ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของการเดินทาง]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  2 พ.ย. 2558
หมายเลข  27171
อ่าน  1,763

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ได้เดินทางไปยังประเทศศรีลังกาและอินเดีย อนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เดินทางมายังประเทศศรีลังกาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม เพื่อมาสนทนาธรรม ตามคำเชิญของคุณ Kevin Phong นักศึกษาปริญญาเอกชาวเวียดนาม ที่กำลังศึกษาอยู่ ณ สถาบันศึกษาบาลีและพุทธศาสตร์กัลยาณี กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้จากกระทู้ที่คุณเผดิม ยี่สมบุญ และ พี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) ที่ได้เล่าเรื่องการเดินทางในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไว้แล้วโดยละเอียดในกระดานสนทนา นะครับ

การเดินทางไปยังประเทศศรีลังกาและอินเดียของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะฯ คราวนี้ แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก เป็นคณะของท่านอาจารย์ ที่เดินทางไปก่อนล่วงหน้าพร้อมกับคุณนีน่า วันกอร์คอม คุณโจโนธาน คุณซาร่าห์ แอบบอท และท่านอื่นๆ จำนวน ๑๗ ท่าน เพื่อไปสนทนาธรรมภาคภาษาอังกฤษ ตามคำเชิญของคุณ Kevin Phong ดังที่ได้กล่าวแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่วนคณะที่ ๒ มีจำนวนราว ๔๐ ท่าน เดินทางไปเพียงที่ประเทศศรีลังกา ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๐ ตุลาคม และ กลุ่มที่ ๓ คือกลุ่มสุดท้าย จำนวน ๑๐๐ ท่าน เป็นกลุ่มที่ข้าพเจ้าเดินทางร่วมไปด้วยนี้ ซึ่งจะเดินทางไปรวมกับสองกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ณ โรงแรม Gateway Hotel Airport Garden กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา โดยกลุ่มที่ ๒ จะเดินทางกลับประเทศไทยก่อน ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ส่วนคณะของท่านอาจารย์และคณะของข้าพเจ้า จะเดินทางต่อไปยังเมือง Munnar รัฐ Kerala ประเทศอินเดีย และ เดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ ๒๕ ตุลาคม

ข้าพเจ้าเคยเดินทางมายังประเทศศรีลังกาแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมกับคณะของท่านอาจารย์ ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมเรื่องและภาพ ในครั้งนั้นทั้งหมด ได้ที่นี่ครับ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๑ โคลอมโบ-โปโลนนารูวา
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ พระมหาเจดีย์รุวันเวลิเสยะ ประเทศศรีลังกา
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๒ มหินตาเล-อนุราธปุระ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๓ สิกิริยา-ถ้ำดัมบูลลา-พระเขี้ยวแก้ว
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๔ สวนพฤกษ์ศาสตร์ เพลาดินียา-เมืองนูวาราเอลิย่า
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๕ (จบ) วัดสำคัญๆ ในกรุงโคลอมโบ

อย่างที่ข้าพเจ้าได้เคยกราบเรียนปรารภท่านทั้งหลายบ่อยๆ ว่า กระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าจัดทำขึ้นนี้ เป็นไปเพื่อการบันทึกภาพและความธรรมะ ที่ท่านอาจารย์เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่สนใจและเห็นคุณค่าของพระธรรมเป็นสำคัญ ภาพต่างๆ ที่นำมาประกอบ ย่อมเปรียบเสมือนเครื่องปรุงต่างๆ ซึ่งย่อมมีหลากหลายไปตามเหตุ ตามปัจจัย ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นปกติ ตามความเป็นจริงของชีวิตของผู้ศึกษาธรรม ที่ยังเป็นไปกับ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นปกติ เป็นธรรมดา เพราะเหตุว่ายังเป็นปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลสด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ต่างกันก็แต่เพียง ความเข้าใจพระธรรม จากการที่ได้ฟัง ได้สะสมมา สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฟัง ไม่ได้สดับพระธรรมที่ถูกต้อง ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ชีวิตของผู้ไม่เคยฟัง ไม่เคยสดับพระธรรมที่ทรงแสดง ย่อมเป็นไปกับรูป รส กลิ่น เสียง ฯลฯ ด้วยความเห็นผิด ด้วยความคิดผิด ด้วยความยึดถือ ติดข้อง เพราะความไม่รู้ ด้วยความเป็นเรา เป็นตัว เป็นตน คน สัตว์ ไม่รู้แม้เพียงสักขณะเดียวว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละขณะของชีวิตนั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นแต่เพียง ธาตุ หรือ ธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หาได้มีตัว มีตน มีคน มีสัตว์ แต่ประการใดไม่ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป สิ้นไป ในทุกๆ ขณะ ตามที่ได้ทรงตรัสรู้และมีพระมหากรุณาแสดง และมีผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมนั้น เป็นอริยสาวก ผู้รู้ตาม มากมายนับไม่ถ้วนในอดีต นี้เป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิต ที่ได้เกิดมา แล้วมีโอกาสได้ฟัง ได้สะสมความเข้าใจไป จนกว่าจะรู้ความจริงอย่างที่ทรงแสดงนั้นได้ ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้นๆ จนสมบูรณ์พร้อมในวันหนึ่ง ไม่ว่าจะอีกกี่หมื่น กี่แสนกัป ด้วยความเป็นอนัตตา และ จากการสะสมความเข้าใจ คือ ปัญญา ไปทีละเล็ก ทีละน้อย ในทุกๆ ขณะนี้เอง หากไม่มีวันนี้ที่เริ่มสะสมความเข้าใจจากการมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม มีความอดทนและความเพียรอย่างยิ่ง ที่จะฟังและเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนั้น แล้วๆ เล่าๆ บ่อยๆ เนืองๆ วันที่จะรู้แจ้งความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง ย่อมมีไม่ได้แน่นอน ย่อมเป็นผู้ที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ วนอยู่ในสุขและทุกข์ทั้งปวง ไม่พ้นไปจากกรงของกิเลส ที่รังแต่จะนำความทุกข์มาให้โดยไม่รู้จบ รู้สิ้น จากความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ นั่นเอง

อันดับต่อไป จึงจะขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมบางตอน เมื่อช่วงเช้าของวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ณ โรงแรม Aliya Resort เมืองอนุราธปุระ มาเพื่อทุกท่านได้พิจารณาเพื่อประโยชน์แก่ตน ตามสมควรแก่กาล อนึ่ง ท่านเปรียบว่าการเริ่มฟังพระธรรมทุกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ได้ฟัง การเดินทางก็เช่นกัน ทุกขณะนี้ เป็นการเดินทางไปของตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ แล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้เบื้องต้น เบื้องปลาย ว่าจะจบลงในวันใดหรือไม่? หรือจะวนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ เป็นตอของวัฏฏะ เพราะอวิชชา ความไม่รู้ "จุดเริ่มต้นของการเดินทาง" ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ประโยชน์สูงสุดในการเดินทาง คือ ความเข้าใจพระธรรม และ ความดี คือ กุศลทุกประการ ที่ควรมี ควรสะสม และควรเจริญขึ้น ในทุกบุคคล ตามอัธยาศัยที่ได้สะสมมา จึงเป็นผู้ที่ถามตนเองโดยบ่อยว่า วันนี้ เริ่มต้นเดินทางที่จะฟังและสะสมสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตนั้น แม้เพียงเล็กน้อย นิดหน่อย หรือยัง?

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก่อนอื่นจะได้ไม่เสียเวลา ก็ต้องขอโทษก่อนค่ะ ที่ช้า เพราะเหตุว่า เรามากันตามสบายๆ แล้วก็สนทนากัน เพื่อที่จะได้เป็นพุทธบูชา เพราะว่า โอกาสที่เราจะได้สนทนาธรรม สำหรับการเดินทางคราวนี้ ก็ไม่มาก เพราะว่า เต็มวันเลย ที่เราจะต้องเดินทาง โอกาสที่จะได้ฟังธรรมะก็น้อย

แต่ว่า ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับดิฉันและทุกคน ที่ได้ฟังธรรมะแล้ว ก็รู้สึกว่า ขณะที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต จะไม่มีอะไรเท่ากับได้เข้าใจธรรมะ เพราะว่าเป็นโอกาสที่หายากจริงๆ ถ้าได้ฟังข้อความจากพระไตรปิฎก เหมือนกับเต่าในมหาสมุทร แล้วก็มีแอกหรือมีบ่วงที่สำหรับจะคล้องคออยู่สี่ทิศ และลมก็พัดไปพัดมา เดี๋ยวทิศเหนือเดี๋ยวทิศใต้ กว่าเต่าจะขึ้นมาสวมคอเข้าไปในแอกได้

หมายความว่า ในสังสารวัฏเราเกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ และเราจะต้องเกิดต่อไปอีกนานเท่าไหร่ โดยไม่รู้ว่า จากคนนี้ที่เป็นอย่างนี้ แล้วจะไปเป็นอะไร? เป็นได้หมดเลย งูก็ได้ ปลาก็ได้ นกก็ได้ เทวดาก็ได้ แล้วแต่กรรม ซึ่งขณะนี้ พร้อมที่จะให้ผล ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ ก็จะมีภพภูมิ ซึ่งกรรมหนึ่งพร้อมที่จะให้ผล โดยการที่ว่า รวบรวม ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นๆ เพราะกรรมมีมาก กรรมเดียวให้ผลไม่ได้ ต้องมีหลายๆ กรรมที่สะสมมา ทำให้แต่ละคนเกิดมา ขณะแรกที่เกิด จิตเจตสิกรูปที่เกิด ยังไม่เป็นเราเลย ยังไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น ยังไม่เป็นนก เป็นงู เป็นคน เป็นใคร แต่จากการที่กรรมที่ได้ทำแล้ว ก็จะให้ผลสืบต่อไป ก็ทำให้ เมื่อเกิดแล้ว ก็จะต้องดำรงความเป็นอย่างนี้ไป จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้

เพราะฉะนั้น โอกาสที่ดีที่สุด ก็คือว่า ได้มีโอกาสเข้าใจธรรมะ สำหรับคนใหม่มากก็คงจะไม่ได้เข้าใจว่า แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง และคำของพระองค์ ต้องไม่เหมือนคำของคนอื่น แม้แต่คำที่เราเคยได้ยินมาก่อนแต่เราก็ไม่ได้เข้าใจคำนั้น เช่น โอกาส หรือ ขณะที่ประเสริฐที่สุดที่ในขณะนี้ในชาตินี้เป็นอย่างนี้ แล้วมีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ แค่ธรรมะคำเดียว คำเดียวของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าไม่ฟังจะไม่รู้เลยว่า ธรรมะ หมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างหมดเลย ไม่เว้นเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ สิ่งนั้น ภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คือว่า จากการที่เราเกิดมาแล้วไม่รู้ความจริง ทุกวัน ว่าอะไร ก็หมดไปแต่ละวัน เราก็เริ่มที่จะได้ฟังและเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกคำจะเป็นของใครไม่ได้ เพราะบอกว่า สิ่งที่มีจริง ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เราอาจจะบอกว่าเราเห็น เราได้ยิน เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก่อนจะได้ฟังธรรมะ คิดอย่างนี้ แต่พอฟังธรรมะ ความละเอียดซึ่งประมาทไม่ได้เลยสักคำ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง คนที่ไม่เคยฟังมาก่อน ลองหาสิ ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ กำลังมีจริงๆ คือ อะไรบ้าง? ถ้าไม่เคยฟังมานึกไม่ออกเลย

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย แล้วก็ละเอียดมากด้วย เกินกว่าที่ใครจะสามารถไตร่ตรอง หรือว่า คิดขึ้นมาเองได้ เพราะเหตุว่า ขณะนี้ "เห็น" มีจริงๆ ดูธรรมดามากเลย เกิดมาแล้วก็ต้องเห็น แต่ "เห็น" นี้แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนาน จนกระทั่งตรัสรู้ได้ ว่าขณะนี้ "เห็น" เกิดขึ้นและ "เห็น" ดับไป ค่อยๆ ฟัง จนกระทั่งรู้ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้เราค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ จากไม่เห็น แล้วก็เกิดเห็น แล้วก็มีอย่างอื่น ได้ยิน ซึ่งไม่ใช่เห็น ก็แสดงว่าเห็นต้องดับไป

เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือว่า มีสิ่งที่มีเกิดขึ้น โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น ก็ต้องเกิด ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับไป ก็ไม่ได้ นี่คือโอกาสที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ละเอียดยิ่ง เพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยง ยั่งยืน มีแต่สิ่งซึ่ง เกิดแล้วก็ดับ สืบต่อ เร็วจนกระทั่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าขณะนี้ ถ้าฟังแล้วจะเริ่มเข้าใจขึ้นจริงๆ ว่า แม้แต่กำลังเห็นขณะนี้ก็ใช้คำว่า ไม่เที่ยง หมายความว่า ไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ทำให้ค่อยๆ ละ ความติดข้องในสิ่งที่มี ว่าเป็นเรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเราก็ต้องมีเราที่ยั่งยืน แต่เพราะไม่ใช่เรา เพียงแต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น จากเกิดก็ต้องสู่การตาย ไม่มีใครเลยซึ่งเกิดแล้วไม่ตาย แต่ถ้าฟังพระธรรมต่อไป ความตายเป็นธรรมดา เพราะเหมือนหลับ ขณะหลับก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ชื่ออะไร? พอตื่นก็เห็นฟ้าบ้าง เห็นเมฆบ้าง เห็นคนบ้าง เห็นน้ำบ้าง แต่ตอนหลับ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ขณะที่ตาย เหมือนขณะที่หลับ เหมือนขณะที่เกิด คือ ไม่มีอะไรปรากฏ จากโลกนี้ก็เป็นอีกโลกหนึ่งทันที เหมือนกับยังไม่ตาย จากหลับก็ตื่นขึ้น พอตื่นขึ้นก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ยังคงเป็นโลกนี้ แต่ถ้าถึงเวลาที่จะสิ้นสุดกรรมที่จะให้ผลในความเป็นบุคคลนี้ ไม่ต้องห่วงใย ไม่ต้องกังวลเลย เหมือนทุกวันที่เราหลับ และพอตื่นขึ้นก็อีกโลกหนึ่ง หมดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง

เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ ยังไม่ถึงขณะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ "ความดี, คนดี" เพราะเหตุว่า เราก็เห็นโทษของความไม่ดี อกุศลทั้งหลาย แม้แต่ว่า ยังไม่จากโลกนี้ไปก็ ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกน้ำท่วมบ้าง เป็นโรคเป็นภัยต่างๆ ทรัพย์สมบัติสูญหาย ร่างกายป่วยไข้ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรให้ใครได้ แต่ต้องเป็นบุคคลนั้นเอง ที่ฟังธรรมะแล้วก็มีความเห็นที่ถูกต้อง รู้ว่าเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไป จะทำความชั่วทำไม? เพราะว่า ไม่มีคนอื่นได้รับผลนอกจากตัวเอง!!!

แต่ความชั่วทั้งหมด มาจากความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงทำให้ยึด ติดข้องว่าเป็นเรา พอเป็นเราแล้วก็ เราก็ต้องการความสุข ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่น่าพอใจ ที่อยากได้ แต่ลืมความจริง ได้มา เพื่อที่จะเสียไป มีใครบ้าง ที่ได้มาแล้วไม่เสียไป ได้ชาตินี้มาเป็นคนนี้ ก็ต้องสูญเสียความเป็นบุคคลนี้ไป

เพราะฉะนั้น สิ่งอื่นนี่ เล็กน้อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะเห็น เห็นหมดแล้ว ได้ยิน ได้ยินหมดแล้ว สิ่งที่สวยงาม ที่อยากได้ เสร็จแล้วก็ได้มา ก็เบื่อแล้ว เก่าแล้ว ทิ้งแล้ว หรืออะไรก็ตามแต่ แต่สิ่งที่จะติดตามไป คือ กุศลและอกุศล ทุกขณะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เกิด ปรากฏ ให้เห็น แต่หารู้ไม่ว่า เพลิดเพลินขณะใด อกุศลไม่ใช่เรา กำลังติดข้อง กำลังเพลิดเพลิน

เพราะฉะนั้น ทั้งชาติที่เพลิดเพลินไปในความสุขต่างๆ ก็คือความติดข้องที่กำลังสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งถึงชาติต่อไป ก็หนาแน่นมากขึ้น จากอดีตที่ผ่านมา จนเป็นคนนี้ ก็รู้ตัวได้เลย เราติดข้องแค่ไหน? เพราะอะไร? เพราะว่าเราเคยพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ชาติก่อนเยอะเลย แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่มีสิ่งที่เราพอใจในชาติก่อนเหลือเลย แต่เรามีความติดข้อง สะสมอยู่ในจิต เพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ไปจากชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง ก็คือ กิเลส โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง จนกว่าจะถึงขณะที่ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ซึ่งด้วยพระมหากรุณาที่ตรัสรู้ความจริงก็เห็นว่า สัตว์โลก ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วใครจะเลือกได้ ชาติไหนจะสุขแค่ไหน ชาติไหนจะทุกข์แค่ไหน จะลำบากแค่ไหน ก็ติดข้อง ไม่มีการที่จะสามารถออกไปพ้นจากการที่จะต้องเกิดแก่เจ็บตาย ทุกชาติ จนกว่าจะมีการได้ฟังพระธรรม

แต่ว่า กว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ยิ่งด้วยพระปัญญาถึงสี่อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น ขณะที่ทรงตรัสรู้ สภาพธรรมะปรากฏ ไม่มีสักคำ แต่เป็นความจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่มีการที่ติดข้องหรือความไม่รู้ปิดกั้นได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น ความจริงก็คือ สภาพธรรมะขณะนี้กำลังเกิดดับเป็นอย่างนี้ แต่พระมหากรุณาที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะอนุเคราะห์คนอื่น ก็ทำให้ เมื่อถึงเวลาที่จะแสดงพระธรรม จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ คำทั้งหมดแต่ละคำ ด้วยพระมหากรุณาแสดงความจริง ละเอียดยิ่ง เพราะรู้ว่า เพียงได้ฟังครั้งแรกๆ ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ แต่อาศัยที่ว่าเป็นผู้ที่มีสัจจะบารมี รู้ว่า ความจริง คือ เดี๋ยวนี้!!! เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่อง "เห็น" เรื่อง "ได้ยิน" เรื่อง "สุข" เรื่อง "ทุกข์" ทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ก็จะทำให้ผู้นั้นมั่นคงในสัจจะ ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อ ได้ฟังคำของพระองค์ ที่ทรงแสดงให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

การบูชาพระรัตนตรัย ไม่ใช่เพียงด้วยดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์ที่จะบำเพ็ญบารมี ให้คนเอาดอกไม้ธูปเทียน มาสักการะบูชา เท่านั้น ตามอัธยาศัย แต่ประโยชน์สูงสุด คือ ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้เขาได้ฟังธรรมะ ได้เข้าใจความจริง เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะนี่คือสัจจะ ความจริง ซึ่งขณะก่อน ไม่เหลือแล้ว ขณะต่อไป ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้น จะหวังรอขณะไหนที่จะเข้าใจธรรมะ? ไม่มีรอเลย เกิดแล้วดับไปอยู่เรื่อยๆ

ขณะนี้ ที่กำลังฟังนี่แหละ ที่กำลังเป็นบารมีที่จะทำให้เริ่มได้เข้าใจความจริงของธรรมะเพิ่มขึ้น ถ้ามีความมั่นคงในความจริงนี้ อธิษฐานบารมี อธิษฐาน ไม่ได้หมายความว่าไปไหว้กราบขออะไรจากใคร ขอได้หรือ? แม้แต่มารดา ซึ่งบุตรกำลังเจ็บหนัก อยากจะเจ็บแทน ป่วยไข้แทน ก็ทำไม่ได้ อยากจะตายแทนก็ทำไม่ได้ เพราะว่าแต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่งธรรมะ ไม่ใช่หนึ่งคน หนึ่งธรรมะ "เห็น" เป็นหนึ่ง "ได้ยิน" เป็นหนึ่ง "คิด" เป็นหนึ่ง "สุข" เป็นหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปเร็วมาก แต่พระปัญญาคุณก็สามารถที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งเห็นความยากยิ่งของการที่ใครจะเข้าใจธรรมะ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้มีความอดทน ขันติบารมี รู้ว่า ถ้าไม่ฟังต่อไป แแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร? เพียงแค่คำนี้ วันนี้ก็ยากแล้ว แต่ก็มีจริงๆ เห็นก็มีจริง เกิดจริง ดับจริง ตอนหลับไม่มีเห็น ได้ยินก็มีจริง สุข ทุกข์ ก็มีจริง เมื่อความจริงนี้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ก็ฟังพระธรรม ซึ่งการฟังและการเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเป็นปัจจัย สามารถที่จะเข้าใจเห็น ที่กำลังเกิดดับ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่เป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ซึ่งยากยิ่งที่มีโอกาสจะได้ฟัง เพราะว่าชีวิตมนุษย์นี้สั้น จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ได้ฟังอีกเลยก็ได้!!!

เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงบำเพ็ญพระบารมี อนุเคราะห์ให้เราได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำ ก็เป็นการบูชาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด ที่จะฟังด้วยความเคารพ ว่ายากแต่จริง สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ และเป็นเรื่องของการละ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความติดข้อง ตรงกันข้าม ถ้าความไม่รู้และติดข้อง ก็ทำให้เพลิดเพลิน เป็นไปในสังสารวัฏ แต่ถ้าเป็นปัญญา รู้จริงๆ จะติดข้องหรือ? ในเมื่อไม่มีเรา มีแต่ธรรมะแต่ละหนึ่ง จะใช้คำว่าธาตุก็ได้ ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย แสดงความจริงอยู่แล้ว ว่าเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด แล้วยังยึดถือว่าเป็นเรา เพราะความไม่รู้

เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้เลย ก็ค่อยๆ ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ซึ่งกุศลนี้ก็จะเป็นปัจจัย ไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็คิดถึงเต่าที่อยู่ในมหาสมุทร แล้วก็มีบ่วงคล้องคอที่จะ แล้วแต่จะไปถูกลมที่ไหนพัดไป ให้ได้เข้าไปอยู่ในบ่วงนั้น นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งทุกคน กำลังมีโอกาส

เพราะฉะนั้น ธรรมะ เป็นเรื่องลึกซึ้ง ฟัง และมีอะไรก็...ธรรมะมีคำตอบ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่ว่า นั่นเป็นทางโลก นี่เป็นทางธรรม แต่ให้รู้ว่า แม้แต่ทุกคำ เช่นคำว่า "โลก" ก็มีคำตอบในพระพุทธศาสนา ในคำสอนของพระพุทธเจ้า โลก คือ อะไรเพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรสงสัย และคิดว่าจะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สนทนาแบบกันเอง สบายๆ ค่ะ

(ภาพ Lobby ของโรงแรม Gateway Hotel Airport Garden กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา กลางดึกของคืนวันที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘)

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
napachant
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 2 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบคุณมากค่ะคุณวันชัย ภู่งาม

และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่ร่วมเดินทางไปสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 2 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาพี่วันชัยครับ ทั้งภาพงดงาม และ ธรรมที่ไพเราะ นำพามาซึ่งความเบาสบายด้วย กุศลจิตได้เป็นอย่างดี สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
apiwit
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 3 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thassanee
วันที่ 3 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 3 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 3 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาและขอบคุณมากค่ะคุณวันชัย ภู่งาม

และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่ร่วมเดินทางไปสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Sottipa
วันที่ 6 พ.ย. 2558

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 23 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ