้เขาเป็นคนดีได้

~ แสงสว่าง คือ ปัญญา อวิชชา คือ ความมืด ใครมีปัญญาก็เป็นประโยชน์กับคนนั้น ขอให้เราเป็นคนหนึ่งที่จะมีปัญญาเป็นแสงสว่าง หรือ เป็นคนที่ทำความดี ในท่ามกลางความชั่วร้ายที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่แม้กระนั้นเราก็จะพยายามทำความดี และศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจธรรมได้ถูกต้องมากขึ้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะถึงอย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่

~ พระพุทธเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐยิ่ง ไม่มีใครเทียบได้ เพราะทรงแสดงพระธรรมให้แต่ละคนเข้าใจ เรามีมิตรเยอะมาก แต่มีกัลยาณมิตรบ้างไหม? รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ไหน? ทุกคำถามมีคำตอบและ เป็นคำตอบที่พิสูจน์ได้ชัดเจน แต่ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเองแต่ละคน

~ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมให้คนที่สะสมมาได้เห็นประโยชน์ สามารถเข้าใจ และ มั่นคงในความดีต่อไปเรื่อยๆ เราเป็นอย่างนี้ คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เราหวังดีมีความเป็นมิตร พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง แต่มีความดีของตนเองเป็นที่พึ่ง เมื่อมีโอกาสฟังพระธรรม ต้องไม่ละเลยที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจ และ พิจารณา และเห็นประโยชน์

~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงปัจจัยของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ไว้โดยละเอียดมาก ไม่มีช่องว่างที่จะให้ความเป็นเราแทรกเข้ามาได้เลย

~ ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ไม่ใช่เราจะบังคับอะไรได้ ทุกคนอยากเป็นคนดี แต่ไม่ดีเพราะไม่มีปัจจัยที่ทำให้ธาตุดีเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นธาตุไม่รู้นั่นแหละที่ทำให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น เช่น เพราะไม่รู้ จึงคิดว่ามีเรา มีเขา มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเที่ยง ยั่งยืน ไม่เกิดดับเลย

~ ขณะใดมีอวิชชา (ความไม่รู้) ขณะนั้นก็เก็บขยะไปทุกวัน ชีวิตนี้จะมีค่าก็เมื่อมีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจพระธรรม

~ ความเข้าใจจะทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง เพราะปัญญาสามารถเห็นว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว

~ เคารพในพระรัตนตรัย ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ นี้คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตนี้ ไม่ใช่ไปทำตามในสิ่งที่ผิด

~ เมื่อเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่มีค่าและสามารถแก้ความไม่เป็นสุขสงบของโลกได้ นอกจากปัญญาที่เริ่มเข้าใจพระธรรม

~ ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่า อกุศลนั้นๆ เป็นโทษ ก็จะไม่มีการพากเพียรที่จะละอกุศลนั้นๆ เลย

~ คุณค่าของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง เพื่อเกื้อกูลแก่การขัดเกลา เพื่อที่จะให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น ละคลายอกุศลธรรมทั้งหลายลง เป็นการเกื้อกูลแก่การที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และละการยึดมั่นในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ ขณะใดก็ตามที่สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นความเมา แต่ว่าเมาด้วยกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เมาด้วยโลภะ เมาด้วยโทสะ เมาด้วยโมหะ มีเป็นประจำอยู่แล้ว แต่บางท่านก็ยังเพิ่มการที่จะดื่มสุราให้เมายิ่งขึ้น ถึงกับขาดสัมปชัญญะ ที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

~ ในพระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคทรงพร่ำสอนจริงๆ เพื่อที่จะให้สติเกิด ในขณะฟังให้ระลึกได้ ให้รู้ในลักษณะของรูปธรรมและนามธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าประมาทไม่เห็นโทษของกิเลส ก็จะไม่เห็นคุณประโยชน์เลยว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ครั้งเดียวก็น่าจะพอ ใช่ไหม? แต่นี่พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ในขณะใดที่มีปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ สติก็เกิดระลึกได้เพียงชั่วขณะ แล้วต่อจากนั้นกิเลสมีกำลัง พร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นอกุศลธรรมต่อไป ด้วยเหตุนี้ จึงได้ทรงพร่ำสอนไว้ทุกประการ

~ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าบังคับได้เป็นอัตตา พระผู้มีพระภาคก็คงจะทรงบังคับให้ทุกคนนี้หมดกิเลส ไม่มีการล่วงศีลเลย แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จึงได้ทรงแสดงคุณและโทษของธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง ให้ผู้ศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมได้พิจารณาดู แล้วก็อบรมเจริญธรรมฝ่ายกุศลให้ยิ่งขึ้นเท่าที่สติปัญญาสามารถที่จะกระทำได้ ตามระดับขั้นของแต่ละบุคคล

~ การฆ่าสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นธรรมที่ควรรังเกียจ ควรกลัว ไม่ควรที่จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำเลย ขณะนั้นลักษณะของสภาพธรรมคือหิริและโอตตัปปะ การรังเกียจในการทำทุจริตกรรมจึงเกิดขึ้น นั่นก็ต้องเป็นสติขั้นหนึ่ง คือสติขั้นศีล ที่ทำให้รู้ว่า การที่จะเบียดเบียนสัตว์อื่นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เป็นอกุศลธรรม

~ ถ้าท่านจะพิจารณาชีวิตจริงๆ ของท่าน ท่านก็จะทราบได้ว่ายังมีอกุศลอีกมากมายเหลือเกิน ในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของธรรมฝ่ายดีทุกขั้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งถึงขั้นสูงที่สุด แต่ว่าการที่สาธุชน (คนดี) จะประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติตามได้ครบถ้วนตลอดหมดทีเดียว แต่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ สะสมอบรมเจริญไปทีละเล็กทีละน้อย

~ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้น คืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่างก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ

~ เมตตาคือความหวังดี ความเป็นมิตร ไม่เลือกด้วย ไม่ว่ากับใคร พร้อมที่จะเกื้อกูล ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยเหลือหรือทำอะไรได้ นี่คือความเป็นมิตร

~ ถ้าจะพิจารณาให้เห็นสภาพธรรมในความไม่มีสาระ ชาติก่อนๆ จะเคยสุขสำราญ จะเคยมีปราสาทราชวัง จะมีผู้ที่ผูกโกรธ อาฆาต ริษยาต่างๆ ก็ผ่านไปแล้วหมด ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ ชาติก่อนเป็นอย่างนั้นฉันใด ชาตินี้ก็เป็นอย่างนั้นแหละ และชาติต่อๆ ไปก็จะเป็นอย่างนี้

~ ขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ถูกครอบงำด้วยอวิชชา ลักษณะของปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะครอบงำอวิชชาได้ในขณะที่ปัญญาเกิด

~ ความดีง่ายๆ ทำไม่ยาก ก็คือฟังพระธรรม ยากไหม? ฟังดนตรีก็เคยฟัง ฟังอย่างอื่นก็เคยฟัง แต่ความดีที่ไม่ต้องเสียเวลาไปทำให้เหนื่อยยากเลย แค่ฟัง แล้วก็เข้าใจ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์หรือไม่ได้สะสมมา ก็เป็นการยากเพราะฉะนั้นจากคนที่ไม่มีศรัทธา แล้วก็ไม่ฟัง ก็ควรที่จะสะสมศรัทธาที่เห็นประโยชน์ของการฟัง เพื่อที่จะได้ไม่ขาดการฟัง ความดีทำง่ายมาก แค่ฟัง แล้วก็สะสม แล้วเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาด้วย

~ ถ้าเห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับได้ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าต้องตายแน่นอน แต่ว่าจะตายอย่างโง่ ไม่รู้อะไรเลยเหมือนเดิม หรือว่าตายไป โดยที่ได้เข้าใจธรรม

~ คำเก่า คำเดิม แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อฟัง (พระธรรม) บ่อยๆ เนืองๆ ขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สิริพรรณ
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 30 ต.ค. 2559

~ คำเก่า คำเดิม แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อฟัง (พระธรรม) บ่อยๆ เนืองๆ ขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้.

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rrebs10576
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kukeart
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kullawat
วันที่ 1 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pakati58
วันที่ 3 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 5 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เจียมจิต
วันที่ 13 ธ.ค. 2559

กราบอนุโมทนา. ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
มังกรทอง
วันที่ 4 ส.ค. 2564

ประโยชน์จริงๆ ของการเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนผู้หวังดีที่แท้จริง คือ อดทน ไม่หวั่นไหว เพื่อให้คนที่เรารู้จัก คนที่เราเป็นมิตรนั้นได้เป็นคนดีและเข้าใจพระธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 1 พ.ย. 2564

อวิชชา คือ ไม่รู้ และ วิชชา คือ รู้ เราจะเอาวิชชามาแต่ไหน มีอะไรเป็นปัจจัยให้วิชชา (ปัญญา) เกิด ต้องเข้าใจธรรมอย่างเดียว เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งให้เราเกิดปัญญา ไม่ใช่เพื่อให้เราพ้นภัยอันตราย หรือ พึ่งให้เราทำนั่น ทำนี่ให้สำเร็จ แต่พึ่งพระธรรมคำสอนของพระองค์ เพื่อให้เรามีปัญญา และธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ซึ่งจะนำผลที่ดีมาให้ตามควรแก่เหตุที่จะเป็นไปได้

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
มังกรทอง
วันที่ 2 พ.ย. 2564

อดทนได้ไหมถ้าคนนั้นเขาว่าร้ายเรา ทำร้ายเราด้วยอะไรก็ตาม แต่ความเป็นมิตรของเราต่อเขานั้น เขาทำลายไม่ได้ เรายังคงมีความหวังดี ไม่ประทุษร้าย พร้อมที่จะช่วยช่วยอย่างอื่นนั้นช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ช่วยให้เขาเป็นคนดีและเข้าใจพระธรรม นั่นคือประโยชน์จริงๆ ของการคบกัน น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
มังกรทอง
วันที่ 11 พ.ย. 2564

คุณค่าของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง เพื่อเกื้อกูลแก่การขัดเกลา เพื่อที่จะให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น ละคลายอกุศลธรรมทั้งหลายลง เป็นการเกื้อกูลแก่การที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และละการยึดมั่นในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ