ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แก่งกระจานคันทรี่คลับ เพชรบุรี ๑๐-๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  17 พ.ย. 2558
หมายเลข  27228
อ่าน  2,158

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับกลุ่มสนทนาธรรมของคุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ ที่แก่งกระจานคันทรี่คลับ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งในสมัยที่คุณบรรยงค์ ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านและกลุ่มเพื่อนๆ สหายธรรม ได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม รองประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อใช้บริเวณสถานที่บ้านพักตากอากาศของท่าน ที่แก่งกระจานคันทรี่คลับ จังหวัดเพชรบุรีแห่งนี้ เป็นที่สนทนาธรรมโดยใกล้ชิดกับท่านอาจารย์เป็นการส่วนตัวปีละครั้ง เนื่องจากคุณบรรยง จงจิตรนันท์ เป็นผู้มีกุศลศรัทธาอย่างยิ่งในพระศาสนาและได้ฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จนตลอดอายุขัยของท่าน อีกทั้งท่านและครอบครัวของท่าน ยังเป็นผู้ที่สนับสนุนกิจกรรมการเผยแพร่พระธรรมของมูลนิธิฯโดยต่อเนื่อง เสมอมา

สำหรับข้าพเจ้าเอง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินทางมายังบ้านพักของท่านอาจารย์ดวงเดือน ที่มีเนื้อที่ราวสองไร่กว่า ที่แก่งกระจานคันทรี่คลับแห่งนี้ โดยได้รับการเชิญชวนจากพี่อรวรรณ เชิญรุ่งโรจน์ ซึ่งก็ได้ตอบรับพี่อรวรรณในทันที เนื่องจากได้คิดไว้ก่อนนานแล้วว่า ใคร่ที่จะได้มีโอกาสมาในสถานที่นี้สักครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะได้บันทึกภาพและเรื่องราวการสนทนาธรรมในสถานที่แห่งนี้มาเผยแพร่สู่สาธารณชนทุกๆ ท่าน ให้ได้มีโอกาสชื่นชมและอนุโมทนา ในกุศลศรัทธาอันยิ่งของท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ที่ได้ใช้สรรพสิ่งที่ท่านมีในชาตินี้ ทำนุบำรุงพระศาสนาร่วมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มานานหลายสิบปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำลังแรงกาย กำลังทรัพย์ ตลอดจนการบริจาคที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคารมูลนิธิฯในซอยเจริญนคร ๗๘ และใช้บ้านพักตากอากาศอีกหลายแห่ง เพื่อเป็นที่พักผ่อนและรับรองท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อความมีสุขอนามัยที่ดีของท่าน ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่ว่าท่านอาจารย์จะไปในที่แห่งหนตำบลไหน ก็มีท่านที่ได้รับโอกาสติดตามไปสนทนาธรรมด้วยทุกที่ เนื่องเพราะชีวิตของท่านอาจารย์ เป็นไปกับเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นทั้งสิ้น ตลอดชีวิตของท่าน

สำหรับสถานที่นี้ เท่าที่ได้ทราบ เป็นสถานที่ๆ ท่านอาจารย์เดินทางมาบ่อยมาก และ ใช้เป็นสถานที่สำหรับการสนทนาธรรมของกลุ่มผู้ศึกษาธรรมชาวต่างชาติ (Dhamma Study Group) ที่เดินทางมาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในคราวหนึ่งๆ นานนับครึ่งค่อนเดือนในแต่ละปี ปัจจุบันก็ได้เพิ่มกลุ่มผู้ศึกษาธรรมชาวเวียดนามเข้าด้วยอีกกลุ่มใหญ่ ซึ่งทุกท่านที่เดินทางมาสนทนาธรรมที่นี่ ก็ได้เข้าใช้บริการที่พักในรีสอร์ทส่วนกลางของแก่งกระจานคันทรี่คลับ ซึ่งมีบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง ๓๕,๐๐๐ ไร่ แม้ว่าจะดูเก่าไปบ้างเนื่องจากก่อสร้างมาแล้วราวยี่สิบกว่าปี (ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๔) แต่ก็สะอาดดีพอสมควรและมีราคาไม่แพง มีบรรยากาศที่ร่มรื่น แวดล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เงียบสงบดีมากครับ

อนึ่ง การเดินทางมาสนทนาธรรมในครั้งนี้ นอกจากการสนทนาธรรมแล้ว ทุกท่านยังมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมการเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน ซึ่งท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ท่านเป็นผู้บริจาคทรัพย์อุปถัมภ์โรงเรียนนี้ด้วย ซึ่งก็จะขออนุญาติแยกเป็นอีกกระทู้หนึ่งต่างหาก นะครับ

อันดับต่อไป ก็ขออนุญาตนำภาพและความการสนทนาธรรม ซึ่งเข้าใจว่าทุกๆ ท่านที่สนใจไม่ควรพลาดอย่างยิ่งในการที่จะได้อ่านและพิจารณาโดยละเอียด เพราะท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงหนทางการเข้าใจความจริงในขณะนี้ไว้โดยละเอียดยิ่ง และมีความไพเราะเหลือประมาณ ทั้งยังหาฟังได้ยากยิ่งจริงๆ ครับ และในตอนท้าย ข้าพเจ้าได้นำวีดีโอที่ได้บันทึกไว้ตามกำลังความสามารถ มาลงไว้ด้วย เพื่อท่านที่สนใจ จะไม่พลาดการชม ย้ำว่าน่าติดตามมากๆ และย้ำว่า ไม่มีในที่อื่นแน่นอน ครับ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่สงสัย หรือสนใจในเรื่องราวของบุคคลที่เคยปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ พี่หมอทวีป ถูกจิตร ก็ได้กรุณาเล่าประสบการณ์จากการที่เคยนั่งสมาธิ ที่พี่หมอกล่าวว่า ถึงขั้นเหาะได้เลยทีเดียว ซึ่งท่านทำมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก นานหลายสิบปี แต่สามารถเลิกได้โดยเด็ดขาดแล้วในปัจจุบัน ไม่ติดตามไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ที่ว่า "วิตักกเจตสิก" ว่า "คิด" หรือ "ตรึก" ขณะนี้ คิดถึงอะไรนี่ ที่มีกำลัง เขาก็จะเป็น สัมมาสังกัปปะ (มรรค) แล้วท่านอาจารย์ก็ย้อนคำถามว่า แล้วที่เขาจะรู้ว่า เขาสะสมกำลังหรือยัง ก็เหมือนกับว่า ชีวิตประจำวัน คิดถึงความเป็นธรรมะเพิ่มขึ้นหรือยัง? ตรงนี้ ก็เหมือนกับ ยังไม่กระจ่างชัด ในคำถามที่ท่านอาจารย์ถาม

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้ววันนี้ คุณอรวรรณคิดอะไรบ้าง?

พี่อรวรรณ เยอะแยะเลยค่ะ

ท่านอาจารย์ เห็นไหม? ไม่ได้คิด เรื่องสิ่งที่ปรากฏ!!!

พี่อรวรรณ รถติด มาสาย ไปกินข้าวครัวต้นสน อร่อยมาก ถูกด้วย (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ กว่าวิตักกะของเขา จะมาถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ใครก็บันดาลไม่ได้!!!

พี่อรวรรณ ที่ท่านอาจารย์ถามนี่ ไปกับโลภะหมดเลย

ท่านอาจารย์ นี่คือการฟังธรรมะ หมายความว่า เราฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจความลึกซึ้ง ความละเอียด ความที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จากวิตักกะ ขณะที่ฟัง มี "เรื่องของธรรมะ" ใช่ไหม? แต่พอหมด "เรื่องของธรรมะ" ก็เป็นเรื่องอื่น กว่าวิตักกะ ที่ฟังธรรมะเข้าใจ จะปรุงแต่งไปจนถึงสัมมาสังกัปปะ ไม่มีทางอื่นเลย นอกจาก ฟังแล้วเข้าใจขึ้น!!!

พี่อรวรรณ แต่อยู่ในรถ ก็พูดถึงว่า ลองกองยังไม่ลืมต้นนี่มันเปรี้ยว ก็บอกว่า ท่านอาจารย์อธิบายว่า "ลืม" ก็คือว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ต้องการจะคิด ก็ถามว่า แล้วลองกองลืมต้นนี่ (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ ก็ใครบอกล่ะว่า ลองกองลืมต้นแล้วถึงจะหวาน

พี่อรวรรณ สรุปแล้วพูดผิดค่ะ แต่เพราะเขาจะสื่อว่า เก็บออกมาจากต้นสักระยะหนึ่งแล้วถึงจะหวาน

ท่านอาจารย์ ก็พูดไปทุกอย่าง แต่พูดตั้งแต่เกิดจนตายนี่ เข้าใจอะไรหรือเปล่า? เข้าใจคำที่พูดหรือเปล่า? จนกว่าจะได้ฟังธรรมะ ถึงจะรู้ว่า แต่ละคำนี่ ไม่รู้จัก ลองกองนี่ก็ไม่รู้จักแล้ว ลืมต้น ก็ไม่รู้จักแล้ว พูดไปเถอะ ไม่เข้าใจธรรมะเลย จนกว่าจะได้ฟังธรรมะ

เพราะฉะนั้น "ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ" ถ้าจุดนี้จริงๆ นี่ปลอดภัยหมดเลย!!! เพราะว่า เป็นความจริงว่า "เราบังคับไม่ได้" เริ่มรู้ว่า การฟัง แม้แต่ขณะนี้ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับไม่ได้ ฟังไปขณะนี้ว่าบังคับไม่ได้ บังคับไม่ได้ พอถึงเวลาเราไม่ฟัง เราก็ลืม วิตักกะของเราก็คิดเรื่องอื่นไป

ให้เห็นความเป็นอนัตตา!!! ปัญญาไม่พอที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา!!!

เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจริงๆ หมด ที่เราได้ฟังมาแล้วเยอะแยะทุกคำ ก็คือ เดี๋ยวนี้!!! เพราะเป็นเรื่อง "ละ" ทั้งหมด!!!

ฟังธรรมะแล้วลืมว่า "เป็นเรื่องละ" ก็เลยช้ามาก เพราะเหตุว่า เครื่องเนิ่นช้า ตัวตนเขาชิน คุ้นเคย แม้ว่าเข้าใจแล้ว ก็ยังเป็นไปตามที่สะสมมา แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไร

คุณพรทิพย์ กราบท่านอาจารย์ค่ะ ขณะที่เห็น ก็เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะคิด เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็น แล้วบอกว่า คนนี้เสียใจ คนนี้ ลักษณะนี้ดีใจ แสดงว่า สัญญาที่เคยจำเอาไว้ ว่าลักษณะนี้ คือ ร้องไห้ ก็คือเสียใจ อันนั้นคือความคิดนึก

ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็คือ "คิด" ทำไมล่ะคะ เวลานี้รู้สึกอย่างไร? ไม่เห็นเป็นอย่างที่คุณพรทิพย์ว่าเลย

คุณพรทิพย์ ไม่ใช่ค่ะ หนูพูดถึงตอนที่คุณหมอ...

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้!! ที่กำลังคิด เดี๋ยวนี้!!! ไม่เห็นเป็นอย่างที่คุณพรทิพย์ว่าเลย เห็นไหม? ความรู้สึกทุกอย่างเขาเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมานั่งทบทวนว่า เขาเป็นอย่างนั้น อย่างนี้!!!

คุณพรทิพย์ คือ หลังเห็น ก็จะเป็นการคิด คิดในสิ่งที่เห็น

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เอง!!! คิดแล้ว เรียบร้อยรวดเร็ว เป็นธรรมดาของธรรมะ!!!

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ หนูว่า หนูก็ฟังท่านอาจารย์เยอะ พอท่านอาจารย์ถามว่า วันนี้คิดเรื่องอะไรบ้าง? พอท่านอาจารย์ถามปุ๊บ ก็จะรู้เลย คิดเรื่องราวก็ไม่ต่างจากคนที่ (ไม่เคย) ฟังธรรมะ

ท่านอาจารย์ ก็ใช่ ก็ใช่ เพราะฉะนั้น ฟัง ก็คือ เข้าใจ ขณะที่ฟัง แล้วรู้ว่า เป็นอนัตตา ถ้าเราไปวุ่นวาย มันก็ยิ่งเป็นตัวเราขึ้น เพราะฉะนั้น ฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ แม้เพียงชั่วขณะนั้น ก็มั่นคงที่จะเข้าใจขณะต่อไปว่า บังคับบัญชาไม่ได้ คิดเรื่องอื่น พูดเรื่องอื่น ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธรรมะทั้งหมด!!!

จนกว่าวิตักกะนั้นแหละ จะจรดในลักษณะของสภาพธรรมะ เพราะฟังมานานมาก!!! รู้ว่ามีจริงๆ ลักษณะของธรรมะเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ กำลังมี ไม่ต้องไปนั่งหา ว่าเขาอยู่ไหน? ตอนนี้ กำลังจรดในอารมณ์อะไร? ก็ไม่ต้อง!!! เป็นเรื่องที่หมดแล้วก็คือหมด!!!

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ต้องขอประทานโทษ อ้างอาจารย์ธิดารัตน์ คือ คุยกันในรถ อาจารย์ธิดารัตน์ก็บอกว่า เรื่องสังเกตุ พิจารณาธรรมะ พี่ฟังนี่ พูดว่า วิตักกะ คือ ตรึก คือ คิด แล้วเราสนใจไหม? ลักษณะของตรึกนี่ คิดนี่ หรือว่า เห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วความเป็นอนัตตา ที่จะเกิดรู้ตรงนั้น เมื่อไม่เกิด มันเหมือนจะแยกไม่ออกว่า มีตัวตนไปจดจ้องสังเกตุ

ท่านอาจารย์ ถ้าเราเพียงแต่จะเข้าใจว่า ขณะไหนมีวิตักกะ แค่นั้นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรา ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ไปนั่งเจาะจง พยายามจะหาวิตักกะ นี่คือเรื่องละ ที่ว่ายาก ละ นี่คือ ละอย่างไร? ละการที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ไปนั่งคิดอะไรอย่างอื่นเลย

พี่อรวรรณ คือ เมื่อยังไม่รู้ลักษณะของวิตักกะ ก็รู้ได้ว่า วิตักกะเขาทำกิจอยู่ ไม่ใช่เรานะ

ท่านอาจารย์ "เข้าใจ" แค่นั้น!!! เพื่อที่จะรู้ว่า เป็นอนัตตา สำคัญที่สุดคือ ธรรมะที่ได้ฟังทั้งหมด คือ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ!!! แล้วก็ เป็นอนัตตา!!! เท่านั้น!!! อย่างอื่น โลภะจะเกิด โทสะจะเกิด ก็นี่ไงอนัตตา ใช่ไหม? จะคิดอะไร อย่างไร ก็นี่ไง บังคับบัญชาไม่ได้

คุณภาณี ท่านอาจารย์ก็จะเตือนให้เราเข้ามาถึง ขณะนี้เป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!!!

คุณภาณี แต่เราก็จะไปสงสัยเรื่องต่างๆ เยอะแยะ มากมาย

ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!!! ถูกต้อง!!!

ทุกคนหัวเราะ... (และ ขณะนั้น มีผีเสื้อตัวเล็กๆ บินวนเวียนเกาะอยู่ที่มือและใบหน้าของท่านอาจารย์)

ท่านอาจารย์ อย่าคิดว่าเขา (ผีเสื้อ) ไม่เข้าใจนะ ถ้าเขาเป็นโพธิสัตว์ ต่างกันเลย สัตว์ที่เป็นโพธิสัตว์ กับสัตว์ที่ไม่ใช่โพธิสัตว์ แม้แต่เสียง เจตนา ออกมาเป็นเสียงอะไรนี่ สามารถที่จะแปลออกไปให้เราเข้าใจได้ เหมือนกับเสียงนั้นเป็นอย่างนั้นเลย เพราะจริงๆ เสียงก็คือเสียง มันอยู่ที่เจตนา ใช่ไหม? และมันอยู่ที่การที่เราจะสามารถเข้าใจได้ แต่ไม่ต้องคิดว่าตัวไหนเป็น ตัวไหนไม่เป็น

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ กลับมาตรงที่ว่า รู้ว่าความเป็นอนัตตา ที่โทสะจะเกิด โลภะจะเกิด หรืออะไรก็แล้วแต่ การฟังเข้าใจ เหมือนกับว่า เข้าใจได้ว่า ปัญญาขั้นที่จะไปรู้ตรงลักษณะในสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่ให้เข้าใจก่อน ว่านี่เป็นธรรมะจริงๆ

ท่านอาจารย์ โลภะเขามากมายมหาศาล ตามอวิชชา ซึ่งไม่รู้อะไรเลย เดี๋ยวนี้!!! ที่กำลังปรากฏ!!! เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจริงๆ เพื่อละ หมายความว่า ขณะนั้น ไม่ได้ติดข้อง แม้แต่คำว่าติดข้อง มันจะติดข้องไปจนกระทั่ง ปัญญาสามารถที่จะเห็น สามารถที่จะรู้ว่า กำลังติดข้อง ก็ไม่รู้!!! แต่ความติดข้องอันนี้ เวลาที่เข้าใจธรรมะแล้วนี่ ก็เป็นสิ่งซึ่ง เมื่อมีความเข้าใจ ปัญญาเขาสามารถรู้ จึงละ!!!

เพราะฉะนั้น ที่เป็นเราคิด เป็นอะไรๆ ทั้งหมด ๕ ขันธ์เลย ไม่เว้นอะไรเลยสักอย่าง ถ้าพูดไปแล้ว รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็เดี๋ยวนี้หมด แต่ไม่ปรากฏให้รู้!!! เพราะฉะนั้น จะไปละ ได้อย่างไร?

แต่เมื่อฟังแล้ว สภาพธรรมะมีอย่างนี้ แต่ว่า อะไรปรากฏ ซึ่งเคยไม่รู้ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!! จนกว่ารู้ว่า ขณะนั้นติดข้องหรือเปล่า? อย่าง "เห็น" อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น กว่าจะ "รู้ลักษณะ" ที่เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้ แค่ธาตุรู้นี่ก็ไม่เคยรู้มาเลย ใช่ไหม? แล้วยัง เมื่อเห็นแล้ว ติดข้องหรือเปล่า? ก็ไม่ได้ปรากฏ ทั้งๆ ที่ติดข้อง ถ้าไม่รู้ แล้วปัญญาจะไปละอะไร?

เพราะฉะนั้น จากการฟัง ก็มีสภาพธรรมะ ซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยอวิชชา ก็ปรากฏในลักษณะซึ่ง ปัญญา เริ่มเห็น แล้วก็เริ่มเข้าใจ จนกว่า ทั้งหมด ทั้งวัน ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น ไม่เคยรู้เลย!!!

เพราะว่า การอบรม เจริญปัญญา เพื่อละนี่ ถึงอนุสัย คือ ดับจริงๆ จึงจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครจะมาบอกว่า "ละเสีย" ก็รับรองได้ คนนั้นไม่ใช่คนที่ศึกษาและเข้าใจคำสอน!!!

ละได้อย่างไร? ไหนลองละให้ดูสิ!!! ไม่มีทาง!!! ใช่ไหม?

แต่ถ้าให้มีความเข้าใจ แล้วเริ่มรู้ว่า มีอะไร? ขณะนี้มี "เห็น" เราผ่านไปเลย ตลอดเวลา ไม่เคยสนใจเลย แต่พอมีปัญญา เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เขาก็จะเริ่มเข้าใจ "เห็น" โดยไม่ละเลย "เห็น" และหลังเห็นแล้ว ก็คือ ความติดข้อง เพราะฉะนั้น เขาก็ค่อยๆ ละ ตัวตน หรือ ความติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ!!!

เพราะฉะนั้น เรื่องละทั้งหมด เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่า เรื่องอวิชชา เป็นเรื่อง "ติด" เรื่องโลภะเป็นเรื่องติด ใช่ไหม? อวิชชา ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็ติดข้อง แต่เมื่อปัญญารู้แล้ว รู้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ละคลาย ความเป็นเรา ตามลำดับขั้นของปัญญา และ เดี๋ยวนี้ก็คือ รู้ตามความเป็นจริงว่า ฟัง เข้าใจขึ้น!!! ขอให้เข้าใจ!!! แล้วก็ เข้าใจขึ้น!! ก็คือ ไม่ใช่เรา!!!

ทีนี้ เราหวังมากเหลือเกิน!!! ไม่เอาหรอก เข้าใจขึ้นนี่ ไม่เอา!!! มันยังไม่ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้!!!

ปรากฏได้อย่างไร? เป็นอย่างนั้น ก็ถูกอวิชชา ความไม่รู้ ปิดบัง

เดี๋ยวนี้ก็ปิดบัง โลภะเกิด ก็ปิดบัง!!!

เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ จะเป็นตัวเราแล้วหวัง ทำอย่างไรนี่ ไม่มี!!! เมื่อไหร่ก็ไม่มี!!! เพราะว่า ขณะนั้น ปัญญาจะรู้เลยว่า นั่นคือ "ผิด" เพราะ "หวัง" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" ถ้าความเข้าใจแล้วเป็นเรื่องละ ก็ "อนัตตา" ก็บอกแล้วว่าทุกอย่างหมด "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" พอมีอะไรเกิดขึ้น ก็เดือดร้อน ลืมแล้ว ฟังมาแล้วใช่ไหม? จนกว่าจะรู้ความจริงว่า แม้สิ่งนั้นก็เกิด โดยเหตุปัจจัย ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้

กว่าจะค่อยๆ รู้ กว่าจะค่อยๆ ละ ก็คือ ชีวิตประจำวันธรรมดา!!! กว่าจะเป็นปกติ โดยโลภะ ไม่ได้เข้ามาแทรกแซง!!!

ท่านอาจารย์ กำลังสำคัญคือ "เรื่องละ" ถ้าไม่รู้อันนี้ ไม่คิดถึงอันนี้ ก็ผิดทางไปเลย!!! "ละ" ก็ต้องเข้าใจ ไปละเองนี่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ มันละเดี๋ยวนี้ แล้วเราก็รู้ว่า เดี๋ยวนี้มันไม่ละ!!! (หัวเราะ) ใช่ไหม? จนกว่า ละเดี๋ยวนี้!!! ไม่ใช่ละตอนอื่น "เดี๋ยวนี้!! คือ อะไรๆ ก็ได้ที่มี ไม่เลือก เมื่อไหร่ สภาพธรรมะอะไร ก็เลือกไม่ได้เลย เพราะมันต้อง "รู้ทั่ว"

คุณภาณี เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือ ค่อยๆ ละไป

ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เท่านั้น!!! ที่จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้คนอื่น "เข้าใจตาม" เพื่อที่จะได้ "รู้ตาม" แล้วใครจะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นคนที่ "ละเอียด" และ เป็นเรื่อง "ละ" เป็นเรื่อง "เข้าใจ"

ทั้งหมด "ฟัง" จะไปฟังอะไรได้ทั้งนั้น ขอให้เข้าใจสิ่งที่ฟัง เพราะว่าสิ่งที่ฟัง ต้องเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!! ทำให้เข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่มุ่งหวัง ว่าเข้าใจแล้วละ แล้วแต่ จะเข้าใจแค่ไหน เพราะว่า เราไม่ใช่คนไปละ แต่ว่า ปัญญา-ความเข้าใจ เขาละ!!!

เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ เข้าใจเมื่อไหร่ จะละเมื่อไหร่ก็คือว่า เป็นคนดี ค่อยๆ มั่นคงในความไม่ใช่เรา!!! ยากที่สุด ไม่มีอะไรยากเท่า!!!

คุณภาณี ความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจ แต่ว่า โลภะก็ไม่ค่อยยอมค่อยๆ เข้าใจ

ท่านอาจารย์ เขามีมานาน เขาอยู่บ้านนี้มานาน ไม่ยอมออก

คุณภาณี ต้องใช้กำลังมาก

ท่านอาจารย์ ต้องมีปัญญา ที่จะดับเขา เพียงแค่พรากๆ ไปนิดหน่อยก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจจนกระทั่งละ

แต่ละคำ แต่ละประโยค ไม่ต้องไป หมายความว่า เราจะต้องไปรู้ในขณะนั้นเดี๋ยวนี้ แต่ให้รู้ว่า ไม่มีอีกแล้ว แค่นี้ ถึงใจระดับไหน? ว่าไม่มีอีกแล้ว เดี๋ยวนี้!! ไม่มีอีกแล้ว!!! ถึงจะละได้!!!

คุณพรทิพย์ ท่านอาจารย์คะ การที่จะละความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็ต้องเห็นในขณะนี้

ท่านอาจารย์ "เข้าใจ"

คุณพรทิพย์ คือ ถ้าละได้ก็คือขณะนี้

ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!!! แล้วจะไปเอาขณะไหน? ถ้าไม่ใช่ตามปกติในชีวิตประจำวัน เพราะเราติดสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ก็ต้องละ ด้วยความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน!!!

แค่ "เห็น" นี่ก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น ว่า "เห็น" เป็น "เห็น" ไม่ใช่เรา ก็ต้องยากแน่นอน!!! แต่ไม่พ้นวิสัยพราะว่า ท่านที่เคยสะสมมา ท่านก็รู้แจ้งสภาพธรรมะกันได้ เพียงแต่ว่า ต้องอบรมและต้องละ ข้อสำคัญที่สุดคือ "ละ" แล้วก็เป็น ปกติ!!!

คุณหมอทวีป ถ้าละโลภะขณะนั้น ที่เกิดขึ้น เป็นการชนะใจตนเองด้วยหรือเปล่าครับ?

ท่านอาจารย์ คือ ไม่มีตนอีกแล้ว ละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ!! คือ เวลานี้ สิ่งนี้มี "เห็น" มีแน่ๆ "คิด" ก็มีแน่ๆ "ติดข้อง" ก็มีแน่ๆ แต่ไม่ได้ปรากฏ ในลักษณะที่เป็นธรรมะ ทั้งๆ ที่เขาเป็นธรรมะ!! แต่ความเป็นเรานี่ครองมานาน ติดข้องในสิ่งต่างๆ ฟังเท่าไหร่ก็เพื่อที่จะละ ใช่ไหม? แล้วถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏในความเป็นธรรมะ ให้รู้จริงๆ ว่านี่แหละ ธรรมะเป็นอย่างนี้ ก็ไม่มีทางไปละ

แต่การที่จะให้ถึงขณะที่สภาพธรรมะปรากฏได้ตามความเป็นจริง ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ต้องอาศัยความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย ตรงนี้ เป็นขั้นที่สำคัญที่สุด!!! เพราะถ้าไม่มีตรงนี้ การฟังทั้งหมด ก็เป็นโมฆะ เพราะมันไม่ได้เอาโลภะออกไปเลย ฟังไป ต้องการไป ฟังไป ต้องการไป มันก็จะเป็นการฟังธรรมะ ด้วยความต้องการ!!

แต่ว่า "ต้องฟัง" อย่างคนในสมัยโน้น (ฟัง) ด้วยความเข้าใจ ฟังแล้วก็เข้าใจ จนกว่าสภาพธรรมะจะปรากฏ!!!

เมื่อสภาพธรรมะปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้น สภาพนั้นเป็นเราไม่ได้เลย!!!

ก็ฟังไป เท่านั้น ทางเดียว!!! ฟังไป เข้าใจไป แล้วเป็นปกติ!!!

เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็เข้าใจ!! ฟังแล้วก็เข้าใจ!! แล้วไม่มีอีก ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ มี แล้วไม่มีอีก!!!

มันค่อยๆ ทำให้เราฟังธรรมะ ด้วยความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย จากการที่ได้เข้าใจ แม้เพียงแต่ละคำที่เรารู้ว่า ไม่มีแน่นอน ฟังมา ก็เฉยๆ ไป แต่ ยิ่งฟัง ยิ่งแล้วก็ไม่มีแน่นอน!! เวลาที่ฟัง "เห็น" ก็ค่อยๆ เข้าใจว่า "เห็น" ขณะนี้ เป็นอย่างนี้ พอ "ได้ยิน" เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ ทำให้เข้าใจว่า เมื่อกี้นี้ไม่มี!!!

แต่ยังไม่ใช่ขณะที่มีการปรากฏสืบต่อกัน มันห่าง ใช่ไหม? อย่างพูดถึงเห็น แล้วไม่มี แล้ว "ช่องว่าง" นั้น ก็คือ "เรา" แล้วก็มี "ได้ยิน" ค่อยๆ ไปเข้าใจ นานๆ ครั้ง ว่า แล้วก็ไม่มีอีก แล้วก็ "ช่องว่าง" อีก "เรา" อีก!!! นี่ค่ะ ต้องค่อยๆ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละ!!!

ไม่อย่างนั้น ไม่มีพระสูตร พูดเรื่องชีวิตประจำวันทั้งนั้นเลย ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้รู้อย่างนี้ เท่านั้นเอง!!! ค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!!

คนที่อดทนไม่ได้ ก็หันหลังให้พระสัทธรรม ไปพยายามด้วยความเป็นตัวตน!!!

"...ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนกุศล ที่ได้บำเพ็ญแล้วในวันนี้ แก่บิดามารดา และผู้มีพระคุณ ทั้งในปัจจุบันชาติ และในอดีตอนันตชาติ แก่ญาติและมิตรสหาย ผู้ล่วงลับไปแล้ว แก่เทวดาและอมนุษย์ทั้งหลาย และแก่คุณปาหนัน บารมีธรรม และ คุณบรรยงค์ จงจิตรนันท์ ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในส่วนกุศล โดยทั่วกัน เทอญ..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 18 พ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม เป็นอย่างยิ่งครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยที่ถ่ายทอดธรรมสัญจรอย่างครบครัน โดยเฉพาะการสนทนาธรรมที่มีประโยชน์และคุณค่ามากๆ มา ณ กาลครั้งนี้ รวมถึงขออนุโมทนากับทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wirat.k
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 18 พ.ย. 2558

สาธุ ขอกราบอนุโมทนาค่ะ กราบขอบพระคุณทุกๆ คำค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
napachant
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปวีร์
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Boonyavee
วันที่ 18 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pat_jesty
วันที่ 19 พ.ย. 2558

เป็นคนดี ค่อยๆ มั่นคงในความไม่ใช่เรา!!!

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
siraya
วันที่ 19 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
panasda
วันที่ 19 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 23 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
orawan.c
วันที่ 24 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ