ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๔

 
khampan.a
วันที่  3 ก.ค. 2559
หมายเลข  27948
อ่าน  3,343

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๔

~ บรรพชิตต้องไม่ใช่คฤหัสถ์ บรรพชิตจะทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าได้สละชีวิตทั้งหมดที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นต้องศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระวินัย ถ้าพระภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมแต่คิดจะทำอย่างอื่นและไม่ประพฤติตามพระวินัย เช่น จะรับเงินและทอง คนนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุ

~ ต้องรู้ว่า บวชคืออะไร (เว้นจากความชั่วทุกอย่างออกไปจากความเป็นคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง) และต้องตรงต่อความประสงค์ด้วยที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งจะต้องประพฤติตามพระวินัยบัญญัติ ถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัยบัญญัติไม่ใช่พระภิกษุแน่นอน

~ คฤหัสถ์กราบไหว้พระภิกษุ ในกุศลจิตของท่านที่มั่นคงที่จะศึกษา (พระธรรม) ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นผู้ที่ต่างจากคฤหัสถ์โดยประการทั้งปวงทำมาหากินไม่ได้ จะไปทำอย่างอื่นเรียนวิชาชีพอะไรๆ ก็ไม่ได้ นอกจาก (ศึกษา) พระธรรมและพระวินัยมีชีวิตอย่างสงบ

~ ถ้าภิกษุอยากจะทำกิจของคฤหัสถ์ ลาสิกขา (สึก) ทำได้ทุกอย่างเพราะคฤหัสถ์ ต้องเป็นคฤหัสถ์ บรรพชิตต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่ว่าบรรพชิตจะมาทำกิจของคฤหัสถ์

~ ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดี ก็จะเป็นผู้ทุศีล ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดี ก็จะมีความเห็นผิด ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดี ก็ฟุ้งซ่าน คิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ซึ่งไม่มีอยู่เดี๋ยวนี้

~ ผู้ใดเข้าใจธรรม ผู้นั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำของพระองค์สักคำ เราจะไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย

~ ต้องตรงตั้งแต่คำแรก คือ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ต้องสอดคล้องกัน ถ้าตัวตนจะไปปฏิบัติ คือ ไม่สอดคล้องกับธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ผิด ตั้งแต่ต้น

~ แม้ว่าจะให้ทานแก่ภิกษุผู้ผู้ทุศีลแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เปรต เปรตไม่ได้รับ ไม่อนุโมทนา ไม่เกิดกุศลจิตที่จะอนุโมทนา แต่ว่าถ้าเป็นบุคคลผู้ทรงศีล เป็นพระสาวกของพระสัมมสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระภิกษุสงฆ์ที่จะถวายทานอุทิศให้ การให้กับอุบาสกผู้มีศีล ผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ เปรตนั้นก็จะได้รับอุทิศส่วนกุศลด้วย

~ ภิกษุที่เป็นอยู่ (ด้วยความประมาท) อย่างนี้ เหมือนเปรต เพราะเป็นอยู่ได้ด้วยอาหารที่ได้มาจากบุคคลอื่นที่ขอมาสำหรับประทังชีวิต หรือเพียงแต่ดับความกระวนกระวายทุกขเวทนาของร่างกายเท่านั้น แต่ว่าไม่เป็นผู้ที่เจริญสมณธรรม (ธรรมที่ทำให้ถึงความเป็นผู้สงบจากอกุศล) แล้วก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ความเป็นอยู่ของภิกษุเหล่านั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเปรต

~ เป็นความจริง เรื่องของการที่จะต้องจาก เรื่องของการที่จะพลัดพรากไปหมดสิ้นด้วยความตาย ในชีวิตนี้ขณะนี้ ท่านก็พอจะระลึกได้ว่า ผู้เป็นที่รักเหล่านั้น ใครจากพรากไปบ้างแล้ว แล้วก็หายไปไหน ไม่เหลือเลย เหลือแต่เยื่อใย หรือว่าความผูกพัน ซึ่งก็จะเป็นความผูกพัน เป็นความติดข้อง เป็นโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง เรื่อยๆ



~ ถ้าเป็นความเห็นผิดเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้กาย วาจาผิด ถ้าเป็นความเห็นถูก ก็เป็นปัจจัย ให้กาย วาจาประพฤติในทางที่ถูก

~ ธรรมทั้งหมดหลั่งไหลจากพระผู้มีพระภาค โดยทรงแสดงแก่พุทธบริษัท ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจพระธรรม ก็รู้ว่าพระธรรมนั้นมาจากไหน ที่ใดเป็นกายของพระธรรม คือ ที่ประชุมของพระธรรม ก็ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม ประโยชน์ที่ได้รับก็คือความเข้าใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ ทรัพย์ที่ทุกท่านมีอยู่จะถือเอาไปโลกอื่นได้ไหม? ถ้าไม่รู้วิธี ก็เอาไปไม่ได้เลย แต่ว่าถ้ารู้วิธี ก็สามารถที่จะเอาไปได้ด้วย คือด้วยวิธีบำเพ็ญบุญกุศล

~ อธิษฐานบารมี การตั้งใจมั่นในกุศล ไม่เปลี่ยนใจไปตามกิเลส ซึ่งถ้าจะสังเกตดูในวันหนึ่ง บางทีคิดเรื่องกุศล แต่อกุศลทำให้เปลี่ยนใจอยู่ได้ บางครั้งก็บ่อยๆ หรือเรื่อยๆ เคยมีไหมที่ตั้งใจว่า จะทำกุศล อาจจะเป็นการฟังธรรม หรือการเกื้อกูลสงเคราะห์ อนุเคราะห์บุคคลอื่น แต่พอมีอกุศลเกิดขึ้นแทรกแซง ทำให้เปลี่ยนใจไปตามอกุศลนั้นอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องกุศลที่คิดไว้ หรือว่าตั้งใจไว้แล้ว เพราะฉะนั้น อธิษฐานบารมี คือ การตั้งใจมั่นในกุศล ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ปัญญายังไม่คมกล้า ก็ไม่สามารถจะสู้กับกิเลสอกุศลได้

~ เป็นธรรมทุกขณะ อย่าลืม ไม่มีขณะไหนเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรม หลายท่านทีเดียวอยากจะพบธรรม อยากจะเห็นธรรม แสวงหาธรรม แต่ว่าธรรมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ กำลังปรากฏทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาธรรมเลย เพราะธรรมกำลังปรากฏอยู่แล้ว จะรู้ธรรม ก็รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จะเห็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าที่ไหน

~ ความต้องการในทรัพย์ มีขีดขั้นพอไหม ได้มาแล้วก็ยังไม่พออีก จนกระทั่งว่าผู้ที่เต็มไปด้วยความยินดี ความต้องการในทรัพย์สมบัตินั้น ถึงแม้ว่าจะได้ครองโลก คือพื้นแผ่นดินทั้งสิ้นที่เต็มไปด้วยทรัพย์นี้ แล้วเป็นของบุคคลนั้นเพียงคนเดียว ไม่มีคนอื่นครอบครอง ก็ยังไม่หมดความปรารถนา ยังไม่หมดความต้องการ บุคคลนั้นก็ยังต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไปทั้งๆ ที่ยังพอใจอยู่ แล้วก็ได้ครองทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะครอบครองได้ตลอดไป ก็จะต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไป

~ สุคติและทุคติในสังสารวัฏฏ์ เป็นที่พักชั่วคราว นี่ก็เป็นความจริง เพราะคงจะไม่มีท่านผู้ใดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปในโลกนี้ ทุกภพ ทุกภูมิ แล้วแต่ว่าจะอยู่มาก อยู่น้อย อยู่นาน อยู่เร็ว ก็เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น

~ เดินไปด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ เดินไปด้วยความปรารถนา ความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เดินไปด้วยโทสะที่จะเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน ประเสริฐไหมเดินอย่างนั้น? เดินอยู่เรื่อยทุกวัน ถ้าจะเป็นผู้ที่ประเสริฐ ก็คือ ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) เพื่อจะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

~ เป็นไท (อิสระ) หรือยัง หรือว่ายังเป็นทาสของกิเลส ยังเป็นไปตามความยินดียินร้าย ต่างๆ เพราะฉะนั้น ที่จะเป็นไท เป็นอิสระพ้นได้จากอำนาจของกิเลสที่จะไม่หวั่นไหวไป ก็ต้องเป็นไทโดยลำดับ คือจากการที่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง นี่คือความเป็นไทเป็นอิสระขั้นแรก ไม่อย่างนั้นไม่มีหนทางเลยที่จะเป็นอิสระ

~ ความเป็นผู้ตรง คือ ตรงต่อความถูกต้อง

~ ให้โทษหรือเปล่า ถ้าเราจะกล่าวถึงพระธรรมวินัย ตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง ตามความถูกต้อง?

~ ไม่มีอะรไที่จะบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว

~ ถ้าเราทำความดี กลัวอะไร คนอื่นจะติเตียนเรื่องของเขา คนอื่นไม่ชอบ ก็เรื่องของเขา คนอื่นจะคิดอย่างไร เรื่องของเขา แต่สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์หรือเปล่า ถ้าเป็นประโยชน์ควรทำไหม? ถ้าเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ ก็ควรทำ

~ ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นโทษ โลภะ รัก เป็นโทษไหม โทสะ ชัง เป็นโทษไหม โมหะ ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เป็นโทษไหม ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดี ต้องไม่ดี ไม่ว่าใครทั้งสิ้น

~ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง กิจทั้งปวง คือ กุศล

~ ชาวพุทธคือผู้ได้ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ฟังธรรมทุกคำด้วยความเข้าใจขึ้น

~ สิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ เข้าใจความจริง

~ ฟังพระธรรมจนตลอดชีวิต จนกว่าจะเข้าใจขึ้น

~ ผิดไหม พาคนไปทำสิ่งที่ไม่รู้? ผิด

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียดยิ่งเพื่อให้พ้นจากอกุศล กิเลสมากๆ สะสมมาแสนโกฏิกัปป์ถ้าจะเปรียบเทียบทั้งจักรวาลก็ไม่มีที่จะบรรจุ แล้วการขัดเกลาก็ต้องขัดเกลาด้วยความรู้ความเข้าใจ

~ คนที่กล่าวว่า "ยุคสมัยเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นพระภิกษุต้องรับเงินทอง มิฉะนั้นท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร" เขาเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ผู้ทรงบัญญัติสิกขาบท ซึ่งคำใดที่ตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ ที่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ นั้น คือ เป็นไปตามความเป็นจริง

~ คฤหัสถ์ ดูแลพระภิกษุได้ ตามสมควร แต่ไม่ใช่ให้เงินแก่พระภิกษุ

~ ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง

~ ฟังธรรม เข้าใจธรรม ละคลายอกุศล

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
napachant
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
rrebs10576
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 3 ก.ค. 2559

~ ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง

~ ฟังธรรม เข้าใจธรรม ละคลายอกุศล.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 3 ก.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Boonyavee
วันที่ 3 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pulit
วันที่ 4 ก.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 4 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 4 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 5 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
siraya
วันที่ 6 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 7 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เจียมจิต
วันที่ 14 มี.ค. 2561

กราบขอบคุณค่ะและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
มังกรทอง
วันที่ 15 มี.ค. 2565

เป็นธรรมทุกขณะ อย่าลืม ไม่มีขณะไหนเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรม หลายท่านทีเดียวอยากจะพบธรรม อยากจะเห็นธรรม แสวงหาธรรม แต่ว่าธรรมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ กำลังปรากฏทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาธรรมเลย เพราะธรรมกำลังปรากฏอยู่แล้ว จะรู้ธรรม ก็รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จะเห็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าที่ไหน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 15 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ