มีแต่ จิต เจตสิก รูป

 
JYS
วันที่  29 เม.ย. 2559
หมายเลข  27731
อ่าน  1,056

ฉะนั้นไอ้ตัวที่เกิดๆ ดับๆ ตลอดเวลา ก็เป็นตัวในตัวของมันเอง จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป โลก จักรวาล สรรพสิ่ง (สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย) กับ สิ่งที่รู้ คือ จิต เจตสิก เกิดดับตลอดเวลา ก็มีแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ทีละขณะ ทีละขณะ สมมติมีคนๆ หนึ่ง เกิดมีจิตที่เป็นอกุศล โทสเจตสิก เกิดขึ้น ขณะนั้นคนๆ นั้นย่อมไม่มีไม่ปรากฏ (แต่ความเป็นจริงสัตว์บุคคลไม่มีอยู่แล้ว) แต่เป็นโทสเจตสิกที่เกิดขึ้น ขณะที่เป็นโลภะ ขณะที่เป็นโมหะ ก็เกิดขึ้นไปตามไปแต่ละสภาพธรรมนั้นๆ ฉะนั้นก็ทีละหนึ่ง ทีละขณะจริงๆ คนที่ ๑ จิตขณะนั้นโกรธ คนที่ ๒ จิตขณะนั้นโลภ คนที่ ๓ จิตขณะนั้นหลง เมื่อตัดเอาคนออกไปก็จะพบว่า "มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ ที่เกิดดับ" เฉกเช่นเดียวกันกับรูป แม้ทั้ง ๖ ทวาร ก็แต่ละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ทีละขณะ ที่เกิดดับจริงๆ

สภาพธรรมจึงละเอียดอย่างยิ่ง งั้นก็จะหมายความว่าที่เราเห็นเป็นต้นไม้ ดอกไม้ แม้กระทั่งตัวเรา ก็เป็นผงฝุ่นธุลีทีละเอียดยิบมากเป็นจุดเล็กๆ แต่เพราะมีอวิชา ฯลฯ จึง "หลงยึด" ว่ามี เป็นนิมิต รูป สัณฐาน

ผมเข้าใจถูกใช่มั้ยครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 เม.ย. 2559

ถูกต้องครับ

ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินตื

ส. ถ้าขณะนี้ไม่ใช่ธรรมะ หรือไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่มีธรรมะ ตรงไหนเป็นธรรมะ ที่ไหนมี หาธรรมะที่อื่นไม่ได้เลย ต้องเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วเข้าใจสิ่งที่มี ที่เคยเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ ว่า แท้ที่จริงๆ เป็นธรรมะหลากหลายชนิด มากมายหลายขณะ แต่ว่าธรรมะไม่ไกลตัวเลย อะไรเกิด ก็คือ ธรรมะเกิด ธรรมอะไร จิต เจตสิก รูปเกิด ถ้าไม่มีธรรมะ คือ จิต เจตสิก รูป คนก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเข้าใจถึงแก่นจริงๆ ถึงปรมัตถธรรมจริงๆ ว่า ความจริงที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ไม่เคยคิด คิดไม่ถึงด้วยตัวของตัวเอง ต่อเมื่อได้ศึกษาธรรมะ แล้วจึงเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมะอะไร ซึ่งทั้งหมดก็เป็นอนัตตา ฟังอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าห้ามใคร หรือว่าบังคับใคร หรือว่าบอกใครให้ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าเมื่อศึกษาธรรมะ มีความเข้าใจแล้วก็ยังแล้วแต่เหตุปัจจัยด้วยว่า มีปัจจัยที่จะให้เกิดชอบ หรือว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดโกรธ ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 เม.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ เป็นธรรม เช่น เห็น เป็นธรรม ได้ยิน เป็นธรรม โกรธ เป็นธรรม ติดข้อง เป็นธรรม ความละอาย เป็นธรรม ความเข้าใจ เป็นธรรม สี เป็นธรรม เสียง เป็นธรรม เป็นต้น เพราะมีจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ซึ่งไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรม ไม่ว่าจะมีชื่อว่าอย่างไร ธรรม ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เมื่อกล่าวถึง ธรรม แล้ว ก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง สำหรับสิ่งที่มีจริงนั้น ก็แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต เจตสิกและพระนิพพาน) และ รูปธรรม เมื่อว่าโดยความหมายแล้ว นามธรรม เป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้) เช่น เห็น เป็นนามธรรม เพราะเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ในขณะนั้น มีจิตเห็น พร้อมทั้งเจตสิก เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป เป็นต้น ซึ่งได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ตัวอย่างเจตสิก เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ผัสสะ เวทนา เจตนา เป็นต้น)
ส่วน รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ไม่รู้อารมณ์เหมือนอย่างนามธรรม รูปธรรม มีทั้งหมด ๒๘ รูป มี สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นต้น ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหนเพราะมีจริงทุกขณะ ทุกขณะเป็นธรรม ไม่พ้นไปจากธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป แต่ละอย่างแต่ละประการ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสภาพธรรมเหล่านั้นไม่ได้เลยจริงๆ ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน (ในแต่ละภพในแต่ละชาติ) ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จุติเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ นั้นมีแต่นามธรรมกับรูปธรรม เท่านั้น ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจแต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็จะมีความเข้าใจว่า มีธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่พ้นหกทางนี้เลย ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่า เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงและกำลังปรากฏ ซึ่งมีให้ศึกษาอยู่ทุกขณะจริงๆ การที่จะรู้ธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต้องมีความรู้ตั้งแต่ขั้นต้น คือ เริ่มจากการฟังธรรม ซึ่งก็คือ ฟังในสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรม และ รูปธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง ค่อยๆ เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 30 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JYS
วันที่ 30 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 2 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ