ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมแคนทารี่ฮิลล์ เชียงใหม่ ๒๑-๒๒ กรกฏาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  2 ส.ค. 2558
หมายเลข  26868
อ่าน  2,511

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร รศ.สงบ เชื้อทอง ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ และ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไปสนทนาธรรมที่ โรงแรมแคนทารี่ฮิลล์ ถนนนิมมานเหมินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

เป็นการเดินทางไปสนทนาธรรม ที่ท่านอาจารย์ได้มีเมตตาที่จะเดินทางไปสนทนาธรรมที่เชียงใหม่ปีละสองครั้ง คือ ในราวเดือนมกราคม ถึง เดือนมีนาคม ครั้งหนึ่ง และในราวกลางปี ประมาณเดือนกรกฎาคม อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการเดินทางไปของท่านอาจารย์และคณะวิทยากรนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แก่ท่านที่สนใจทางภาคเหนือ โดยเฉพาะชาวจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนเพราะเหตุว่า จะได้พบและสนทนาโดยตรงกับท่านอาจารย์และคณะวิทยากรฯ เพื่อความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น และมีโอกาสได้สนทนาสอบถามปัญหาที่มี จากการที่ได้ฟังและศึกษาด้วยตนเองจากหนังสือ และสื่อต่างๆ ที่ทางมูลนิธิฯ ได้เผยแพร่ ทั้งทางวิทยุ ตามสถานีต่างๆ ทั่วประเทศ และ โทรทัศน์ ช่อง 11 ช่อง TNN 2 และ ล่าสุด ทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐสภา อีกช่องหนึ่ง

ทั้งนี้ ไม่รวมถึง การถ่ายทอดสดทางยูทูป (Youtube) เมื่อมีการสนทนาธรรมตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างในการทำการถ่ายทอดสดแต่ละครั้ง ด้วยเหตุและปัจจัยแวดล้อม ทั้งทางด้านเวลาในการดำเนินการ ด้านอุปกรณ์ของแต่ละสถานที่ ด้านความเข้มข้นและความเสถียร ของสัญญาณอินเตอร์เนต เป็นต้น แต่ทางมูลนิธิฯโดยคณะเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ก็พยายามอย่างเต็มที่ โดยสุดความสามารถ ที่จะแก้ไข ปรับปรุงให้การถ่ายทอดสดในครั้งต่อๆ ไป มีความสมบูรณ์พร้อม ทั้งคุณภาพของภาพและเสียงการสนทนา เพราะทราบว่ามีผู้ไม่มีโอกาสได้เดินทางไป คอยติดตามรับชมอยู่เป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเผยแพร่พระธรรมในวงกว้างออกไปให้มากที่สุด อันเป็นเจตนารมณ์ที่ประกอบไปด้วยเมตตาอันยิ่ง ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่จะรักษาและเผยแพร่พระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ซึ่งมีปรากฏครบถ้วนอยู่ในพระไตรปิฎก ให้รุ่งเรือง เฟื่องฟู อยู่ในใจของทุกๆ ท่าน ด้วยความเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ไม่อันตรธานไป เพราะเหตุแห่งความเข้าใจผิด คิดผิด ประพฤติ ปฏิบัติ ในหนทางที่ผิด ซึ่งเป็นการทำลายพระธรรมคำสอนให้อันตรธานไป เพราะความไม่รู้ และความเห็นผิด ซึ่งกำลังเป็นที่แพร่หลายอยู่มากมายในปัจจุบัน ไม่แม้แต่ในประเทศไทย แต่ทั่วทั้งโลก ซึ่งเทปวีดีโอที่นำออกรายการทางโทรทัศน์ทุกตอนนั้น ได้นำลงยูทูปไว้ในชื่อ "รายการบ้านธัมมะ" ซึ่งท่านสามารถเข้าชมรายการดังกล่าวย้อนหลังได้ ด้วยความสะดวกสบายอย่างยิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้ตัดต่อคลิปวีดีโอการสนทนาสั้นๆ เจาะจงเฉพาะเรื่องที่สำคัญ ที่กำลังอยู่ในความสนใจของทุกคน ใช้เวลาในการชมไม่นาน แต่ได้สาระประโยชน์ครบถ้วน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการชมและการแชร์ไปในหมู่เพื่อนๆ และสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ไปสู่บุคคลต่างๆ ให้มากที่สุด รวดเร็วที่สุด โดยการสื่อสารทุกๆ ทางเท่าที่จะกระทำได้ ท่านที่สนใจคลิปดังกล่าว สามารถติดตามได้โดยคลิกที่นี่...บ้านธัมมะ

นอกจากนี้ ก็ยังมีการเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ เช่น ทางเฟซบุ๊ค (Facebook) ในชื่อ "ชมรมบ้านธัมมะ มศพ." และ กลุ่ม "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ซึ่งท่านสามารถสมัครขอเข้าร่วมกลุ่มเพื่อรับข่าวสารต่างๆ ได้ และ ยังมีกลุ่มไลน์ "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ที่อาจารย์ผเดิม ยี่สมบุญ ได้กรุณาตั้งขึ้น เพื่อการสนทนาสอบถามเพื่อความเข้าใจธรรมะ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมกลุ่มเป็นจำนวนมากในขณะนี้ เช่นกัน ขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน ที่มีส่วนร่วมในการเผยแพร่พระธรรม ในหนทางที่ถูกต้อง ซึ่งทุกๆ ท่านอาจไม่ทราบเลยว่า มีอาสาสมัครที่ทำงานช่วยเหลือมูลนิธิฯ ในด้านต่างๆ อีกมากมาย ทั้งเวปไซต์บ้านธัมมะ ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ซึ่งมีคณะทำงานที่เป็นเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระจำนวนมาก ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่าน ที่เสียสละเวลาช่วยงานมูลนิธิฯ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเลย ซึ่งขณะนี้ ทุกท่านก็ได้เห็นการปรับปรุงรูปแบบและเนื้อหาของเวปไซต์ ที่ดูสวยสด งดงาม ทันสมัย และง่ายต่อการสืบค้น ใช้งาน การทั้งหลายทั้งมวลนี้ เพียงเพื่อจุดประสงค์เพียงประการเดียวจริงๆ คือ ความเข้าใจธรรมะของทุกๆ ท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าและประเสริฐที่สุดในชีวิต กับการที่ได้เกิดมาในชาตินี้นั่นเองนะครับ ขออนุโมทนาคณะทำงานทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งครับ

อนึ่ง ข้าพเจ้าใคร่ขอถือโอกาสนี้ แนะนำช่างภาพอาสาสมัครของมูลนิธิฯ ท่านหนึ่ง คือ น้องบุญยวีร์ รัชนี สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๒๓๔ ผู้มีกุศลเจตนาและกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง ในการที่จะช่วยงานมูลนิธิฯ ทางด้านการบันทึกภาพกิจกรรมของมูลนิธิฯ ในวาระต่างๆ โดยได้นำภาพที่ได้บันทึกไว้ ลงเก็บไว้ในอัลบั้มภาพของเวปไซต์บ้านธัมมะ เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ของเวปไซต์ เธอมีกุศลเจตนาแน่วแน่ถึงขั้นที่ลงทุนซื้อกล้องถ่ายภาพอย่างดีด้วยตนเอง เพื่อไว้ใช้ในการบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิฯ สำหรับในครั้งนี้ที่เชียงใหม่ น้องบุญยวีร์ ก็เป็นกำลังสำคัญในการบันทึกภาพนิ่ง ตลอดทุกวัน โดยเฉพาะในวันแรก ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้เดินทางไป ก็ทำให้ได้มีภาพที่ขออนุญาตนำมาประกอบกระทู้นี้เพื่อความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างภาพที่สนามบินข้างต้น ก็เป็นฝีมือการบันทึกภาพของน้องบุญยวีร์ ครับ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของน้อง เป็นอย่างยิ่งนะครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมในช่วงแรกของเช้าวันที่ ๒๒ กรกฎาคม มาฝากให้ทุกท่านพิจารณาเช่นเคย ดังต่อไปนี้ครับ

คุณปริญญา กราบท่านอาจารย์สุจินต์ กราบอาจารย์วิทยากร และผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับ เมื่อวานนี้ ก็มีการสนทนาเรื่องของสัญญา ความจำ แล้วก็เรื่องของความ "เชื่อไว้ก่อน" เชื่อโดยที่ไม่มีเหตุผล และไม่เข้าใจในสิ่งที่ควรจะเชื่อ ก็จะมีแต่ผลเสีย อย่างเช่นว่า คนที่เขามาชักชวนให้เราไปนั่งปฏิบัติธรรม ไปนั่งสมาธิ ไปสวดมนต์ แล้วบอกว่า จะเป็นหนทางไปสู่ปัญญา สิ่งเหล่านี้ ถ้าไปเชื่อแล้วทำตาม โดยไม่คิดว่า ทางที่ไปนั่งสมาธิ จะเกิดปัญญาได้อย่างไร? และปัญญา ที่ควรจะเข้าใจว่า ปัญญานี้ จะเกิดได้ก็ต้องจากการที่เข้าใจธรรมะ ในสภาพจริงที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้

แต่ถ้าไปเชื่อว่า ไปนั่งสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิ เป็นหนทางไปสู่ปัญญานั้น ผมคิดว่า เป็นหนทาง เป็นการเชื่อ ที่ผิดพลาด เพราะฉะนั้น ผมก็ขออนุเคราะห์จากท่านอาจารย์และท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่านว่า ความเชื่อที่ผมคิดว่า เป็นความเชื่อที่ผิดพลาดนี้ มีความเข้าใจถูกต้องอย่างไรครับ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณธีรพันธ์ กล่าวถึง เรื่องที่ไม่ควรเชื่อ มีอะไรบ้างคะ?

อ.ธีรพันธ์ จากพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นพระสูตรที่ชื่อว่า เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) กล่าวแสดงถึง การเชื่อ ท่านแสดงไว้ว่า เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากใครแล้ว ก็จะมี (ข้อพิจารณา) อยู่สิบประการ คือ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยสืบๆ กันมา อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา อย่าเชื่อโดยคาดคะเนเอา อย่าเชื่อโดยตรึกตามอาการ อย่าเชื่อโดยคิดว่าผู้พูดนั้นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ อย่าเชื่อโดยคิดว่า ตรงกับทิฏฐิของตนเอง หมายความว่า มีความเห็นตรงกันเลย ว่าเป็นอย่างนี้ตรงกัน ก็เลยเชื่อ อย่าเชื่อโดยคิดว่า ผู้นั้นเป็นครูของเรา เป็นอาจารย์ของเรา ก็มีประมาณนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ คุณอรรณพคะ "เชื่อไว้ก่อน" เป็นโทษแค่ไหนหรือเปล่าคะ?

ผศ.อรรณพ ครับ ในเกสปุตตสูตร หรือ กาลามสูตร มีหลายประการ ที่ทำให้คิดว่า การที่จะเชื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นการที่ควรพิจารณา ตามความเป็นจริง ในสภาพความเป็นจริง ตามธรรมะ ถ้าไปเชื่อ โดยเพียงแต่ใครเขาบอก เราก็เชื่อไว้ก่อน โดยที่เราคิดว่า คนนี้ น่าจะเป็นผู้ที่รู้ธรรมะ น่าจะเป็นคนที่กล่าวธรรมะได้ถูกต้อง โดยที่คิดว่า เป็นครูอาจารย์ของเรา หรือบางคน ก็เชื่อไปตามการที่เขาคิดไปตาม นักตรึก นักคิด ที่ท่านบอกว่า คิดไปตามอาการ อะไรอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ถามว่า จะรู้ได้อย่างไร? ว่าสิ่งที่เขาพูด ถูกต้องหรือเปล่า? ถ้าไม่ได้อาศัยการศึกษาพระธรรมวินัยให้มีความเข้าใจจริงๆ ก็ไม่มีเครื่องมืออะไร ที่จะไปแยกแยะ ว่าอะไรผิด อะไรถูก!!! เพราะว่า เครื่องมือที่จะแยก ก็คือ "ปัญญา" จะเป็นสภาพที่จำแนกแยกแยะได้ถูก ซึ่งคำสอนใด สอนให้รู้ความจริง จริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ รู้ความต่าง ของกุศลและอกุศล และธรรมะประการต่างๆ ตามความเป็นจริง จึงจะเป็น "หนทางที่แท้จริง"

แต่ว่า "เชื่อไว้ก่อน" ที่สนทนามาตั้งแต่เมื่อวาน ก็แสดงถึง การที่ไม่ได้คิดถึง "ปัญญา" เลย ถูกไหม? เพียงแต่ใครเขาพูดอะไร ก็เชื่อตามๆ กัน เหมือนอย่างข้อแรกที่ว่า โดยการฟังตามๆ กัน หรือโดยสืบกันมาโดยลำดับ !!! เขาบอกมา ว่าอย่างนี้ เราเกิดในสังคมอย่างนี้ เขาบอกว่าให้ไหว้อย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ ให้เดิน ให้นั่ง ให้ไปเข้าสำนัก ให้ไปทำอะไรๆ นี่

เพราะฉะนั้น อันตรายที่สุด ก็คือ เชื่อไว้ก่อน!!! เมื่อไปฟังสิ่งที่ผิด ให้ไปประพฤติ ปฏิบัติผิดต่างๆ เพราะฉะนั้น ความอันตรายของความคิดและความเชื่อ ที่อันตรายที่สุด ก็คือ เริ่มต้นจากการไม่มีเหตุ ไม่มีผล แล้วก็เชื่อตามกัน แล้วก็คิดว่า เชื่อไว้ก่อน ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณา ไตร่ตรองอะไรเลย

แต่จริงๆ "พิจารณาก่อน แล้วจึงเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ด้วยปัญญา" ประเด็นอยู่ตรงนี้ !!!

และ อะไรที่จะเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มีความเข้าใจ ที่จะพิจารณา ไตร่ตรอง? ก็เป็นลักษณะ เป็นกิจ ของปัญญา ซึ่งสามารถไตร่ตรองได้ ก็ต้องด้วยการศึกษาพระธรรม จริงๆ

เพราะฉะนั้น แทนที่จะเชื่อไว้ก่อน "ฟังให้เข้าใจก่อน" ดีกว่า !!! นี่ต่างกันตรงนี้!! เพราะส่วนใหญ่ เราจะมีความใจร้อน เป็นตัวตนว่า บางอย่าง เราไม่สามารถจะประจักษ์ได้ เช่นบอกว่า เกิดดับ ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ จะให้เชื่อไว้ก่อนไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอนุญาต ก็ไม่ถูกเลย บอกว่า ก็เชื่อกันไปก่อนสิ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็มีคำสอนลัทธิต่างๆ ที่บอกว่า ให้เชื่อไว้ก่อน ว่าบุคคลนี้ จะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ได้ ต้องเริ่มจากเชื่อก่อน ว่ามีผู้ที่เป็นพระเจ้า เป็นอะไรก็แล้วแต่ เชื่ออย่างนั้นไว้ก่อน แล้วก็เชื่อตามนั้นกันไปหมด!!!

แต่ พุทธศาสนา เป็น "พุทธะ" คือ "ความรู้ ความเข้าใจ" เริ่มจาก ความเข้าใจถูก เห็นถูกก่อน ซึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่ถึงขั้น แทงตลอดถึงนิพพานเลย หรือยังไม่ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งความเป็นจริงอย่างชัดเจน ตรงสภาพ แต่เริ่มจากการเข้าใจในขั้นฟัง แม้การฟังเรื่อง เป็นปริยัติ ขณะนั้น เป็นปัญญาที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้ว่า ปัญญานี้ ยังไม่ใช่ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด หรือว่า ประจักษ์สภาพธรรม ก็ตาม

เพราะฉะนั้น อันตรายของการ "เชื่อไว้ก่อน" ก็คือ ไปเชื่อสิ่งที่ผิด แล้วก็ไปปฏิบัติผิด หลงผิด แล้วก็ยึดว่า การประพฤติ ปฏิบัตินั้น ถูกแล้ว!!! เพราะว่า ต้องด้วยลัทธิหรือความเชื่อของตน อย่างที่อาจารย์ธีรพันธ์ กล่าวมา แล้วก็ยึดว่า ผู้นี้เป็นครู เป็นอาจารย์เรา เราก็เชื่อ โดยที่ไม่ได้ไตร่ตรอง ในความถูกต้องจริงๆ กราบท่านอาจารย์ ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ตามข้อความที่คุณธีรพันธ์กล่าว ก็เห็นชัดว่า คำว่า "เชื่อไว้ก่อน" ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้องทราบว่า ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงธรรมะ ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่า ธรรมะเดี๋ยวนี้ ลึกซึ้งมาก เพียงแค่วัน สองวัน ปีสองปี ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมะ ซึ่งไม่เคยรู้มานานแสนนาน ได้

เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงแสดงธรรมะ ไว้มาก แต่ผู้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่ รู้จักตัวเอง เวลาที่ได้ยินคำอะไร เข้าใจคำนี้หรือเปล่า? ถ้าไม่เข้าใจ แล้วจะนับถือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไหม? ในเมื่อ ฟังแล้ว ไม่เข้าใจ แล้วเชื่อ!!!

แต่ว่า ทุกคำ ที่ได้ทรงแสดง เพื่อให้ผู้ฟัง เกิดปัญญา คือ ความเห็นถูกต้อง ของตนเอง !!! ตอนแรกๆ ใครจะมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ได้มาก ไม่รู้มานานแสนนาน ทั้งๆ ที่ได้ฟังบ่อยๆ เรื่องของสิ่งที่มีจริง เกิดมา ไม่ว่าที่ไหน ก็ต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก โดยไม่รู้เลย!!! แล้วก็มีการยึดถือสภาพธรรมะอย่างมั่นคง ว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ไม่เผินเลย ตัวตน หรือ อัตตา หมายความถึง สิ่งซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ของผู้ที่ไม่เคยได้ฟังธรรมะ!!! เห็นคน เห็นวัตถุ สิ่งต่างๆ คิดนึกเรื่องราวของสิ่งต่างๆ เต็มไปด้วยเรื่องของสิ่งที่มีจริง แต่ไม่เคยรู้ความจริง!! ว่าสิ่งที่มีแท้ๆ เป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่ของใคร แล้วก็เกิดขึ้น โดยปัจจัยที่อาศัย ที่จะทำให้สิ่งนั้น เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น ทำกิจอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่ง "เห็น" ขณะนี้ เกิดแล้ว "เห็น" ดับไป ไม่กลับมาอีก "ได้ยิน" ขณะนี้ ได้ยินแล้ว ได้ยินเฉพาะ "เสียง" ที่ปรากฏ "ได้ยิน" เกิดขึ้น "ได้ยิน" แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

แม้แต่ "คิดนึก" ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น!!! แต่ความเป็นไปของธรรมะ คือ ธรรมดา ที่จะยับยั้งไม่ได้เลย ขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว!!! แต่ไม่เคยรู้ความจริงเลยว่า ขณะที่เข้าใจว่าเป็นคนหนึ่งคนใด ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น ในเมื่อเห็น มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หลับตา ไม่มีใครสักคนในห้องนี้ ไม่มีอะไรด้วย ทั้งหมด แต่เมื่อลืมตาแล้ว จำว่ามี แล้วก็มั่นคง ว่าไม่เห็นดับไปเลย สักอย่างเดียว คนก็ยังนั่งอยู่ โต๊ะ เก้าอี้ ก็ยังอยู่

เพราะฉะนั้น ความเห็นของคนที่ ไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ไม่ได้ไตร่ตรองความละเอียดลึกซึ้งว่า ยาก แต่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ จึงเป็นผู้ที่อดทน และขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็มีความเพียร ซึ่งเป็นวิริยะ ไม่ไปทำสภาพธรรมะ คือ จิตและเจตสิกในขณะนี้ให้เกิด และจิตเจตสิกขณะนี้เอง กำลังทำกิจการงานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อไม่รู้ ก็เข้าใจว่าเป็นเรา ทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรม ต้องไม่ลืมว่า เพื่อให้คนที่ฟัง ชาติไหนก็ตาม ขณะไหนก็ตาม เข้าใจคำที่ได้ฟัง ว่า หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งกำลังเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้!!! เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ว่า ฟังหลายชาติ อาจจะชาติก่อนเคยฟัง ชาตินี้ฟังแล้ว ชาติหน้ามีโอกาสจะได้ฟังอีก เหมือนคำกล่าวที่เคยได้ยินไหม? เรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่รู้ เพราะว่า ความเข้าใจน้อยมาก เมื่อเทียบกับความไม่รู้ นานแสนนาน!!

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ได้ฟังพระธรรม จึงมีความเคารพสูงสุด ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ในขณะนี้ โดยที่ว่า ยากที่จะรู้ได้ แต่ผู้ที่ฟังทุกคนในครั้งก่อน ก็สะสมความเข้าใจมานาน พอที่เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้ว่า เป็นความจริง แล้วก็อบรมเจริญปัญญา เพื่อละความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ก็เป็นขณะที่ประเสริฐในชีวิต ที่มีโอกาสจะได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมไป ฟังไว้ เข้าใจไว้ สะสมไป เพราะว่า สิ่งที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ สามารถที่จะรู้ความจริงได้!!!

(ภาพผู้ที่มาขอลายเซ็นต์จากท่านอาจารย์เป็นที่ระลึก หลังจบการสนทนาธรรมที่เชียงใหม่)

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เชียงใหม่ ทุกท่าน และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 2 ส.ค. 2558

กราบอนุโมทนาสาธุในคุณความดีทุกประการที่ทุกท่านกระทำแล้วด้วยดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 2 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jirat wen
วันที่ 2 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 2 ส.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
worapoon
วันที่ 2 ส.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 3 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 3 ส.ค. 2558

กราบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

ขอบคุณและอนุโมทนากับคุณวันชัย ภู่งาม ที่ถ่ายทอดธรรมและบรรยายภาพและ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 3 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 3 ส.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
thilda
วันที่ 3 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Phutporn
วันที่ 4 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปวีร์
วันที่ 4 ส.ค. 2558

พระธรรมของพระองค์บริสุทธิ์

มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 ส.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ