จิตออกจากร่างในภพปัจจุบันได้มั้ยครับ

 
เพียงดิน
วันที่  27 ต.ค. 2559
หมายเลข  28311
อ่าน  2,469

วันนี้ผมเปิด youtube ดูมีคลิปพระองค์หนึ่งท่านทำคลิปสอนธรรม เป็นวีดีโอที่มีพระสงฆ์นอนอยู่แล้วมีภาพซ้อนเหมือนมีวิญญาณลุกออกจากร่าง แล้วท่านก็บรรยายว่า วันนึงเราลุกขึ้นมาแล้วมองเห็นตัวเราเองนอนอยู่ หมายถึงตาย เราไม่ควรประมาทในการเจริญในธรรม ลักษณะบรรยายแบบนี้

สำหรับคลิปผมไม่ค่อยสนใจครับ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ เกิดมาเป็นสัตว์โลก เราสามารถถอดจิตหรือแยกจิตออกจากร่างได้หรือไม่ ที่ผมเรียนมากับ ท่าน อ.สุจินต์ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรับรู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดดับอยู่ตลอดเวลาแต่ผมไม่รู้ว่าจิตสามารถเกิดดับนอกร่างกายได้หรือไม่ เนื่องจากปัญญาผมยังน้อย จึงต้องขอความกระจ่างกับอาจารย์ทุกๆ ท่านด้วยครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่เข้ามาให้ความกระจ่างครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 27 ต.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม แปลตามศัพท์ได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้ง (ซึ่งอารมณ์) เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ กับ จิต เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะหลายประการที่หมายถึงจิต เช่น มนะ หทยะ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิต ไม่ปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว) หนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้นจิต กับวิญญาณจึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง วิญญาณเป็นธรรมประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จิตขณะหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เป็นอย่างนี้อย่างไม่ขาดสายจนกว่าจะสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์ คำกล่าวที่คนในสังคมไทย ได้ยินบ่อย คือ คำว่า วิญญาณออกจากร่าง ถ้าได้ศึกษาโดยตรงจากพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา จะเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า วิญญาณ ไม่มีการออกจากร่าง ไม่มีการล่องลอย แต่เกิดแล้วดับแล้ว ประโยคดังกล่าวถ้าจะเข้าใจให้ตรง ก็คือ เมื่อร่างกายนี้ปราศจากวิญญาณ หมายความว่า ความเป็นบุคคลนี้ สิ้นสุดแล้ว ที่กายนี้ไม่มีจิตเกิดอีกแล้วในชาตินี้ จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ คือ จุติจิต ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งก็คือ ตาย นั่นเอง

[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑หน้า ๔๓๗

“ไม่นานหนอ กายนี้ จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้ มีวิญญาณไปปราศ อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้น”


ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ปฏิสนธิจิต ก็คือ จิต ประเภทหนึ่งนั่นเอง จะเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ ก็ได้ เมื่อจุติจิตของชาติที่แล้วเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะต่อไปที่จะเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลย ก็คือ ปฏิสนธิจิต ในภพใหม่ชาติใหม่ จิตขณะแรกในแต่ละภพในแต่ละชาติ ก็คือ ปฏิสนธิจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่สืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว การที่จะเกิดเป็นอะไรในภพไหน นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นของอกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกายทั้งหมดทั้งปวงนั้น ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ จนกว่าจะเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย สังสารวัฏฏ์เป็นอันสิ้นสุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เพียงดิน
วันที่ 28 ต.ค. 2559

สาธุ กราบขอบพระคุณครับ กระจ่างแล้วครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 1 พ.ย. 2559

ในภูมิที่มีขันธ์ห้า จิตต้องอาศัยรูปเกิดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วิริยะ
วันที่ 12 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ