ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  1 ต.ค. 2558
หมายเลข  27044
อ่าน  2,078

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณนภา จันทรางศุ และ คุณประกิต อ่องสร้อย เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่ บ้านพักตากอากาศของท่านทั้งสอง ที่ อิสระวิลเลจ ชะอำ เป็นโอกาสของการเจริญกุศล ที่คุณนภาและคุณประกิต ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ และ คุณกุสุมา โกมลกิติ (พี่จู) ท่านเจ้าภาพที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ สำหรับโอกาสในการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันท่านอาจารย์และคณะฯ ในวันเดินทางกลับ ซึ่งข้าพเจ้าพร้อมคุณภรรยา และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ภริยาของพี่หมอทวีป ถูกจิตร ก็ได้รับโอกาสให้ร่วมต้อนรับท่านอาจารย์ด้วยเช่นเคย ก่อนหน้านี้ก็ได้นำเสนอภาพและความการสนทนาธรรมในบรรยากาศสบายๆ โดยใกล้ชิดระหว่างการพักผ่อนที่คอนโดมิเนียม ตามกระทู้ที่ได้นำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๒๒-๒๔ กันยายน ๒๕๕๘

ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๒๔ กันยายน คุณแอ๊วซึ่งเป็นแม่ครัวใหญ่ พร้อมลูกมือสาวสองคนคือโม่ยและคุณทิพย์ มีเวลาเตรียมอาหารเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะเดินทางมาหัวหินคุณแอ๊วเธอไปเดินเลือกสรรวัตถุดิบที่เป็นของสดทั้งหมดด้วยตัวเองจากตรอกหม้อแถวหลังกระทรวงมหาดไทย กลางกรุงรัตนโกสินทร์ ถิ่นเทวดาและนางฟ้า เลยทีเดียว ถ้าใครได้ไปเดินตลาดสดซึ่งวางของขายบนถนนในตรอกหม้อ ย่านเสาชิงช้าแห่งนี้ จะตื่นตาตื่นใจกับกุ้ง หอย ปูปลา สดๆ คุณภาพเยี่ยม (ราคาก็เยี่ยมตามไปด้วย) เสียดายที่ไม่ได้บันทึกภาพบรรยากาศของตรอกหม้อซี่งแวดล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์เก่าแก่ มีกลิ่นอายของชาวจีนและชาวไทยที่สนิทสนมกลมเกลียวจนกลายเป็นทองแผ่นเดียวในชาติกันไปหมดแล้วในปัจจุบัน เคยได้ยินบางท่านกล่าวถึงเรื่องชนชาติต่างๆ ที่อพยพจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า หากว่ามีการอพยพมามากๆ ชนชาติที่เคยอยู่ในถิ่นฐานเดิมจะถูกกลืนชาติ แต่ในความจริงที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ชาติ ก็คือการเกิดขึ้นของจิต ซึ่งมี ๔ ชาติ คือ ชาติที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก และ กิริยา ที่กล่าวว่าชนชาติโน้น ชนชาตินี้ ก็เป็นเพียงสมมติเท่านั้น ความจริงก็เป็นเพียงจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะนี้ หาใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลใดไม่ ทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะ ที่เกิดขึ้น และดับไป เมื่อมีความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง บุคคลย่อมน้อมไปสู่ความดีทุกประการ เพราะรู้ว่า ความดีเท่านั้นที่เป็นเหตุให้เกิดผลที่ดี และเป็นสุข เป็นที่ปรารถนาของทุกคน ความชั่ว คือ อกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ย่อมให้ผลชั่ว เป็นทุกข์ จะให้ผลที่ดี ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ผลย่อมมาแต่เหตุ ตรงกับเหตุ ตามที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เมื่อบุคคลเข้าใจมั่นคงขึ้น การพูดและกระทำต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ย่อมน้อมไปสู่ความดีทุกประการ อันเนื่องมาจากเหตุปัจจัยที่ได้มีการศึกษาเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตามที่ทรงแสดงไว้ โดยความเป็นอนัตตา โดยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า แม้ความดีที่เกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อันบุคคลอบรมเจริญขึ้น มีขึ้น จากการได้ฟังความจริงที่ถูกต้องตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ควรที่จะมีความเมตตา ปรารถนาดี เป็นมิตร เกื้อกูลกันและด้วยความเคารพ ในความเป็นธรรมโดยเสมอกัน ร่วมกันทำความดีทุกประการ ความดี ซึ่งจะยังบารมีของบุคคลให้เต็มและถึงฝั่งได้ในวันหนึ่ง เป็นความดีทุกประการที่เจริญขึ้นในทุกๆ วัน ท่ามกลางกัลยาณมิตรที่อบอุ่น ในตลอดหนทางที่ยาวนาน ในสังสารวัฏ

เป็นความเมตตาอย่างยิ่งของท่านอาจารย์ ต่อคุณแอ๊วและคุณประกิต ที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาว่า ท่านจะเดินทางมาในเวลา สิบโมงเช้า ก่อนเวลารับประทานอาหารราวสองชั่วโมง เพื่อที่จะได้มีการสนทนาธรรมกันก่อนที่จะได้รับประทานอาหาร ซึ่งไม่เพียงที่จะเป็นความปีติแก่ท่านเจ้าบ้านทั้งสองเท่านั้น แต่เป็นความโชคดีของทุกๆ ท่าน ที่นอกจากจะได้รับประทานอาหารรสเลิศแล้ว ยังจะมีโอกาสได้รับสิ่งที่เลิศยิ่งกว่า คือ ความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น จากการที่จะได้ฟังคำ ที่ท่านอาจารย์จะมีเมตตากล่าวให้ได้ฟัง ข้าพเจ้าปรารภกับคุณแอ๊ว ถึงเรื่องราวในพระสูตร ที่กล่าวถึงพระผู้มีพระภาคฯ เมื่อทรงตื่นบรรทมในเวลาเช้า ทรงตรวจดูถึงอัธยาศัยของบุคคล ที่จะทรงมีพระมหากรุณาเสด็จไปเกื้อกูลแก่เขาในแต่ละวัน ฉันใด ข้าพเจ้าก็รู้สึกกราบเท้าท่านอาจารย์ว่า ความเมตตาไม่มีประมาณของท่านอาจารย์ ที่เห็นถึงอัธยาศัยของพวกเราทุกคน ก็ฉันเดียวกัน ผู้ละเอียด ย่อมพร้อมที่จะเงี่ยโสตลงสดับ ความที่ท่านผู้ส่งสาส์นของพระราชาจะนำมาสู่คลองแห่งโสตของทุกคนในวันนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เลิศที่สุดแก่บุคคลผู้มีการฟังด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง ด้วยความไม่ประมาท เพื่อการน้อมมาประพฤติ ปฏิบัติ ขัดเกลา ละคลายกิเลสของตนๆ ด้วยความเป็นอนัตตา จากความเข้าใจนั้นเอง ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะไปปฏิบัติขัดเกลา แต่ด้วยปัญญา ความเข้าใจจากการฟังที่มั่นคงขึ้น นั้นเอง นี่เป็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรมที่ทรงแสดง

ก่อนถึงเวลากำหนดที่ท่านอาจารย์จะเดินทางมาถึง คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง (คุณตู่) แห่งร้านมีชัย ข้าวเหนียวมูลแม่นงนุช ข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังของหัวหินหน้าตลาดฉัตรไชย และคุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ (คุณเอ๋) แห่งร้านคาวบอยคาเฟ่ ราชบุรี ก็นำขนมนานาชนิดมาร่วมเจริญกุศลในครั้งนี้ด้วย ซึ่งตอนนี้คุณเอ๋ได้เปิดกิจการใหม่อีกแห่งหนึ่ง เป็นร้านกาแฟโบราณ และ ก๋วยเตี๋ยวพริกสด ๒๔๙๙ ในตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี เพิ่งจะเปิดร้านไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ข้าพเจ้าเลยถือโอกาสตอนขาไป แวะรับประทานก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นที่ชื่นชอบรับประทานทุกครั้งที่ไปร้านคาวบอยฯ เป็นจานด่วนจานเด็ดจานหนึ่งที่ขึ้นชื่อของร้านก็ว่าได้ ซึ่งคุณเอ๋นำมาเป็นจานหลักในร้าน ๒๔๙๙ (ยุคอันธพาลครองเมือง-ท่านเจ้าของร้านพูดเอง) โดยในวันนี้ คุณเอ๋นำขนมถ้วยชื่อดังจากเมืองราชบุรีนับสิบกล่องมาร่วมเจริญกุศล ใจตรงกับคุณตู่ที่ทำขนมถ้วยแสนอร่อยมาจากร้าน ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน นอกจากนั้นคุณตู่ก็ยังนำข้าวเหนียวสังขยา ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวหน้าปลาแห้งกับแตงโม วุ้นน้ำตาลสด (ใส่ลอนตาลสด) ขนมเทียนเสวยชื่อดังของร้านมีชัย มาร่วมเจริญกุศลให้ทุกคนได้รับประทานกันอย่างเต็มที่ (แถมยังเหลือให้กลับบ้านอีกด้วย) ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทั้งสองท่านด้วยครับ สักพัก คุณประกิต สามีที่แสนดีของคุณแอ๊วก็ขับรถมาจากกรุงเทพฯ นำอาหารที่คุณยาย (คุณแม่ของคุณแอ๊ว) ตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่ มีฉู่ฉี่ปลาแซลมอนที่ทั้งสีและรสจัดจ้าน เข้มข้น อร่อยมาก กับหลนปูใส่กุ้งตัวโตๆ เนื้อปูเป็นก้อนๆ รสชาตินุ่มนวล อร่อยมากๆ เช่นกัน กราบอนุโมทนาคุณยายมา ณ ที่นี้เช่นกันครับ พูดถึงเรื่องอาหารและการถ่ายภาพอาหารมาฝากทุกๆ ท่านได้ชม ก็มีเรื่องเล่าอีกหน (ไม่แน่ใจว่าเล่าให้ท่านฟังแล้วหรือยัง น่าจะเล่าไปแล้ว) โดยครั้งก่อนที่เวียดนาม ท่านอาจารย์กล่าวกับข้าพเจ้าว่าถ่ายไปทำไม? ซึ่งข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่านว่า ถ่ายไปฝากให้ท่านที่ติดตามเรื่องเล่าของข้าพเจ้าได้ดูว่า ไปที่ไหน รับประทานอะไร เพื่อทุกท่านจะได้เห็นภาพด้วย ครั้งนี้ ที่คอนโดของพี่จู ขณะที่ถ่ายภาพอาหาร ท่านอาจารย์ก็กล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่า ถ่ายทำไม มันไม่มีสาระอะไร ข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่านอีกว่า จากที่ท่านเคยปรารภ ก็ลดๆ ลงบ้างแล้ว หลังๆ นี่ก็รีบๆ ถ่าย (อยู่ดี) ไม่พิถีพิถัน (ขณะต่อหน้าท่าน) ประการหนึ่งก็เพื่ออนุโมทนาผู้ที่ตั้งใจนำอาหารมาเลี้ยง ทั้งเพื่อจะนำมาประกอบกระทู้เรื่องเล่าให้สมบูรณ์ด้วย ท่านก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี (555) แม้จะกราบเรียนเหตุผลแล้ว ท่านก็ยังบอกว่า ไม่เห็นต้องไปทำตามคนอื่นเลย ข้าพเจ้าก็ยังไม่ลดราวาศอก กราบเรียนท่านด้วยสำคัญตนไปอีกว่า ความจริงผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ถ่ายภาพอาหารแล้วแชร์ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามในเฟซบุ๊คในยุคแรกๆ ดู ว่าไปที่ไหน รับประทานอะไร ที่ถ่ายๆ กันอยู่นี่ น่าจะมาจากที่ผมเป็นตัวอย่าง (ดูหนักเข้าไปอีก) ข้าพเจ้าไม่ได้ดื้อรั้น เพียงแต่กราบเรียนเหตุผลฝ่ายกิเลสของข้าพเจ้าให้ท่านทราบ สำหรับเหตุผลของท่าน ข้าพเจ้าทราบดีและน้อมใส่หัวใจไว้ด้วยความเคารพนานแล้ว วันหนึ่งคงเป็นไปตามกำลัง ตามที่ท่านได้เมตตากล่าวเตือน กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตทุกๆ ท่าน นำภาพบรรยากาศสบายๆ ของการสนทนาธรรมในวันนั้นมาฝาก เพื่อพิจารณา ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว เป็นความการสนทนาที่ไพเราะที่สุด และไม่สามารถหาฟังได้จากที่ไหนในสากลจักรวาล เพราะเหตุว่า ทุกขณะในวันนั้นดับหมดไปแล้ว สิ้นไปแล้ว ไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้อีกเลยในสังสารวัฏ มีเพียงความเข้าใจในแต่ละบุคคลที่ได้มีโอกาสฟังเท่านั้น ที่สะสมไป เป็นเสบียง เป็นที่พึ่งแก่บุคคลนั้นเอง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเพราะบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ในชาติต่อๆ ไป อันเป็นสิ่งเดียวที่บุคคลจะพึ่งได้ หากเป็นในยุคโน้นสมัยโน้น สิ่งเดียวที่จะยังคงหลงเหลือมาสู่ยุคนี้ได้ ก็คือการท่องจำต่อๆ กันมา แบบปากต่อปาก แต่ ณ วันนี้ ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดบันทึกไว้ ด้วยเทคโนโลยีแห่งยุคสมัย ซึ่งจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่บุคคลจะเห็นประโยชน์ และเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายที่แท้จริงของตัวหนังสือต่างๆ เหล่านี้ ว่าหาใช่เพียงตัวหนังสือไม่ แต่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ให้ผู้ที่ได้อ่าน สามารถเข้าใจในความจริงที่กำลังปรากฏได้ ซึ่งถ้อยคำทั้งหมดมาจากพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งพระองค์นั้น ซึ่งได้ถูกนำมาถ่ายทอดด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ร่วมหกสิบปีมาแล้ว จวบจนถึงวันนี้

ท่านอาจารย์ คือ ความรู้สึกแท้ๆ นี่มันเกิดแล้ว แล้วเราไปหาชื่อ แล้วเราคิดว่าเราเรียนธรรมะ คือต้องไปรู้ว่ามันชื่ออะไร แปลว่าเราไม่ได้เรียนธรรมะ ใช่ไหม? เพราะเราไปเรียน "ชื่อ" ถึงได้สงสัยว่า นี่ชื่ออะไร? ก็แปลว่าเราเรียนชื่อ แต่เราไม่ได้เรียนธรรมะ แต่ถ้าเป็นธรรมะ มันไม่มีชื่อ อย่าง "เจ็บ" มันเกิดแล้ว เราต้องไปเรียกชื่อหรือเปล่า? ว่า นี่ขันธ์ไหน อะไรอย่างนี้ กลายเป็นว่า เราไปเรียนชื่อหมดเลย แต่จริงๆ เราต้องเรียนเพื่อที่จะรู้ว่า เป็นธรรมะ หมายความว่า ไม่ใช่เรา

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เรียนธรรมะ เพราะว่า ทุกขณะเป็นธรรมะ มีจริงๆ อยู่แล้ว เดี๋ยวนี้!!! แต่เราไม่รู้ แต่มีผู้ที่ตรัสรู้ ใช่ไหม? ก็แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่มีนี้แหละ ที่เคยเป็นเรา เคยเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ความจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ มันก็มี แล้วเราพร้อมที่จะศึกษาสิ่งที่ แม้เราไม่เรียกชื่อ มันก็มีไหม? ให้เข้าใจว่า มันมีตัวนี้ แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่มีชื่อ แต่ไม่ใช่หมายความว่าให้เราไปเรียนชื่อว่า อันนี้ มันชื่ออะไร? แล้วมันเรียกว่าอะไร? อันนี้มันก็ผิดจุดประสงค์ เพราะจุดประสงค์ก็คือว่า เวลานี้ มันมีสิ่งที่มี ไม่ต้องเรียกชื่อ มันก็มี แล้วทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร เราไม่ได้เรียกชื่อมันเลยสักอย่าง มันก็มี ต้องอาศัยชื่อเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปเรียนชื่อว่า นี่เขาเรียกว่า เวทนา อันนี้เขาเรียกว่าสัญญา อันนี้เขาเรียกว่าขันธ์ ไม่ใช่!!!

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เข้าใจคำนั้นว่า หมายความถึงสิ่งที่มี ในลักษณะใด เช่น ชอบพูดคำว่า ขันธ์ เราไปที่ไหน เราก็ได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? ขันธ์ ๕ แทบจะว่าไม่มีใครไม่รู้จักเลย มีใครไม่เคยได้ยินไหม ขันธ์ ๕ ได้ยินมาก่อนนะคะ ชื่อก็รู้ว่า ๕ น่ะอะไร ใช่ไหม? ลำดับได้ด้วย แต่ว่า เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า? ทำไมเราไม่เรียนให้รู้!!! แล้วที่จริงเราไม่ต้องไปติดใจที่ชื่อ ขันธ์ ๕ แต่หมายความว่า เวลานี้ มันมีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าใจได้ เพราะคำว่าขันธ์ หมายความถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีหรือ? "หิว" ก็ต้อง "เกิด" ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ปรากฏในลักษณะนั้น "โกรธ" ก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีในลักษณะนั้น!!! ใช่ไหม? แต่เมื่อมีแล้ว เราจำเป็นต้องใช้ "คำ" เพื่อที่จะอธิบายให้รู้ว่า สิ่งนี้เกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย แต่เกิดเป็นอย่างนี้ ตามเหตุตามปัจจัย และเกิดแล้วก็ดับด้วย แต่ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ดับก็ต้องมีอย่างเดียวอยู่ตลอดเวลา นี่เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวหิว เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวชอบ ใช่ไหม? แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า ไม่พร้อมกัน เพราะว่ามีธาตุรู้ สิ่งนี้จึงได้ปรากฏได้ อย่าง "เสียง" ถ้าไม่มีสภาพที่ "ได้ยิน" เสียงจะปรากฏได้อย่างไรว่ามี แต่เพราะว่ามี "ธาตุรู้" เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดก็คือว่า มี "ธาตุรู้" เป็นสิ่งที่มีจริง ที่ใช้คำว่าธาตุ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วด้วย แล้วก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครบอกให้รู้ว่า ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ทั้งสิ้น!!! แล้วก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แล้วก็กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วย!!! ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรทั้งหมด กำลังมี เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มี เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า มันมีจริงๆ เพราะเกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้เลย อยากให้เกิดก็ไม่เกิด ไม่อยากให้เกิดก็เกิด แล้วแต่ว่าเกิดเมื่อไหร่ก็เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ตอนที่เราเกิดขณะแรก เกิดมาเป็นมนุษย์ มีจิตใจ มีธาตุรู้เกิดขึ้นขณะแรก เราต้องการหรือเปล่า? หรือว่า มันเป็นสิ่งซึ่งมีเพราะเหตุได้กระทำไว้แล้ว? พอเหตุได้กระทำไว้แล้ว จึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ในโลกนี้ ตามสิ่งที่ได้กระทำไว้แล้ว ว่าเป็นลักษณะไหน เป็นคนหรือเป็นอะไรก็ตามแต่ แต่ว่าต้องมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ ก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต และเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ ก็มีสิ่งที่มีชีวิตอย่างหนึ่ง กับ สิ่งที่ไม่รู้อะไรอีกอย่างหนึ่ง ก็แค่นี้!!! ที่เราเกิดมา จะพ้นจากการเห็น การได้ยิน การคิดนึก ไม่ได้ แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่ไปก็ไม่ได้ ถึงเวลาก็ต้องไป แต่จะไปโดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หรือว่า เริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรา!! แม้แต่การเกิด ก็มีปัจจัยที่จะต้องเกิด เกิดแล้วยังตายไม่ได้ ทุกวันๆ ก็จะต้องหลับแล้วตื่น หลับแล้วตื่น หลับแล้วตื่น ตอนหลับก็ไม่มีอะไรปรากฏ แต่พอตื่นก็มีทุกอย่างปรากฏ ทั้งวัน แล้วก็หลับ ตอนหลับก็ไม่เหลือสักอย่าง แล้วเวลานี้อีกไม่นานก็ไม่เหลือ เพราะว่าหลับ แต่ตอนที่ยังไม่หลับก็ต้องมีการเห็น มีการได้ยิน สิ่งต่างๆ นี้ ให้เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เรียนชื่อ แต่เราเรียนธรรมะ โดยต้องอาศัยชื่อ!!!

เพราะฉะนั้น จะถามว่า นี่เวทนาใช่ไหม? ไม่ต้องถาม ถ้าเราเข้าใจว่าเวทนาก็เป็สภาพที่รู้สึก ใช่ไหม? ความรู้สึกก็มี ๕ อย่าง บางครั้งก็เฉยๆ เวลานี้รู้สึกอย่างไร ก็เฉยๆ บางครั้งก็รู้สึกดีใจ บางครั้งก็รู้สึกเสียใจ แล้วที่กายก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวคัน ต่างๆ เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวหิว ถ้าทางใจก็คือว่า แม้ไม่มีทุกข์กายเลย ไม่ป่วย ไม่เจ็บ แต่ใจไม่เป็นสุข เพราะฉะนั้น ก็มีทุกข์ทั้งกายทั้งใจ ซึ่งมันเกิดขึ้นแน่ๆ ใครไปบังคับให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วใครจะรู้ว่าต่อไปอะไรจะเกิด ไม่มีทางเลย!!! แต่ว่า พอถึงเวลา มันก็เกิด ปรากฏแล้ว นี่ เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ แต่ละขณะ แต่ละขณะไป

เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้ว สุขก็มี ทุกข์ก็มี มีทุกอย่างหมด ขอเพียงให้เข้าใจความจริง ดีกว่าเกิดมาสุข ทุกข์ แล้วก็ไม่เหลือจริงๆ จากไปแน่ๆ ทุกคน แล้วก็ไม่รู้อะไร เพิ่มความไม่รู้ไปทุกชาติ แต่ว่า มีโอกาสที่จะได้เข้าใจเมื่อไหร่ มันก็เป็นสิ่งซึ่ง หายาก!!! ที่จะมี "คำ" จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ แล้วก็ได้แสดงความจริงว่า สิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลานี้ ไม่มีใครไปทำเลย แต่มีปัจจัยก็เกิด ตื่น บอกให้ตื่นได้ไหม? กำลังหลับ ตื่นเอง ตอนจะหลับ บอกให้หลับได้ไหม? ก็หลับเอง ทุกอย่างหมด หาไปแล้วก็คือว่า ไม่มีใครสามารถจะไปทำอะไรได้เลย บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย เพราะอะไร? เกิดแล้วหมด ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น บางคำของท่านสั้นมาก ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ นี่คือ ความหมายของขันธ์ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ

เพราะว่า ก่อนมีเสียง ไม่มี แล้วก็มีเสียง แล้วเสียงก็หมด แล้วทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะเสียง มันเป็นอย่างนี้ ละเอียดยิบ โดยที่ว่า ถ้าไม่ได้มีการได้ฟังจริงๆ เราก็คิดไม่ออกว่าเดี๋ยวนี้ ที่เหมือนกับนั่งอยู่อย่างนี้ เป็นเราอยู่อย่างนี้ ความจริงเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิด ปรากฏ แล้วก็หมดไป แล้วก็ต่อกันเร็วมาก เนียนสนิท จนไม่รู้ว่า เกิดแล้วดับ เหมือนเราดูหนังทั้งเรื่อง ไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละรูป แต่ละรูป แต่ละรูป เขาต้องสืบต่อกัน

เพราะฉะนั้น นี่คือผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงและรู้ว่า คนอื่นสามารถเข้าใจได้ จึงได้ทรงแสดง ถ้าคนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ เรื่องอะไรจะมาพูด เสียเวลา ใช่ไหม? แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเข้าใจได้ เพราะมีจริงๆ แล้วกำลังมีด้วย

เพราะฉะนั้น ก็ยืนยันว่า เป็นสิ่งที่มีแน่นอน แล้วก็กำลังมีให้เข้าใจถูกต้อง แล้วแต่ว่าปัญญา จะถึงระดับไหน ถ้าไม่ถึงระดับที่ประจักษ์ความจริง ก็ยังเป็นเรา!!! หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็เป็นของเรา

เพราะฉะนั้น ไม่ได้เรียนชื่อ!!! ไม่ต้องถามว่านี่สัญญาใช่ไหม? ถ้าเรารู้ว่า สัญญา หมายถึง สภาพจำ พอเรารู้ว่าภาษาไทยเราใช้คำว่า "จำ" เดี๋ยวนี้ทุกอย่างหมด ที่จำนั่น จำนี่ ก็ไม่ใช่เรา แต่มีธาตุที่เกิดขึ้นแล้วจำ ทำหน้าที่จำ ถ้าไม่มีธาตุนี้ ไม่มีการจะจำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ว่าอะไรเป็นอะไร แม้ปรากฏก็ปรากฏ แต่ไม่จำ แต่นี่เพราะเหตุว่า ทันทีที่อะไรปรากฏ "สภาพจำ" เขาเกิดขึ้นจำ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว คือ เป็นธรรมะทั้งหมดที่ละเอียดมาก เกิดดับเร็วมาก นี่คือการที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ลวงเหมือนกับว่าไม่ได้ดับไปเลย มีอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น การที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทางเดียว คือ เริ่มเข้าใจสิ่งที่มี แล้วรู้ว่า ใครสามารถที่จะพูดถึงให้เราสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ มากน้อยไม่สำคัญ ไม่ใช่ตัวเราอยากจะรู้มากๆ อยากจะรู้เร็วๆ แต่เป็นผู้ตรง ธรรมะนี่ต้องตรง ในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า ผู้ที่ตรงเท่านั้น ที่จะได้สาระจากพระธรรม!!!

ไม่ใช่ถามคนอื่น ว่าเราเข้าใจถูกไหม? ใช่ไหม? ตรงหรือเปล่า? เข้าใจถูกไหม? ฟังแล้ว ถ้าเข้าใจก็คือเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ แล้วถ้าเขาบอกว่าไม่ถูก เราจะว่าอย่างไร? แล้วถ้าบอกว่าถูก เราจะว่าอย่างไร? ไม่ใช่เป็นเรื่องไปเชื่อคนอื่น แต่คำที่ได้ฟังแล้ว ฟังแล้วๆ เล่าๆ ครั้งที่หนึ่งยังไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก เมื่อฟังอีก ว่าขณะนี้ เห็นเกิด เพราะว่า ถ้าไม่เกิด จะมีเห็นหรือ? ใช่ไหม? แล้วเห็นก็ดับ เพราะธาตุรู้เขาต้องรู้ทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ได้พร้อมกันเลย แต่เพราะความเร็วมากก็เหมือนกับพร้อมกันทุกอย่าง นี่คือ ความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ความรู้ ก็คือว่า ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และเวลาที่เข้าใจ ก็มีสิ่งนี้ ที่กำลังปรากฏ แล้วก็ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏนี้แหละ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจ จนกว่าจะมั่นคงว่าจริง แล้วจะไปถามคนอื่นว่า ถูกไหม? มันไม่มีทางเลย ถ้าเป็นความเข้าใจแล้ว เพราะมันจริงก็ต้องจริง!!!!

แต่ต้องไม่ลืมว่า ไม่ได้ศึกษาชื่อ แต่ต้องมีคำ สำหรับที่จะให้เข้าใจ เพราะว่าถึงกำลังมี บอกว่าสิ่งที่กำลังมี แค่นี้ก็ไม่พอ ปัญญาเราไม่พอ สิ่งที่มี เราไม่ได้ไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยเกิดก็เกิด ค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีจริงๆ เพราะมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่ถาวร ไม่คงที่เลย เมื่อวานนี้หมดไปเลย ไม่เหลือ แล้ววันนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้นทุกขณะ จนกว่าจะหลับเมื่อไหร่ก็คือหมดเลย แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ฟังแล้วให้เรารู้ทันที แต่เข้าใจขึ้น!!! อันนี้ คือความถูกต้อง!!!

ฟัง เพื่อเข้าใจถูก ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ใช่ไปจำคำเยอะๆ แล้วก็เอามานั่งคิด นี่ว่าอย่างไร โน่นว่าอย่างไร อตีต, อารัมณ อะไรก็ว่าไป แต่ไม่รู้ ว่าแท้ที่จริง คือ สิ่งที่กำลังมี!!! แต่การที่ทรงพระมหากรุณา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่ตรัสรู้ ไม่มีคำ!!! เหมือนเดี๋ยวนี้!!! เห็นเกิดดับ ไม่ต้องไปเรียกว่า นี่นะ จักขุวิญญาณเกิดขึ้น ดับไป ไม่ต้องเลย แต่เวลาที่มีพระมหากรุณาที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงที่ได้ตรัสรู้แล้ว ทั้งหมดเป็นคำของพระองค์ จากการที่สะสมบารมี สามารถที่จะแสดงสิ่งที่มีจริง โดยนัยหลากหลาย แสดงโดยความเป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรมะ แสดงความไม่ใช่ของใคร เพราะเหตุว่า มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ดับแล้ว หมดแล้ว ใคร? ไม่มีเหลือเลย ไม่เหลือเลย จะไปหาอีกในสังสารวัฏ ไม่มี!!! ทุกๆ ขณะที่กำลังมีขณะนี้

เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ ให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปหวังอะไร ไม่ใช่ไปรู้ชื่อ ไปหวังโน่น หวังนี่ พูดเรื่องนี้ เราต้องไปรู้เรื่องนั้น ไม่ใช่!!! แต่ให้เข้าใจว่ามี แต่ขณะนี้ อะไรปรากฏ พอที่จะรู้ได้!!!

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ หน้าที่ ๓๕๗

เรื่องการฟังธรรม

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภการฟังธรรมตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อปฺปกา เต มนุสฺเสสุ" เป็นต้น.

ดังได้สดับมา พวกมนุษย์ผู้อยู่ถนนสายเดียวกัน ในกรุงสาวัตถี เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ถวายทานโดยรวมกันเป็นคณะแล้ว ก็ให้ทำการฟังธรรมตลอดคืนยังรุ่ง, แต่ไม่อาจฟังธรรมตลอดคืนยังรุ่งได้; บางพวกเป็นผู้อาศัยความยินดีในกาม ก็กลับไปเรือนเสียก่อน, บางพวก เป็นผู้อาศัยโทสะ ไปแล้ว, แต่บางพวกง่วงงุนเต็มที นั่งสัปหงกอยู่ในที่นั้นนั่นเองไม่อาจจะฟังได้. ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุยังถ้อยคำให้ตั้งขึ้นในโรงธรรมเจาะจงถึงเรื่องนั้น. พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? " เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้" จึงตรัสว่า " ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์เหล่านี้ อาศัยภพแล้ว เลยข้องอยู่ในภพนั่นเอง โดยดาษดื่น, ชนิดผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย," เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

" บรรดามนุษย์ ชนผู้ถึงฝั่งมีจำนวนน้อย, ฝ่ายประชานอกนี้ เลาะไปตามตลิ่งอย่างเดียว, ก็ชนเหล่าใดแล ประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรมที่เรากล่าวชอบแล้ว, ชนเหล่านั้นล่วงบ่วงมารที่ข้ามได้ยากอย่างเอกแล้ว จึงถึงฝั่ง "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนภา จันทรางศุ และ คุณประกิต อ่องสร้อย

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมภาพและความการสนทนาในครั้งก่อน ได้ที่นี่ครับ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๗


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 2 ต.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
jirat wen
วันที่ 2 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปวีร์
วันที่ 2 ต.ค. 2558

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 2 ต.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบพระคุณท่านผู้ดำเนินการจัดสนทนาธรรมและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

ขออนุโมทนาขอบพระคุณ คุณวันชัย ภู่งามที่เมตตานำเสนอทั้งสาระจากการสนทนาธรรมและภาพประกอบอันงดงาม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 2 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 2 ต.ค. 2558

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตคุณน้องนภา จันทรางศุ คุณประกิต อ่องสร้อย คุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ในความเอื้อเฟื้อการสนทนาธรรม ซึ่งมีคุณค่า และสาระมากๆ ขณะที่ค่อยๆ อ่านตาม ก็เป็นขณะที่ประเสริฐยิ่ง คือ สะสมความเข้าใจถูก ที่จะเกื้อกูลในการประพฤติถูก สมควรแก่ธรรมต่อๆ ไป เวลาที่เหลือจึงสมควรอย่างยิ่ง เพื่อความเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 2 ต.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ch.
วันที่ 3 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 5 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 5 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Nataya
วันที่ 5 ธ.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ