สจิตตสูตร - o๕-o๙-๒๕๕๘

 
มศพ.
วันที่  31 ส.ค. 2558
หมายเลข  26971
อ่าน  1,153



•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘

เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

สจิตตสูตร

(ว่าด้วยภิกษุพึงเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน)

จาก [เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า๑๖๘

นำสนทนาโดย

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และคณะวิทยากร

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า๑๖๘

สจิตตสูตร

(ว่าด้วยภิกษุพึงเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน)

[๕๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่นไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร? ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาวมีปกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องอันบริสุทธิ์หมดจดหรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากว่าเขาไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของเราหนอหน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมาก เราเป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะอยู่โดยมาก เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากเราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้พ้นความสงสัยได้โดยมาก เราเป็นผู้โกรธอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่โกรธอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอหรือว่าเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่าเราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมาก เป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมาก เป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก เป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมาก เป็นผู้มีความโกรธอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมาก เป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก เป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรทำความพอใจความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะอันไฟไหม้ พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือไฟไหม้ศีรษะนั้น ฉันใด ภิกษุนั้น ก็พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่าเราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก เป็นผู้ปราศจากถิ่นมิทธะอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก เป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยอยู่โดยมาก เป็นผู้ไม่โกรธอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้าอยู่โดยมาก เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความเพียร เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป.

จบสจิตตสูตรที่ ๑

อรรถกถาสจิตตสูตรที่ ๑

ในสจิตตสูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.-

บทว่า สจิตฺตปริยายกุสลา แปลว่า ผู้ฉลาดในวาระจิตของตน.บทว่า รช ได้แก่ อุปกิเลสที่จรมา.

บทว่า องฺคณ ได้แก่ มีจุดดำตามตัวเป็นต้นอันเกิดในที่นั้นๆ .

บทว่า อาสวาน ขยาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตต์.

จบอรรถกถาสจิตตสูตรที่ ๑


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 31 ส.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป สจิตตสูตร *

ว่าด้วยภิกษุพึงเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจิตของตน คือ พิจารณา ว่า ตนเองมีอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น) มีความพยาบาท (ความปองร้ายผู้อื่น) มีถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอนท้อแท้ ท้อถอย) มีอุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) มีวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) มีความโกรธ มีจิตเศร้าหมอง มีกายอันปรารภอย่างแรงกล้า (เพียรไปด้วยความเห็นผิด ด้วยความต้องการ) มีความเกียจคร้าน มีจิตไม่ตั้งมั่น บ้างหรือไม่? ซึ่งถ้าเห็นว่า มี ก็จะเป็นประโยชน์ในการขัดเกลา ที่จะได้มีความพอใจ มีเพียรพยายามเพื่อละบาปธรรมเหล่านั้นเหมือนกับผู้ที่มีผ้าถูกไฟไหม้หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้ รีบที่จะดับไฟ แต่ถ้าเห็นว่า ไม่มี ก็ควรที่จะตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้น แล้วก็มีความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นต่อไป.

หมายเหตุ คำว่า สจิตต (สะ-จิด-ตะ) ซึ่งเป็นชื่อของพระสูตร แปลว่ จิตของตนเอง

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ

นิวรณ์และตัณหา

นิวรณธรรม

นิวรณ์ คือ ปิดกั้นจิตไว้

การละนิวรณ์

ความโกรธ ย่อมย่ำยีคนลามก

ไม่เข้าไปผูกความโกรธ

บุคคลเริ่มตั้งความเพียรในกุศลธรรม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 31 ส.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 3 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jirat wen
วันที่ 5 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 6 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ