ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เซอร์เจมส์รีสอร์ทคันทรีคลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  21 ส.ค. 2558
หมายเลข  26946
อ่าน  2,006

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันเสาร์ ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจาก ชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ใจธรรมะ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ เซอร์เจมส์รีสอร์ทคันทรีคลับ อำเภอ มวกเหล็ก จังหวัด สระบุรี ระหว่างเวลา ๑๓.๓๐ - ๑๖.๓๐ น.

การไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ และ คณะวิทยากร ที่ เซอร์เจมส์ฯ ในครั้งนี้ เกิดขึ้นได้ ก็เนื่องมาจากเพื่อนของพี่ป้อมมณี มณีไพโรจน์ ซึ่งเป็นผู้บริหารอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้จัดการประชุมวาระครึ่งปีให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นสมาชิกชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ใจธรรมะ จำนวนราว ๑๖๐ คน นอกเหนือไปจากการที่เดินทางมาพักผ่อนและประชุมสัมมนาในเรื่องของการทำงานแล้ว ก็ใคร่ที่จะให้พนักงานได้มีการฟังและเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง ในเรื่องของพระศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตลอดเวลาของการสนทนา เป็นไปกับความรู้ ความเข้าใจที่ ท่านอาจารย์และวิทยากร และ ท่านผู้ใหม่ที่ร่วมฟัง ได้สนทนาสอบถามปัญหาต่างๆ ที่เคยมีความสงสัย ไม่เข้าใจ เป็นปัญหาที่อาจดูธรรมดาๆ หากแต่ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทุกบุคคล จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เมื่อได้เริ่มมีความเข้าใจจากการได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ จะทำให้ความไม่รู้ และ ความสงสัยต่างๆ ค่อยๆ มลายหายไป ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะเหตุที่ได้ฟังและเข้าใจขึ้น ในพระธรรม ที่เป็นสัจจะ ความจริง เป็นเหตุเป็นผล เมื่อได้ฟังและพิจารณาตามที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ย่อมสามารถจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นปัญญาของตนเองได้ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วเชื่อ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาความเข้าใจถูกของตนเอง นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาทรงแสดงพระธรรมเลย

ด้วยเหตุนี้ ในตลอดระยะเวลาราวสองชั่วโมงของการสนทนาธรรม จากที่ข้าพเจ้าคิดก่อนที่จะมีการสนทนาว่า จะเป็นไปในรูปแบบไหน แต่การณ์ก็ปรากฏให้เห็นว่า เป็นสองชั่วโมงของความเข้าใจ ความซาบซึ้งใจ และ ความประทับใจ ที่ได้เห็น เพื่อนๆ น้องๆ ผู้ใหม่ (ชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ใจธรรมะ) มีความกล้าที่จะสนทนาสอบถาม รวมถึงทุกคน แสดงความตั้งใจฟังด้วยดีอย่างยิ่ง ไม่เห็นมีใครนั่งหลับแม้สักคนเดียว ด้วยว่าเรื่องราวที่สนทนา อาจเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ รวมถึงการที่ท่านอาจารย์ และ วิทยากรได้กรุณาแสดงถึงจุดเริ่มต้นของความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ที่ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกว่า เป็นความไพเราะ และแสดงถึงความเมตตาของท่านอาจารย์อย่างยิ่ง ที่จะเกื้อกูล ทุกๆ คน ที่ท่านได้พบ ทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าบุคคลที่ได้ฟัง จะมีกุศลศรัทธาในการที่จะติดตามรับฟังต่อไป หรือไม่ เพียงใด แต่แม้เพียงนี้ ก็รู้สึกอนุโมทนากับท่านที่ได้ฟังในวันนั้น ว่าได้รับแล้วตามสมควร ซึ่งประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ทุกคนย่อมเป็นไปตามบุญที่ได้สะสมมา ที่จะเห็นประโยชน์สูงสุดของชีวิตกับการที่ได้เกิดมาหรือไม่? หากการกล่าวว่า ก่อนจะนับถึงสิบ ต้องนับหนึ่งก่อน หนึ่งนั้น คือ วันนี้ ที่เริ่มแล้ว แต่จะนับสอง สาม...ต่อๆ ไปหรือไม่? ในชาตินี้ หรือในชาติไหน? ก็แล้วแต่อัธยาศัยของบุคคล ด้วยความเป็นอนัตตา สำหรับข้าพเจ้า รู้สึกขอบพระคุณและอนุโมทนากับพี่ป้อม และเพื่อนของท่าน ที่ได้ให้โอกาสอันประเสริฐสุดและมีค่ายิ่งนี้ แก่ทุกบุคคล ในวันนั้น วันซึ่งเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ของบุคคล ในสังสารวัฏยาวนาน ซึ่งจะสิ้นสุดได้ ในวันหนึ่งแม้แสนไกล ด้วยปัญญา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แต่ไม่ใช่ด้วยอวิชชา ความไม่รู้ ซึ่งทำได้เพียงเวียนอยู่ เป็นตอของวัฏฏะ ในสังสารวัฏ ไม่มีทางที่จะออกไปได้เลย ต้องวนเวียนอยู่กับสุขและทุกข์เช่นนี้เรื่อยไป ตราบชั่วกาลนาน เพราะความไม่รู้

จึงขออนุญาต นำข้อความบางตอนจากการสนทนาแสนประทับใจยิ่งในวันนั้น มาฝากทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา ดังนี้ครับ

คุณวาสนา หลังจากเมื่อสักครู่ ได้ฟังเรื่องของชาติหน้า ก็มีคำถามว่า นรกสวรรค์ ไม่มีจริงใช่ไหม? มีชาตินี้ แล้วก็ไปชาติหน้าเลย ใช่ไหม?

ท่านอาจารย์ ทุกคำ ควรที่จะต้องพิจารณาในเหตุผล "นรก" คือ อะไร? "สวรรค์" คือ อะไร? ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่รู้ว่า เราจะเข้าใจได้อย่างไร? ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ลองคิดก็ได้ เวลานี้ โลกนี้ ไม่ใช่โลกนรกแน่!!! ไม่ใช่สวรรค์แน่ และ นรก สวรรค์ มีจริงไหม? ลองคิด ต้องมีเหตุผล และ เป็นคน "ตรง" ก่อนที่จะเกิดในโลกนี้ ใครรู้บ้าง ว่าจะมาสู่โลกนี้? ใครรู้บ้าง ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างนี้? (ทั้งห้องตอบเสียงดังว่า "ไม่รู้") แต่ เกิดแล้ว!!! เพราะอะไร? เพราะ "เหตุ" มี "ผล" จึงมี!!! "เหตุ" ตามที่เราเห็นอยู่ในโลกนี้ ก็คือว่า "ดี" ก็มี "ชั่ว" ก็มี เพราะฉะนั้น เหตุที่ดี ย่อมให้ผลที่ดีแน่นอน และ เหตุชั่ว ย่อมให้ผลชั่ว แต่เพียงเท่านี้ ไม่พอที่จะทำให้เรามั่นคงได้ ก็ต้องรู้ว่า ผลของเหตุ คือ อะไร? และ เหตุ คือ อะไร?

"โกรธ" ดีไหม? (ทั้งห้องตอบ- ไม่ดี) ทำร้ายตนเอง ยังไม่พอ ยังทำร้ายคนอื่นด้วย กาย เริ่มเบียดเบียนคนอื่น ถ้าไม่เบียดเบียน ด้วยกาย ก็เบียดเบียนด้วยวาจา ตั้งแต่เล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรง จนกระทั่งบางคนเขาบอกว่า ไม่ลืมจนตาย แค่คำพูด ไม่ลืมจนตาย หมายความว่า คำพูดนั้น ทำร้ายคนที่ได้รับเสียงนั้น ได้รับคำนั้น และก่อนที่จะถึงคนนั้น ผู้พูด ต้องโกรธอย่างมากขนาดไหน? ถึงจะมีคำอย่างนั้นได้ และบางทีก็ไม่ได้คิดได้ฝันเลย ว่าจะใช้คำนั้น แต่ก็พูดคำนั้นแล้ว เพราะความโกรธที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง

เมื่อเหตุอย่างนี้มี ผลจะมีไหม? นี่เป็นเหตุ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า เกิดมาแล้ว อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เพราะฉะนั้น ควรที่จะคิดตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด เลือกเกิดได้ไหม? (ทั้งห้องตอบ-ไม่ได้) เกิดที่ไหนดี? ไปที่โน่นดี ที่นี่ดี ประเทศนั้น ประเทศนี้ ได้ไหม? ไม่ได้เลย แต่เกิดแล้ว โดยเหตุที่ดี หรือ เหตุที่ไม่ดี ที่ได้กระทำแล้ว

ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องต่างกับนก ต่างกับปลา ต่างกับสุนัข เพราะว่า สามารถที่จะมีความรู้ ความคิด ความเข้าใจ เสียงต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยที่ว่า สุนัขก็ได้ยินเสียง ได้เห็น แต่ไม่สามารถที่จะมีการคิด การรู้ สิ่งที่ปรากฏได้มากเท่ามนุษย์

การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ หมายความว่า เป็นคติ เป็นทางไปที่ดีของเหตุที่ดี ที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคำ ชัดเจน ที่มาสู่โลกมนุษย์ เป็นทางไปที่ดีของเหตุที่ดี ที่ได้กระทำแล้ว

ขณะนี้ เป็นเหตุที่ดี ที่ได้กระทำแล้ว!!! ถ้าเป็นผลของเหตุนี้จริงๆ ไปสู่ทางที่ดี ซึ่งเหตุในขณะนี้ได้ทำแล้ว เราจึงมาสู่โลกนี้ ด้วยการกระทำหนึ่ง กรรม คือ การกระทำ ที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ดี ไม่เบียดเบียนใครเลย แต่กลับเป็นประโยชน์กับตนเอง และ คนอื่น

เพราะฉะนั้น ผลของกรรมนี้ ก็คือ ขณะแรกของชาตินี้ เกิดแล้ว เลือกไม่ได้!! จะเกิดกับพ่อแม่ไหน ญาติพี่น้องไหน วงศาคณาญาติ มิตรสหาย เพื่อนฝูง ตั้งแต่เกิดจนตาย เลือกไม่ได้ จะพบใคร จะคบใคร คนพาลก็มี บัณฑิตก็มี จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ทั้งหมด ให้ทราบว่า เป็นอนัตตา ลืมคำนี้ไม่ได้เลย เพราะว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทุกคำ" จะนำไปสู่ความเห็นถูก เข้าใจถูก ว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วคราว แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่สืบต่อ จนกระทั่งสนิท ไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ อะไรเกิด อะไรดับ!!!

แต่ทุกอย่างที่มีขณะนี้ เกิดแน่นอน แล้วก็ ดับแน่นอน เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่เกิดมา เป็นผลของกุศลกรรม "กุศล" แปลว่า ดีงาม เพราะฉะนั้น กรรมที่ "ดีงาม" กรรมหนึ่ง ก็ทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตามควรแก่กรรม จึงมีมนุษย์มากมาย รูปร่าง หน้าตาต่างๆ ประเทศต่างๆ ฐานะต่างๆ เพื่อนฝูงต่างๆ แต่ว่า กำลังอยู่ในครรภ์ ยังไม่ออกมาสู่โลกนี้ ก็แล้วแต่ว่า ขณะไหน เวลาไหน ถึงเวลาที่จะมีตา มีหู มีอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า เมื่อคลอดแล้วจากโลกนี้ มีโลกนี้ปรากฏ แต่ว่า ไม่รู้เลยว่า เป็นอะไร? ใช่ไหม? หรือว่า พอเกิดมา ก็รู้เลย ว่านี่เป็นพ่อ นั่นเป็นแม่ เป็นดอกไม้ หรือเป็นอะไร แม้เห็น ก็เห็นเพียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้ได้ยิน ก็คือได้ยินเสียง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะจำ เสียงที่ต่างๆ กัน หลากหลาย จนกระทั่งมีความหมายตามเสียงนั้นๆ ได้ ว่าเสียงนั้น หมายความถึงอะไร ค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ เติบโต กรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ยังไม่ปรากฏชัด เพราะว่า ความเป็นเด็กเล็กๆ เหมือนกันหมดเลย พอเกิดมาแล้วก็ไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไร จนกระทั่ง ค่อยๆ มีประสบการณ์ ทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ค่อยๆ โตขึ้น จนกระทั่ง เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ยังไม่พอ อยู่โรงเรียนเดียวกัน เด็กกี่คน? นิสัยต่างกัน เพราะแต่ละหนึ่ง สะสมมาในชาติก่อนๆ ที่สืบต่อมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ก็เป็นแต่ละคน ซึ่งต่างกัน

เพราฉะนั้น ผลของกรรม คือ ขณะแรกที่เกิด เลือกไม่ได้ ตามกรรม และเมื่อมีการเกิดแล้วสู่โลกนี้ "เห็น" ก็เลือกไม่ได้อีก ว่าจะเห็นอะไร ห็นสิ่งที่น่าพอใจ ดอกไม้สวยๆ หรือว่า สิ่งที่สกปรก ไม่น่าดูเลย ก็ได้ หลีกเลี่ยงได้ไหม? "เสียง" นอนหลับดีๆ ได้ยินเสียงดังสนั่น เลือกได้ไหม? (ทุกคนตอบ-ไม่ได้) ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไร เพราะ ไม่มีใคร แต่ทั้งหมด เป็นธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้น ตามเหตุที่สมควร

เพราะฉะนั้น ผลของกรรมตั้งแต่เกิดจนตาย คือ เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ๕ ทาง ให้รู้ว่าเป็นผลของกรรม "เห็น" เป็นผลของกุศลก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แม้แต่เสียง เป็นผลของกุศลก็ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลเสียงก็ไม่น่าพอใจ เลือกไม่ได้เลย ตลอดชีวิต แต่พ้นจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย นอกจากนั้น ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลส ที่มีความติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ อยากเห็น อยากได้ยิน ไม่มีใครอยากตาบอด ไม่มีใครอยากหูหนวก แต่เป็นกิเลสที่นำมาซึ่งกรรม แล้วแต่ว่า จะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เหตุใหม่เกิดแล้ว มีแล้ว เพราะฉะนั้น ผลก็ต้องเกิดต่อไปอีก

ถ้าย้อนกลับไป ในแสนโกฏิกัปป์ ที่เกิดมาเป็นใครต่อใคร จนกระทั่ง มาถึงขณะนี้ เราไม่รู้ใจของเราเลย จนกว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ได้ สะสมอะไรมามาก สะสมความโกรธ ความขุ่นใจมามาก เห็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ขุ่นใจแล้ว เดือดร้อนใจแล้ว ไม่พอใจแล้ว คนอื่นก็ดูเขาไม่เดือดร้อน เขาก็นั่งเฉยๆ แต่คนนี้ ทำไมหงุดหงิด เดือดร้อน โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดีอยู่คนเดียว เดือดร้อนมากมาย เพราะต่างคน ก็ ต่างใจ ต่างคนก็เป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ผลของกรรมหนึ่งเกิด สอง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เมื่อไหร่ เป็นผลของกรรม ถึงแม้นอนหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก แต่กรรมก็ยังไม่ให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ พร้อมที่ว่า ตื่นเมื่อไหร่ ก็เป็นคนนี้ต่อไป แต่ความจริง ไม่มีคน แต่มีธรรมะ ซึ่งใหม่หมดเลย ทุกขณะ!!! เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป สืบต่อกัน

เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจเรื่องเหตุและผล เมื่อเหตุมี ผลต้องมี "ความเจ็บ" ดีไหม? มีใครพอใจบ้าง? มีตั้งแต่นิดเดียว จนกระทั่งปวดเจ็บ ถูกไฟลวกและไฟไหม้ เคยได้ข่าวไหม? เป็นไปได้อย่างไร? ใครทำให้? แต่ว่า ถ้าผลของกรรม กรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย

เพราะฉะนั้น ก็จะมีโลกอื่น ไม่ใช่แต่เฉพาะโลกนี้โลกเดียว โลกอื่นต้องต่างกับโลกนี้ เพราะว่า โลกนี้ คละกัน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แต่ว่า โลกอื่น ผลของกรรม มีกำลังมาก เพราะฉะนั้น ก็ทำให้เป็นทุกข์มาก ไม่ใช่เป็นอย่างโลกนี้ และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอย่างดี ประณีต โลกอื่นก็เป็นสุขมาก ไม่ใช่เป็นเพียงสุขอย่างโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้น โลกมนุษย์ ก็เป็นกลางๆ แต่ว่า เป็นสุคติภูมิ เป็นภูมิที่ไม่ใช่อบายภูมิ ภูมิที่ไม่เจริญ ได้แก่ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก

ฟังแล้ว เชื่อไหม? ไม่เห็น แต่เหตุ มีไหม? เป็นอย่างนั้น ได้ไหม?

เพราะเหตุว่า แม้เจ็บเล็กๆ น้อยๆ ในโลกนี้ ยังมีได้ แล้วเจ็บมากๆ ขึ้นอีก มากขึ้นอีก ในโลกนี้ ก็ยังมีได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกรรม ที่หนักมาก แรงมาก ที่จะเป็นอย่างนั้น นานๆ ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งก็มีผู้ที่อยู่ในโลกนั้น เพราะได้กระทำกรรมอย่างนั้น อย่างนั้นมา เหมือนผู้ที่อยู่ในโลกนี้ ก็ได้กระทำกรรม ทั้งดี ทั้งชั่ว ถึงเวลาที่กุศลกรรมจะให้ผลเมื่อไหร่ ก็ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น ไม่เกินกว่านี้เลย ไม่ว่าโลกไหน

เพราะฉะนั้น สวรรค์ ก็เป็นผลของกุศล ซึ่งประณีต แล้วก็มากกว่าโลกนี้ เป็นไปได้ไหม? ในเมื่อเหตุมี วันหนึ่ง ถ้าอยู่ที่นั่น ก็จะสงสัยว่า แล้วโลกอื่น มีไหม? อย่างมนุษย์ มนุษย์นี่ อย่างนรก นรกนี่ จะมีไหม? แต่ "ไปอยู่ที่โลกนั้น ก็ไม่สงสัยในโลกนั้น" แต่ก็สงสัยในโลกอื่น เพราะว่า ไม่ได้อยู่ในโลกอื่น

เพราะฉะนั้น นรกมีจริง เมื่อไหร่? เมื่อไปสู่นรก!!! สวรรค์มีจริง เมื่อไหร่? ไปสู่สวรรค์ ก็หายสงสัย!!! แต่เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี จะไปโลกไหนก็ได้ อยากจะรู้ว่าโลกไหนมี ก็ทำเหตุที่จะให้ไปสู่โลกนั้น!!! (ทุกคนส่งเสียงฮือฮา)

ถ้ามีความเข้าใจและเป็นผู้ตรง ในเรื่องเหตุกับผล ก็จะรู้ได้ถึงหนทางที่เราจะไปสู่ เพราะว่า ขณะนี้ ทุกคนก็กำลังก้าวไป แล้วแต่ว่า จะไปทางไหน จะไปทางที่ไปสู่นรก หรือว่า ไปสู่สวรรค์ หรือว่า มาสู่โลกนี้ เพราะว่า ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความจริงให้เราเห็นถูกต้อง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะ ค่อยๆ ละ กุศล เพราะเห็นโทษ ต่อให้ใครจะมาบังคับสักเท่าไหร่ ก็บังคับใจไม่ได้ ต้องเป็นไปตามการสะสม

เพราะฉะนั้น ปัญญา เท่านั้น ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง ซึ่งเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะไม่นำทุกข์ โทษ ภัย มาให้เลย

ด้วยเหตุนี้ แต่ละคน ก็เริ่มที่จะรู้ตามความเป็นจริง ว่า เป็นอนัตตา แม้ว่าใครจะอยากเกิดบนสวรรค์ หรือ อยากจะมีทรัพย์สมบัติ มากมาย มีเกียรติยศ ชื่อเสียใดๆ ก็ตาม ทั้งหมด ต้องขึ้นอยู่กับคุณความดี ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการทุจริต แต่ก็เลิกไม่ได้ สำหรับผู้ที่สะสมมามาก จนกว่าจะมีความเข้าใจถูก ในเหตุและผล ตามความเป็นจริง

กุศลกรรม นำมาสู่โลกนี้ พร้อมทั้งกิเลส ที่ได้สะสมมาด้วย เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีความเข้าใจขึ้น กิเลสก็จะค่อย ละ ค่อยๆ ลดไป ทีละเล็ก ทีละน้อย จนสามารถที่จะดับได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่อดทน ขันติบารมี วิริยะบารมี รู้ว่าพระธรรมลึกซึ้งและยาก แล้วก็ เป็นอนัตตา แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับเหตุ ที่จะค่อยๆ สะสมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย

ข้อความบางตอน จากแนวทางเจริญวิปัสสนา แผ่นที่ ๓๑ - ชุดแนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1845

"...ในเรื่องของนรกสวรรค์ แม้ว่าจะมีเหตุที่จะให้เกิดในนรก มีเหตุที่จะให้เกิดในสวรรค์ แต่เพราะเหตุว่า ในขณะนี้ ไม่สามารถจะไปถึงสวรรค์หรือนรกได้ เพราะฉะนั้นก็ยังสงสัยข้องใจว่า นรกจะมีจริงไหม สวรรค์จะมีจริงไหม แต่ถ้าคิดถึงว่า ถ้าโลกนี้มีจริงได้ ทำไมนรกหรือสวรรค์ถึงจะมีจริงไม่ได้ ในเมื่อสุขและทุกข์ในโลกนี้ก็มีได้ เพราะฉะนั้นทุกข์ยิ่งกว่าโลกนี้ ซึ่งเป็นมนุษย์ แต่ว่าเป็นโลกอื่นที่ทุกข์ทรมานตลอดเวลา ก็ย่อมจะมีได้ด้วยอำนาจของกรรม หรือว่าความสุขในโลกนี้ก็ยังมีได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกรรมที่ประณีตมากกว่านี้ ก็จะต้องมีที่เกิดที่จะต้องเป็นสุขมากกว่าในโลกนี้ได้..."

เชิญคลิกฟังเพิ่มเติม ที่นี่.....นรก-สวรรค์มีจริงไหม?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ สมาชิกชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ใจธรรมะ ทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
abhirak
วันที่ 22 ส.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งครับ

ด้วยระลึกถึงคุณอันใหญ่หลวงที่ท่านอาจารย์มีเมตตาอบรมให้เกิดความกระจ่างในธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 22 ส.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 22 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 22 ส.ค. 2558
ขอบพระคุณและ ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Phutporn
วันที่ 22 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 24 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 26 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ