สภาพรู้ ธาตุรู้

 
hetingsong
วันที่  27 ส.ค. 2559
หมายเลข  28135
อ่าน  1,081

ขอเรียนถามว่า

-สภาพรู้ธาตุรู้ เป็น สติสัมปัชชัญญะ ใช่หรือไม่

-ทางมโนทวารวิถี สามารถเกิดสติสัมปัชชัญญะหรือไม่เช่นขณะฝัน เห็นสภาพธรรมที่เกิดดับของนามธาตุ

- ลักษณะของสติสัมปัชชัญญะเมื่อเกิด ต้องเกิดตลอดเวลาหรือไม่ หรือเพียงชั่วขณะที่รู้ลักษณะตามความเป็นจริง

ขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับ

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องมีความเข้าใจในคำนั้นๆ ให้ชัดเจนจริงๆ ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวถึง สติ กับ สัมปชัญญะ ต่างก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม สติ เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล เกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภทไม่มีเว้น ส่วนสัมปชัญญะ เป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญา เป็นความไม่หลง เป็นความรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง (ปัญญาเจตสิก) สติสัมปชัญญะ มักจะเป็นคำที่ใช้คู่กัน โดยจะใช้ในเรื่องของการอบรมเจริญภาวนา ๒ อย่าง คือ การอบรมเจริญความสงบของจิต ที่เป็นสมถภาวนา และ การอบรมปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่เป็นวิปัสสนาภาวนา หรือ สติปัฏฐาน เพราะตามความเป็นจริงแล้ว สติเกิด โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ แต่เมื่อสัมปชัญญะเกิดก็จะต้องมีสติเกิดร่วมด้วยเสมอ

-สภาพรู้ธาตุรู้ เป็น สติสัมปัชชัญญะ ใช่หรือไม่

สภาพรู้ ธาตุรู้ คือ จิต เจตสิก กินความหมายกว้าง เพราะ เจตสิก มี 52 เป็นธาตุรู้ทั้งหมด สติเป็นสติเจตสิก สัมปชัญญะ เป็นปัญญาหรืออโมหเจตสิก เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะ เป็นธาตุรู้ แต่ สภาพรู้ ธาตุรู้ ไม่ใช่ สติสัมปชัญญะ เพราะ ยังมีสภาพธรรมอื่นๆ ที่เป็นธาตุ รู้ สภาพรู้ ครับ

-ทางมโนทวารวิถี สามารถเกิดสติสัมปัชชัญญะหรือไม่เช่นขณะฝัน เห็นสภาพธรรมที่เกิดดับของนามธาตุ

ได้ ครับ

- ลักษณะของสติสัมปัชชัญญะเมื่อเกิด ต้องเกิดตลอดเวลาหรือไม่ หรือเพียงชั่วขณะที่รู้ลักษณะตามความเป็นจริง

แล้วแต่ปัญญาของแต่ละบุคคล ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้รู้ตามความเป็นจริงด้วย สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด สิ่งที่มีจริง เมื่อประมวลแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม

นามธรรม มี ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ น้อมไปรู้อารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้) ตรงกับที่กล่าวถึง คือ เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ รู้โดยกิจหน้าที่ของตนๆ ได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และเจตสิก (ธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) นอกจากนั้นก็มีนามธรรมอีกประเภทหนึ่ง แต่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ พระนิพพาน นี้คือ กล่าวในส่วนที่เป็นนามธรรม ธรรมที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ รูปธรรม เป็นธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร แต่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน

ถ้ากล่าวถึง ปัญญาแล้ว ก็เป็นหนึ่งในสภาพรู้ ธาตุรู้ แต่รู้ โดยกิจหน้าที่ที่เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก

ผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถที่สติสัมปชัญญะจะเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ซึ่งเป็นไปได้ แม้ในขณะที่ฝัน สติสัมปชัญญะก็สามารถระลึกรู้ได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ เรา

สติสัมปชัญญะ แต่ไม่ได้เกิดตลอด เพราะเหตุว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็เพียงชั่วขณะที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น และที่สำคัญ สะสมอกุศลมามาก อกุศลจึงเกิดขึ้นเป็นไปมากในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 1 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 3 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sea
วันที่ 18 พ.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ