ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๖-๘ กันยายน ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  14 ก.ย. 2559
หมายเลข  28190
อ่าน  2,341

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๖-๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณกุสุมา โกมลกิติ (พี่จู) และครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ เพื่อไปพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เป็นการเดินทางมาพักผ่อนของท่านอาจารย์ที่นี่ ปีละครั้ง ด้วยกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา (พี่จู) และน้องๆ ในครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์มายาวนานแล้ว ทั้งยังเป็นครอบครัวที่เป็นตัวอย่างที่ดี ของการมีชีวิตอยู่ด้วยการเจริญกุศลทุกประการ เป็นตัวอย่างของคำว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ และ คำว่า ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง เป็นต้น

ผู้ที่ได้รู้จักกับครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ จะเห็นครอบครัวที่อบอุ่น น่ารัก มีความสุข ได้เห็นพี่จู พี่เมตตา และลูกๆ พาคุณพ่อคุณแม่ไปฟังธรรมตามสถานที่ต่างๆ ด้วยกันเสมอๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นโอกาสที่ได้พาท่านทั้งสองไปเที่ยว พักผ่อนแล้ว ยังเป็นโอกาสอันเลิศ ซึ่งจะไม่ปรากฏแก่ผู้ที่ไม่เคยได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนเลย นั่นคือได้มีโอกาสฟังและเข้าใจพระธรรมด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนพระคุณต่อมารดาบิดาที่ประเสริฐที่สุด คือ การที่ให้ท่านได้เข้าใจธรรมะ ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิต แม้จะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกระทำได้โดยง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกท่านย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง ครอบครัวใดก็ตามที่มีความเข้าใจธรรมะ มีการฟังและศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมเป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุด ที่ได้เกิดมาพบกันในชาตินั้นๆ อนึ่ง ข้าพเจ้าได้เคยเขียนกระทู้ถึงความประทับใจในความดูและเอาใจใส่คุณพ่อคุณแม่ของครอบครัวชัยศรีโสภณกิจไว้ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...กราบแม่

ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงท่านผู้หนึ่ง ที่กราบเรียนท่านอาจารย์ด้วยความปีติว่า ชีวิตในชาตินี้ของท่านคุ้มแล้วกับการที่ได้เกิดมา เพียงเพราะได้ยินและได้เข้าใจคำว่า "ธรรมะ" เพียงคำเดียว นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด เมื่อบุคคลมีความเข้าใจ ปัญญาย่อมนำไปสู่สาระสำคัญที่สุดของชีวิต คือ ความเข้าใจธรรมะ มีชีวิตอยู่อย่างมีค่า มีสาระ น้อมไปสู่การสะสมกุศล คุณความดีประการต่างๆ ในแต่ละวัน และที่สำคัญที่สุด คือ สะสมการฟังและเข้าใจพระธรรม อันจะเป็นเสบียง เป็นที่พึ่งที่แท้จริงแก่บุคคล สำหรับการเดินทางอันแสนยาวไกลในสังสารวัฏ

อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ไม่ว่าท่านอาจารย์จะเดินทางไปที่ไหน แม้เป็นที่ๆ ท่านเดินทางไปพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ตามที่มีผู้กราบเรียนเชิญท่านไปพักผ่อนจริงๆ เช่นที่พี่จูและน้องๆ ได้มีกุศลเจตนาเช่นว่าในครั้งนี้ก็ตาม แต่ท่านอาจารย์ก็มีเมตตาสนทนาธรรมแบบสบายๆ เวลาใดก็ได้ ก็ตามที่สะดวก ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ใครอยากสนทนาเรื่องอะไรก็ได้ ความจริงแล้ว การสนทนาธรรมและการฟังพระธรรม มีจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดเพียงประการเดียว คือ เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ได้สนทนา แน่นอนว่า บางท่านอาจมีข้อสงสัย ข้องใจจากการฟัง การศึกษา เมื่อมีโอกาสได้สนทนากับท่านอาจารย์ ก็นำความสงสัยนั้นมากราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ เพื่อ "ความเข้าใจ" (ไม่ใช่เพื่อต้องการ "คำตอบ") แม้การกราบเรียนสนทนาในเรื่องต่างๆ กับท่านอาจารย์ก็เช่นกัน บางท่านก็ตั้งหัวข้อมาจากบ้านว่าวันนี้จะถามเรื่องนั้น วันนั้นจะถามเรื่องนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ก็มีเมตตาเตือนให้พิจารณาว่า การฟังและเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง คือ ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ไปคิดถึงเรื่องโน้น เรื่องนี้ (ซึ่งห้ามไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา แต่..เตือน...) เพราะเหตุว่า ท่านตั้งธงมาถาม ก็เล็งแต่จะถาม จะสนทนาในเรื่องที่ท่านตั้งธงมา แทนที่จะตั้งใจฟังและเข้าใจเรื่องราวที่กำลังสนทนา เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์ มีความประทับใจในคำกล่าวของท่านอาจารย์ ถึงความเป็นผู้ละเอียดและตรง (ต่อธรรม) การตั้งจิตไว้ชอบ ในการศึกษาพระธรรม ซึ่งข้าพเจ้าเก็บข้อความนั้นไว้ เพื่อเตือนตนเอง ซึ่งบัดนี้ แม้ไม่กลับไปอ่าน ก็จำคำที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ด้วยเมตตานั้น อย่างที่ว่า จรดเยื่อในกระดูก ซึ่งจะขออนุญาตนำความนั้นมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้พิจารณา ดังนี้...

"...ถ้าเป็นธรรมะจริงๆ คนที่เข้ามาสู่พระธรรม ถ้าเป็นผู้ตรง เข้ามาด้วยความนอบน้อมต่อการที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ...ว่าสิ่งใดไม่ดีก็จะละเว้นสิ่งนั้น...สิ่งใดดีก็จะประพฤติสิ่งนั้น...เท่าที่จะประพฤติได้ สั่งสมได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ “ตรงต่อธรรมะ” ไม่ได้เข้ามาโดยที่ว่า เราเรียนเก่ง เรารู้ธรรมะมาก เราจะไปเป็นครูอาจารย์ หรือเราจะได้ลาภ ได้สักการะ แม้แต่เพียงการชมเชย...ก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่เพื่อสิ่งนั้น ถ้าเพื่อสิ่งนั้นแล้ว...จะไม่ได้สาระจากพระธรรม แต่ว่าจะได้ความเมาในความรู้ ในความเก่ง หรืออาจจะในลาภ ในสักการะ แต่ว่าเป็นผู้ที่ศึกษาเพื่อประโยชน์จริงๆ เพราะเหตุว่า พระธรรม...ถ้าไม่ศึกษาก็สูญ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุเลย...แต่อยู่ที่ความเข้าใจของชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธไม่เข้าใจพระธรรม......สูญแน่นอน ไม่มีการที่จะดำรงสืบต่อไป มีพระไตรปิฎกจริง เปิดแล้วไม่รู้เรื่อง หรือว่าเข้าใจผิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่การสืบต่อพระศาสนา เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ มีความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย แม้แต่พระธรรม นอบน้อมโดยการศึกษา ด้วยการพิจารณาด้วยความละเอียดที่จะให้ไม่บิดเบือน ไม่เข้าใจผิดในพระธรรม เพราะถ้าเข้าใจผิด...จะผิดไปโดยตลอด..."

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น เป็นการสนทนาระหว่างท่านอาจารย์กับคุณเบญจมาศ สุขสำราญ ซึ่งท่านอาจารย์เมตตากล่าวย้ำถึงความหมายที่แท้จริงของการศึกษาพระธรรม และ ที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งมากอีกตอนหนึ่ง ก็คือท่านอาจารย์เมตตากล่าวถึงความหมายของพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นการกล่าวโดยละเอียด ไพเราะมากๆ ครับ

ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่เรียน ต้องไปสู่ที่ความเข้าใจว่า "ไม่ใช่เรา" จนกว่า เดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ปัญญาสามารถรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่พูดออกมาว่าไม่ใช่เรา เข้าใจความเป็นสิ่งนั้น จนความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หมดไปจากสิ่งนั้น นี่คือประโยชน์ของการฟัง ต้องรู้จุดประสงค์ ว่าเราฟังทำไม? เรามาฟังกันบ่อยๆ เดี๋ยวฟังที่โน่น เดี๋ยวฟังที่นี่ แต่...จุดประสงค์...เพื่ออะไร?

ต้องไม่ลืมว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่เคยหลงผิด ยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะถึงระดับขั้นที่ ขณะนี้ ปัญญาสามารถรู้ว่า ลักษณะนั้นไม่ใช่เรา แต่ไม่ต้องด้วยคำพูด!!! อย่างเห็นคุณเบญฯนี่ ไม่ต้องพูดอะไรเลย ยังรู้เลย เพราะฉะนั้น ขณะที่สภาพนั้นปรากฏ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิดถึงคำ แต่ความเข้าใจที่ค่อยๆ สะสม สามารถที่จะปรุงแต่ง จนกระทั่ง "ชินกับสิ่งนั้น" ในความเป็น "ไม่ใช่เรา" นี่คือประโยชน์ของการฟัง

เพราะฉะนั้น คำต่างๆ เรื่องต่างๆ ที่จะไปคิดจะตอบ จะถาม อะไรพวกนี้ ให้รู้ว่า เพื่อเข้าใจถูกต้อง ว่า "ไม่ใช่เรา" เป็น "ลักษณะของสภาพธรรม" ตึงก็มีจริงๆ แข็ง แข็งนั้นจะเป็นเราได้อย่างไร? แข็งก็ต้องเป็นแข็ง แข็งก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีแข็ง เกิดแล้วแข็งก็ต้องดับ แล้ว "เรา" อยู่ไหน? สิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่ามีหมดเลยเวลานี้ ไม่เหลือเลยเมื่อไหร่ เมื่อนั้น เป็นการเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะไม่เหลือจริงๆ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ มีจิตไหม?
คุณเบญจมาศ มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็น "ปฏิสนธิจิต" หรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร? และเป็นจิตอะไร? ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ทำไมไม่ใช่ปฏิสนธิจิต?
คุณเบญจมาศ ทำไมไม่ใช่ปฏิสนธิจิต....

ท่านอาจารย์ นี่คือการรอบรู้ในคำ แทงตลอดในคำที่ได้ฟัง แล้วเราจะไม่ลืม เพราะเป็นความเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่คือ "ปริยัติ" ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิบัติมีไม่ได้!!! อย่างไรก็ไม่ได้!!!
คุณเบญจมาศ จิตขณะนี้ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต เพราะไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต คือ อะไร?
คุณเบญจมาศ ปฏิสนธิจิต คือ อะไร? ปฏิสนธิจิต คือ จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ
ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร? กิจปฏิสนธิ "กิจ" อะไร?
คุณเบญจมาศ ที่ทำให้เกิด
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ กิจอะไรที่ใช้คำว่า "ปฏิสนธิ"?
คุณเบญจมาศ กิจ หรือ จิต
ท่านอาจารย์ กิจก็ได้ จิตก็ได้ เพราะเมื่อจิตนี้ทำกิจนี้ ก็คือจิตนี้แหละที่เป็น ปฏิสนธิจิต "กิจปฏิสนธิ" คือ กิจอะไร?
คุณเบญจมาศ หน้าที่ของเขาคือ....กิจของเขาคือ....กิจของเขาคือ....ทำให้เกิด

ท่านอาจารย์ เห็นไหม? เราต้องเรียน "ทีละคำ" จิตนั้นเกิดขึ้น ปฏิสนธิ ทำกิจนี้ใช่ไหม? กิจนี้คืออะไร? เรียกชื่อได้ เห็นไหม? พูดได้ แต่ว่า "ความเข้าใจ" สำคัญกว่า
คุณเบญจมาศ ทำกิจปฏิสนธิ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง (แต่) "กิจปฏิสนธิ" คือ กิจอะไร?
คุณเบญจมาศ คือ ปฏิสนธิจิต

ท่านอาจารย์ นี่ค่ะ อย่างนี้ เห็นไหม?....เพราะฉะนั้น การฟังและเข้าใจคำที่ได้ฟัง สำคัญที่สุด!!! ไม่อย่างนั้นเราก็ไปคิดของเราเองเยอะ แต่ถ้าเราฟังแล้วเราไม่ได้คิดของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจคำที่ได้ฟัง "ปฏิ" แปลว่า "เฉพาะ" , "สันธิ" แปลว่า "สืบต่อ" จิตนี้เกิดสืบต่อ เฉพาะเมื่อจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับ เขาจะไม่ไปเกิดเดี๋ยวนี้เลย อยู่ที่ไหนเลย เขาสืบต่อจากอะไรไม่ได้ นอกจากสืบต่อจากจุติจิต เท่านั้น!!! จึงชื่อว่า "เป็นจิตที่สืบต่อเฉพาะ" เฉพาะ ที่นี่ก็เข้าใจได้ว่า เฉพาะจุติจิตที่ดับไป จุติจิตดับไปแล้วจิตอื่นเกิดไม่ได้เลยทั้งสิ้น ต้องมีจิตเกิดสืบต่อ

เพราะฉะนั้น จิตนี้ ทำกิจเดียวในสังสารวัฏ ในชาตินี้ ชาติหนึ่งก็มีปฏิสนธิจิต หนึ่งขณะ เพราะว่าเป็นจิตขณะแรกที่เกิดสืบต่อจากจิตสุดท้ายของชาติก่อน คือ ปฏิ-สืบต่อ , สันธิ-เฉพาะ ขณะนั้น เพราะฉะนั้น จิตนี้จะเกิดอีกได้ไหม?

คุณเบญจมาศ ไม่ได้แล้ว
ท่านอาจารย์ จิตเห็นเกิดอีกได้ไหม?
คุณเบญจมาศ ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ จิตอื่นเกิดได้หมด เว้นจิตนี้ สืบต่อเฉพาะจุติจิตของชาติก่อน เท่านั้น แล้วไม่เกิดอีก ในชาตินั้น โดย อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย จิตอื่นเกิดไม่ได้ ต้องมีจิตเกิดสืบต่อจริง แต่ไม่ใช่กิจอื่น ต้องจิตนี้!!! เราถึงจะรู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้ที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต จะมีไหม? ชาตินี้!!! ก็ไม่มี

คุณเบญจมาศ ท่านอาจารย์ขา ทำไมเป็นอนันตร (ปัจจัย) ด้วย และสมนัน (ตรปัจจัย)
ท่านอาจารย์ อนันตร คือ อะไร?
คุณเบญจมาศ คือ การเกิดดับโดยไม่มีระหว่างคั่นของจิต
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เรารู้อยู่ใช่ไหมว่า จิตหนึ่งขณะดับ เกิดแล้ว ดับแน่นอน และการดับไปของจิตนั้นแหละ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีได้ หมายความว่า ไม่สืบต่อไม่ได้ ทันทีที่จิตขณะก่อนดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เราค่อยๆ เรียน ค่อยๆ เข้าใจว่า แล้วจิตอะไรที่เกิด ที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ เรียนเพื่อให้รู้ว่า ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ความจริงก็คือ จิต เจตสิก รูป ที่เป็นอย่างเดี๋ยวนี้เลย!!!

แต่เดี๋ยวนี้ สืบต่อมาจากจิตขณะแรกของชาตินี้ ต้องมีจิตนั้นก่อน แล้วก็เกิดขึ้นเพียงขณะเดียว ปฏิสนธิจิต เพราะฉะนั้น จิตอื่นนอกจากจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จะมาทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนได้ไหม? ไม่ได้!! ต้องเฉพาะจิตที่เกิดสืบต่อ ได้แก่จิต "ชาติ" อะไร? เห็นไหม? เราค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากคำที่เราได้ยินแล้ว ฟังธรรมะครั้งเดียวไม่พอ ฟังไม่พอจริงๆ จนกว่าจะเป็นความเข้าใจของเรา!!

เพราะฉะนั้น เมื่อมีจิตเกิดต่อแล้ว จิตอะไร? ที่จะเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ประเภทไหน? จิตประเภทไหน? นี่เป็นเหตุที่เราเรียน "ชาติของจิต" และจำไว้ได้เลย จิตทุกดวงต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใด เกิดเป็นกุศล หรือเกิดเป็นอกุศล หรือเกิดเป็นผล คือ วิบาก หรือเกิดเป็นกิริยา-ไม่ใช่ทั้งกุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่วิบาก แล้วใครจะรู้? ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้แล้ว เรากำลังฟังคำของพระพุทธเจ้า พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!! ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อเกิด เกิดก็ต้องมาจากชาติก่อนตาย นี่คือ ไม่ใช่เรา หมดเลย!!!

เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราก็ขยับไปได้ ใช่ไหม? ว่าจิตอะไร? ที่ทำปฏิสนธิกิจ สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ชาตินี้มีจุติแน่ พอจุติจิต ก็จะมีจิตที่เกิดสืบต่อ ทำกิจปฏิสนธิชาติต่อไป เริ่มเป็นขณะแรก เพราะฉะนั้น จิตอะไร? ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน

คุณเบญจมาศ ปฏิสนธิจิต
ท่านอาจารย์ ชาติอะไร?
คุณเบญจมาศ ชาติวิบากค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม? ตอบอย่างนี้เราตอบได้ แต่ถ้าตอบได้ (จริงๆ ) ถามอะไรต้องตอบได้หมด แต่ถ้า ถามตรงนี้ตอบได้ แต่ตรงอื่นไม่ได้ ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของเราจึงต้องมั่นคงจริงๆ ว่าทำไมจึงต้องเป็นวิบากจิต ที่ทำกิจปฏิสนธิต่อจากจุติจิตของชาติก่อน

คุณเบญจมาศ เพราะเป็นผลของกรรม

ท่านอาจารย์ นั่นสิ ทำไมถึงต้องเป็นผลของกรรม ทำไมจึงต้องเป็นวิบากจิต วิบากจิต คือ อะไร?
คุณเบญจมาศ วิบากจิต เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่?
คุณเบญจมาศ ชาติก่อนๆ
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ที่ได้กระทำแล้ว แต่ยังไม่ใช่ชาตินี้ เพราะปฏิสนธิเพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก ต้องเป็นผลของอดีตกรรม เดี๋ยวนี้ กำลังเห็นนี่ รู้ไหม? เข้าใจ "เห็น" ไหม?
คุณเบญจมาศ ไม่เข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจ เพราะ อวิชชา หาตัว "อวิชชา" เจอหรือยัง? เดี๋ยวนี้!! ไม่รู้ อวิชชานี่ ไม่รู้เลย กำลังเห็นก็ไม่รู้ กำลังได้ยินก็ไม่รู้ กำลังคิดนึกก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พอใครพูดเรื่องอวิชชา เขาก็พูดกันไป แต่เราสามารถจะรู้ว่า อวิชชาเมื่อไหร่? ก็ "เห็น" เดี๋ยวนี้ พอเห็นแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้จะเอาตัวไม่รู้ไปไม่รู้อะไร!! เอา "ตัวไม่รู้" ไปไม่รู้อะไร ก็ต้องไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ!!!

เพราะฉะนั้น เราก็เริ่มได้เลย จะโดยนัยของปฏิจจสมุปปาทหรืออะไร เมื่อ "เข้าใจ" อย่างเดียว!!! แต่ถ้าศึกษาโดยความไม่เข้าใจจริงๆ ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ก็เป็น "เรื่องราว" หมด!!! เปิดตำราก็เจอทั้งนั้น!! "อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร"

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อวิชชา-ความไม่รู้ มีใช่ไหม? เดี๋ยวนี้มีไหม?
คุณเบญจมาศ มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ชาติก่อนมีไหม?
คุณเบญจมาศ มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ชาติโน้นๆ มีไหม?
คุณเบญจมาศ มีแน่นอนค่ะ
ท่านอาจารย์ มี มีจริง อวิชชาไม่รู้อะไรบ้าง?
คุณเบญจมาศ ไม่รู้ทุกอย่างที่ยังไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ที่ปรากฏ ก็ยังไม่รู้!!! เพราะฉะนั้น รู้แล้ว นี่ไม่ใช่เรา ความไม่รู้มากเท่าไหร่? นานแสนนานก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มี...มีทั้งชาติ ก็ไม่รู้!!! หนึ่งชาติแล้ว!!! อวิชชาไม่รู้อะไรเลย!!! ชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้เลย!!! มากแค่ไหน?

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ ฟัง "เพื่อเข้าใจ" จนกว่าจะรู้!!! ไม่ใช่ให้ต้องไปนั่งจำอะไรเลย!!! เวลาเข้าใจแล้ว มีหรือ? ที่จะไม่จำ!!!

ท่านอาจารย์ "สภาพธรรมะ" ที่ "จำ" มีใช่ไหม?
คุณเบญจมาศ มีค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ รู้ไหม?
คุณเบญจมาศ ไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อวิชชาไม่รู้อะไร? ไม่รู้ว่า "จำ" มี เห็นไหม? แค่นี้ อวิชชามหาศาลแล้วใช่ไหม? กำลังมีแท้ๆ ก็ไม่รู้ มีแน่ๆ แต่ไม่รู้เลย ในสิ่งที่มี ที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เคยได้ยินแต่คำว่า "อวิชชา" แต่หา "ตัว อวิชชา" เจอหรือยัง? ว่าเมื่อไหร่? อวิชชาเกิดหรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ เกิดค่ะ

(ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำอาหารคาวหวานแสนอร่อย มาร่วมเจริญกุศล ครับ)

ท่านอาจารย์ เห็นไหม? อย่างนี้ ถึงจะเป็นการเข้าใจธรรมะที่มั่นคง ถ้ามีอวิชชา แต่อวิชชาไม่เกิดแล้วจะมีได้ไหม? ก็ไม่ได้!! กว่าเราจะฟัง จนกระทั่งเรา "เข้าใจ" ในความ "ไม่ใช่เรา" ไม่ใช่ไปจำทั้งเรื่องมาว่า ไม่ใช่เรา จนกว่าจะเข้าใจระดับนี้ จนไปถึงระดับสติสัมปชัญญะ จนระดับถึงปฏิเวธ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า "แทงตลอดในปริยัติ" ทรงธรรมะ!! ไม่ใช่ฟังแล้วลืมหมดเลย ใช่ไหม? ฟังแล้วเหมือนเข้าใจ แต่จำทั้งนั้น!!!

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้แต่อวิชชา มี เดี๋ยวนี้มีไหม? มี อวิชชาเกิดหรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ เกิด
ท่านอาจารย์ อวิชชาดับหรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ ดับค่ะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ อวิชชา เป็น จิต หรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ อวิชชาไม่ใช่จิตค่ะ เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก เราต้องชัดเจน!!! ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อจิตนั้นประกอบด้วยเจตสิกประเภทไหนก็เรียกจิตนั้น เพราะว่าจิตหลากหลายมาก ไม่รู้จะบอกกันอย่างไร ทั้งเกิด ทั้งดับ อยู่ตลอดเวลา ก็เรียกจิตที่มีเจตสิกนั้น ตามประเภทของเจตสิกนั้น "โมหะมูลจิต" เห็นไหม? เราไม่ต้องไปนั่งเรียนตามตำรา แต่เรารู้จักจิต รู้จักเจตสิก และพอได้ยินคำว่า โมหะมูลจิต เราก็รู้ว่า จิตนี้มี "โมหะ" เป็นมูล เกิดขึ้นแล้ว ลักษณะของจิตไม่ปรากฏ โมหะก็ไม่ปรากฏ อะไรก็ไม่ปรากฏ เพราะไม่ใช่ปัญญาระดับที่รู้ลักษณะนั้น เพียงแต่เป็นปัญญาที่ ค่อยๆ ฟัง-เข้าใจ ว่าไม่ใช่เรา!!!

คุณเบญจมาศ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แม้ความไม่รู้มีจริงๆ ก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ ต้องมีสิ่งที่มีแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น "สภาพที่ไม่รู้" เกิดขึ้น
คุณเบญมาศ แล้วเราจะรู้ จะเจอ "ตัวอวิชชา" นี้ได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ "เรา" มีไหม?
คุณเบญจมาศ ไม่มีเราค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วอะไรรู้?
คุณเบญจมาศ จิต
ท่านอาจารย์ "จิต" เป็นสภาพที่ "รู้อารมณ์" เท่านั้น!
คุณเบญจมาศ ปัญญา ปัญญา ปัญญา
ท่านอาจารย์ "ปัญญา" แสดงให้เห็นว่า เรามีปัญญาที่จะรู้หรือยัง? นี่ชัดเจน ว่าในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด เริ่มเห็นคุณค่า เพราะว่า ถ้า "รู้นิดเดียว" เป็นปัญญา เพราะฉะนั้น รู้นิดเดียว กับที่ไม่รู้มากมายมหาศาล เทียบสิ!! ว่าเราอยู่ประเภทไหน? ไม่รู้ระดับไหน?

เพราะฉะนั้น การที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วเข้าใจธรรมะนี่ คุ้มค่าไหม? ต่อการที่จะได้เข้าใจจริงๆ แม้แต่ "หนึ่ง" ทั้งหมดไปอยู่ที่ "เดี๋ยวนี้" เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!!! เราจะเรียกคำว่า "จิต" แล้วก็ท่องว่าจิตมีเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้มีจิตแน่ แต่ต้องรู้ว่ามีสภาพรู้เพราะอะไร? มีสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มี "ธาตุรู้" สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะปรากฏได้อย่างไร?

คุณเบญจมาศ ท่านอาจารย์ขา ถ้าอย่างนั้นที่เราไปเรียน ไปมีความเพียร ไปเรียน ไปอ่าน ไปอะไรอย่างนั้น ก็...
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่า เรียนทำไม? และ เรียนอะไร? แล้ว เรียนเพื่ออะไร? ถ้าเราเรียนธรรมะ แล้วไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ชื่อว่าเราเรียนธรรมะหรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ ถ้าอย่างนั้น ที่ไปเรียนๆ ไว้ จำไว้เยอะๆ ก็ไม่ได้เป็นความ...
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจถูกต้อง มีความเข้าใจตั้งแต่ต้น ว่าทั้งหมดเป็นธรรมะ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมาทไม่ได้เลย!!! แต่ละคำ ละเอียดลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น ธรรมะมีมาก เป็นประโยชน์ แต่ยังไม่รู้ ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะกล่าวว่าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราพึ่งเมื่อไหร่? ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมะ ไม่ได้พึ่งเลย!!!

คุณเบญจมาศ เราจะพึ่งอะไรคะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งใช่ไหม? ไหนลองพูดถึงสามรัตนตรัย อะไรบ้าง?
คุณเบญจมาศ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ท่านอาจารย์ แล้วเราพึ่งพระพุทธเจ้าหรือเปล่า? ทุกวันนี้
คุณเบญจมาศ พึ่งค่ะ
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่?
คุณเบญจมาศ เมื่อเราเข้าใจธรรมะที่ทรงตรัสรู้
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเราไม่ฟังเลย เราพึ่งพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?
คุณเบญจมาศ ไม่พึ่งค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่พึ่งเลย เรารู้ดีไปหมดเลย ไม่ต้องพึ่ง อย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย เพียงคำว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ แค่นี้ เราเริ่มรู้สึกตัวหรือยัง? ว่าเราต้องพึ่งคนรู้!!! คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! อย่างไรๆ ก็รู้ไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ประมวลไว้เป็นส่วนๆ พระวินัยส่วนหนึ่ง พระสูตรส่วนหนึ่ง พระอภิธรรมส่วนหนึ่ง เป็นคำที่ตรัสจากพระโอษฐ์ ลองคิดดู แล้วเราสามารถจะไปเข้าใจคำของผู้ที่บำเพ็ญบารมีถึง สี่อสงไขแสนกัป เพื่อที่จะรู้ความจริง เห็นความลึกซึ้ง แล้วแสดงธรรมให้คนอื่นได้ฟัง แต่ละหนึ่งคำ ตลอด ๔๕ พรรษา

เพราะฉะนั้น เราพึ่งพระพุทธเจ้า คือ ฟัง ฟังแล้วจึงรู้ว่า ธรรมะอะไร เป็นธรรมรัตนะ เห็นไหม? พึ่งพระพุทธเจ้า โดย ฟังคำของพระองค์ เมื่อฟังแล้ว จึงเข้าใจถูก รู้ว่า ธรรมะอะไร เป็นธรรมรัตนะ!!! อกุศล เป็นธรรมรัตนะหรือเปล่า? ประเสริฐไหม? เป็นรัตนะหรือเปล่า?

คุณเบญจมาศ ไม่ค่ะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราเริ่มเข้าใจถูกต้อง แล้วอะไร? เป็นธรรมรัตนะ? ถ้าโดยศัพท์เขาจะใช้คำว่า โพธิปักขิยธรรม หมายความว่า ธรรมะที่จะทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็คือ "ปัญญา" ที่สามารถเข้าใจ สิ่งที่ได้ฟัง ตามลำดับขั้น โพธิปักขิยธรรม สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพละ เป็นอินทรีย์ เป็นโพชฌงค์ มีหมด ตัวอักษร!!!! เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ!!! ท่องได้ไหม? ได้!! จำได้ไหม? จำ!! พูดได้ไหม? ได้!! แปลได้ไหม? ได้!! แต่ไม่เข้าใจ!!!! เพราะฉะนั้น เป็นที่พึ่งหรือเปล่า?

ทุกคำ ละเอียดมากๆ กว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าถึงความเข้าใจที่ถูกต้อง ในแต่ละคำที่ได้ฟัง ไม่ใช่จำ ไม่ใช่อ่าน ไม่ใช่พูดตาม แต่ "เข้าใจ" เพราะฉะนั้น อกุศล ไม่เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ธรรมรัตนะ

คุณเบญจมาศ เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่เรามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ต้องหมายความว่าเราเข้าใจธรรมะ

ท่านอาจารย์ ว่าธรรมะใดเป็นที่พึ่ง โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแสดงให้เข้าใจถูกต้อง ว่าธรรมะใดเป็นที่พึ่ง ธรรมะใดไม่ใช่เป็นที่พึ่ง

เพราะฉะนั้น รู้จักพระพุทธรัตนะ ฟังแล้วจึงได้เข้าใจธรรมรัตนะ ไม่ใช่เข้าใจเฉยๆ ประพฤติปฏิบัติตาม จนเป็นสังฆรัตนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีพระอริยสงฆ์ ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้น สังฆรัตนะในที่นี้ ไม่ใช่พระภิกษุรูปหนึ่งรูปใด แต่เป็นผู้ที่เป็นบรรพชิต ขัดเกลากิเลส ดับกิเลส จึงเป็นสังฆรัตนะ ยังไม่เป็นรัตนะเลย จนกว่าจะดับกิเลสได้!!

คุณเบญจมาศ ถึงจะโกนหัวแล้ว ห่มผ้าเหลืองแล้ว นี่ยังไม่ได้เป็นพระสังฆรัตนะ
ท่านอาจารย์ เป็นไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เป็นรัตนะ ปัญญาไม่มี!!!
คุณเบญจมาศ แล้วผ้าเหลืองที่ห่มอยู่กับโกนหัว
ท่านอาจารย์ โกนทำไม? บวชทำไม? ต้องรู้จุดประสงค์
คุณเบญจมาศ เพราะฉะนั้น ที่จะเป็นสังฆรัตนะได้
ท่านอาจารย์ พระอริยบุคคลเท่านั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย เพศไหนทั้งสิ้น อายุอานามเท่าไหร่ เด็กเล็กอย่างไร ความเป็นรัตนะคือความเป็นผู้ที่ดับกิเลส ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ใช่พระพุทธแต่เป็นพระสงฆ์ แต่เป็นรัตนะ จากปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้
คุณเบญจมาศ เพราะฉะนั้น ใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้ามีความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ปัญญา ที่เป็นโลกุตตร จึงดับกิเลสได้ ปัญญาอย่างนี้ ดับกิเลสไม่ได้!!

คุณเบญจมาศ เพราะฉะนั้นที่เรากราบพระ พอเรากราบพระสงฆ์ เราจะนึกถึงแต่...อันนั้นไม่ใช่อยู่ในรัตนะ

ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักพระสงฆ์!! บ่งชัดเลย สังฆรัตนะ ได้แก่พระอริยบุคคล ๘
คุณเบญจมาศ เพราะเราเรียกกันพระสงฆ์ พระสงฆ์ เราไม่เรียกพระภิกษุ
ท่านอาจารย์ เราเรียกผิด สงฆ์หรือสังฆ แปลว่า หมู่ หมู่ของคน หมู่ของเทพ หมู่ของอะไรก็แล้วแต่ แปลว่า "หมู่" เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เจาะจงรูปหนึ่งรูปใด แต่ถ้าไม่มีรูปหนึ่งรูปใดรวมกัน จะเป็นหมู่ได้ไหม? ก็ไม่ได้ แต่ไม่ใช่เอาคนอื่นมาเป็น ต้องเป็นพระอริยบุคคล เท่านั้น

คุณเบญจมาศ เพราะฉะนั้น สังฆรัตนะนี้ ไม่เจาะจงใช่ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่เจาะจงเลย พระทัพพมัลลบุตรเป็นพระอรหันต์เมื่ออายุ ๗ ขวบ
คุณเบญจมาศ ๗ ขวบก็เป็นสังฆรัตนะได้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีใคร เป็น "ธาตุ" ธาตุที่เป็นสังฆรัตนะ ใครล่ะ ก็เป็นธาตุแต่ละธาตุ ธาตุที่เป็นสังฆรัตนะ ธาตุที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธาตุที่เป็นธรรมรัตนะ ทั้งหมดเป็นธาตุ ไม่มีเรา!!! ถ้ามีเรา ก็ยังไม่เป็นรัตนะ!!!

(ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณนภา จันทรางศุ เจ้าภาพอาหารกลางวัน วันเดินทางกลับ คุณพิมพา ผลศรัทธา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เพชรบุรี สำหรับขนมหวานทำเองอร่อยมากๆ เป็นของฝากทุกๆ คนกลับบ้าน ครับ)

เห็นไหม? การฟังธรรมะเผินไม่ได้เลย ไม่ต้องไปฟังเยอะ ขอให้เข้าใจ คำที่ได้ฟัง สนทนา ไต่ถาม เพื่อเข้าใจชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น ในคำที่ได้ฟัง ถ้าฟังแล้วเข้าใจ จะลืมไหม? ก็ไม่ลืม แล้วก็สามารถที่จะแทงตลอด และสามารถที่จะรู้จริงๆ ในคำนั้น ใช้คำว่า "รอบรู้" ในคำนั้น อย่าง "ธรรมะ" คำเดียว ไปถึง "ธรรมรัตนะ" จาก "รอบรู้" ว่า ธรรมะคืออะไร

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา โกมลกิติ และครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมกระทู้สนทนาธรรมในครั้งก่อนๆ ได้ที่นี่...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๙-๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๒๒-๒๔ กันยายน ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 14 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 14 ก.ย. 2559

ธรรมเป็นเรื่องละเอียด...ท่านอาจารย์สนทนาธรรมถึงความละเอียด ลึกซี้ง ของธรรมตลอด...ยิ่งฟังยิ่งละเอียด ยิ่งลึกซึ้ง...แต่ทั้งหมดที่ฟังที่เข้าใจจะละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน ก็ตามกำลังของปัญญาของผู้นั้นๆ เอง หาใช่ไปเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ ก็หาไม่...เข้าใจเลยว่า ยิ่งฟังมากยิ่งเห็นถึงความไม่รู้นั้นมากมายมหาศาล...เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการฟังว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว...สมควรที่ต้องฟังต่อๆ ไปจนกว่าจะจรดเยื่อในกระดูก....

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

กราบอนุโมทนาพี่จูและครอบครัวทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ที่เรียบเรียงข้อธรรมเพื่อตอกย้ำความเข้าใจยิ่งขึ้นๆ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 14 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wirat.k
วันที่ 14 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 15 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 15 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งามค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แก่นไม้หอม
วันที่ 15 ก.ย. 2559

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง.

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา โกมลกิติและครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 15 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ย. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา โกมลกิติ และครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นิคม
วันที่ 15 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 ก.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
swanjariya
วันที่ 18 ก.ย. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอนอนุโมทนากับคุณกุสุมา โกมลกิติ ครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณนภา จันทรางศุ คุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Boonyavee
วันที่ 18 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
apiwit
วันที่ 23 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wannee.s
วันที่ 24 ก.ย. 2559

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ