ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๑ ฟังธรรมเพื่อรู้ตัว]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  30 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26713
อ่าน  2,218

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร รศ.สงบ เชื้อทอง ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ โดยคุณพนิดา มิตรปวงชน (คุณโก๋) คุณอมรวไล มิตรปวงชน (คุณซีล) และคุณจิรัฏฐ์ ศรีวัชรเมธี เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นครั้งที่ ๒ โดยครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ ของปีที่แล้ว ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๕ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ [ตอนแรก]

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๕ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ [ตอนจบ]

ข้าพเจ้าเดินทางถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่พร้อมสหายธรรมจำนวนหนึ่ง ก่อนหน้าที่ท่านอาจารย์และท่านอื่นๆ จะเดินทางมาถึงเล็กน้อย เนื่องจากแต่ละท่านมาสายการบินต่างกัน สำหรับข้าพเจ้า เดินทางโดยสายการบินไลอ้อนแอร์ ซึ่งได้จองตั๋วตอนมีโปรโมชั่นไว้ล่วงหน้าในราคาไปกลับ เพียง ๗๙๐ บาท เท่านั้น หลายท่านอาจตกใจว่าถูกมาก ไม่ต้องตกใจครับ มีบางท่านจองตั๋วมาร่วมสนทนาธรรมที่หาดใหญ่สำหรับปีหน้าไว้แล้ว ในวันที่ ๘ - ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ ในราคา ๗๙๐ บาทเช่นกัน

เมื่อท่านอาจารย์และคณะฯเดินทางมาถึงในเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ได้มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่หลายท่าน มาคอยให้การต้อนรับ โดยคุณโก๋ (คุณพนิดา) ได้จัดรถตู้เพื่อรับคณะทุกคน เดินทางเข้าพักที่โรงแรมเอเชี่ยนหาดใหญ่ และรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะมีการสนทนาธรรมในช่วงเวลา บ่าย ๓ โมง ถึง ๕ โมงเย็น

โรงแรมเอเชี่ยนหาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางของย่านธุรกิจที่เก่าแก่ของหาดใหญ่ การเดินทางไปในที่ต่างๆ มีความสะดวกสบาย สามารถเรียกใช้บริการรถป๊อกๆ ได้ ในราคาไม่แพง และจากโรงแรมเพียงเดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงตลาดกิมหยง ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของหาดใหญ่ ทั้งยังแวดล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมาย ที่มักมีชาวมาเลเซีย ขับรถข้ามมารับประทานกันเป็นประจำ แต่ช่วงนี้มีน้อยลง เนื่องจากอยู่ในช่วงของการถือศีลอด

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาเช่นเคยนะครับ และ เนื่องจากการสนทนาที่หาดใหญ่ในครั้งนี้ มีข้อความที่ดีมากๆ ทั้งสำหรับท่านผู้ใหม่ และเพิ่มความชัดเจนสำหรับท่านอื่นๆ ด้วย ที่อาจทำให้คลายจากข้อสงสัยที่มีอยู่ได้ตามสมควร เนื่องจากเป็นการสนทนาที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนมาก อันเป็นอุปนิสัยของชาวใต้ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีและอนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่เมื่อได้ฟังประสบการณ์ของหลายๆ ท่านที่ผ่านๆ มา จนกระทั่ง กว่าที่จะได้มาพบและได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชาตินี้

นับเป็นบุญและเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความมีค่า ของคำที่ว่า "เพราะบุญที่ได้กระทำไว้แล้ว แต่ปางก่อน" ซึ่งทำให้มั่นคงขึ้นว่า หากมิได้เป็นผู้ที่ได้เคยมีการสะสมความเข้าใจจากการฟังในความจริงที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงมาก่อนในอดีต จะไม่มีทางได้พบกับพระธรรมในขณะนี้ ซึ่งแสดงความจริงที่ถูกต้องได้เลย หมดโอกาสที่จะสะสมความเข้าใจ (ปัญญา) ในชาตินี้ และห่างไกลออกจากพระสัทธรรม จนเป็นผู้ที่วนอยู่ในสังสารวัฏ หาทางออกไม่ได้ วนเวียนอยู่กับสุขและทุกข์เช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ออกจากกรงของสังสารวัฏไม่ได้เลย เมื่อได้นำมาถอดเทปแล้วก็รู้สึกว่าดีมากๆ อยากให้ทุกๆ ท่านได้อ่านและพิจารณาช้าๆ ทีละคำโดยครบถ้วน จึงตั้งใจว่าจะแบ่งออกเป็น ๓ ตอนจบ เพื่อบันทึกไว้สำหรับท่านที่สนใจและมีเวลา สามารถอ่านทบทวนได้ เนื่องจากท่านอาจารย์เมตตาแสดงถึงความสำคัญของการฟังและศึกษา เพื่อความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องไว้โดยละเอียดมากๆ ครับ ไม่ลืมว่า ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปปฏิบัติ ครับ

ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และ คณะวิทยากร รวมทั้งผู้จัด ที่วันนี้ ได้กรุณา ให้เราชาวหาดใหญ่ หรือชาวใต้ มีโอกาสได้ฟังธรรม เผอิญได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์ ทางยูทูป ในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา อาจารย์เน้นให้ฟังและเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง คือ ธรรมะคือสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ ทีนี้ อยากจะเรียนถามว่า เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ละเอียด บางครั้ง สภาพที่เกิดขึ้น เราจะมารู้ตัว หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว ทำอย่างไร? ที่เราจะรู้ทันสภาพธรรมะ อย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไว้

ท่านอาจารย์ ค่ะ มีแต่คำว่า จะรู้ตัว จะรู้ทัน แต่ จะรู้ตัว "ตัว" อะไร? และ "ทัน" อะไรคะ? เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า เราพูดได้ รู้ตัวไหม? ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ คำตอบก็คือ รู้ หรือ ไม่รู้ตัว แต่ไม่ใช่ความเห็นถูก ไม่ใช่ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำที่เราใช้ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นคำที่เราได้ยิน ได้ฟัง ใช้เป็นประจำ แต่ไม่ได้เข้าใจความจริงของคำที่เราใช้ เช่น "รู้ตัว" กับ "รู้ทัน" ต้องรู้ก่อน "ตัว" คือ อะไร? ที่จะรู้ ถูกต้องไหม? และ "ทัน" อะไร?

ผู้ฟัง ตัวรู้ ก็คือ จิต

ท่านอาจารย์ แล้วรู้ตัว "รู้" อะไรคะ?

ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต

ท่านอาจารย์ แล้วใครรู้?

ผู้ฟัง จิตรู้

ท่านอาจารย์ จิตรู้ หรือ เรารู้?

ผู้ฟัง ในความเป็นจริง เรารู้

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจแต่ละคำ ซึ่งยากจริงๆ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่คำที่เคยได้ยินมาก่อน ในชาติก่อนๆ ด้วย ถ้าไม่เคยฟังมาเลย เพราะเหตุว่า เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก่อนนั้น จะไม่มีการได้ยินคำของพระองค์เลย จนกระทั่ง เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมะ ตามความเป็นจริง แล้วก็เห็นว่า คนอื่น ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง จนกว่าจะได้ฟังจากพระองค์ ถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

เพราะฉะนั้น "คำของพระองค์" ต้องต่างจาก "คำของคนอื่น" และใครก็คิดเองไม่ได้ด้วย แต่ละคำ มีความลึกซึ้งมาก เพราะว่า เป็นคำที่เกิดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง กว่าจะได้รู้ ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น ได้ยินได้ฟังอะไร ส่วนใหญ่ ไม่ใช่คำที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ถ้าคำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของคนอื่นทั้งหมด ไม่ทำให้เข้าใจความจริง แต่ว่า วาจาสัจจะทุกคำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน แล้วก็ยากมาก เพราะเหตุว่า เกิดมา ก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วจากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ความจริงตลอดชีวิต จะไปทันอะไร? แล้วก็ จะไปรู้อะไร?

การฟังพระธรรม ต้องฟังให้ละเอียด "เพื่อเข้าใจ" แต่ไม่ใช่ "เพื่อรู้ตัว" ไม่ใช่ "เพื่อรู้ทัน" แต่ เพื่อเข้าใจความจริง ซึ่งกำลังมีอยู่ในขณะนี้ เมื่อวานนี้ดับไปหมดแล้ว จะไปรู้ความจริงของสิ่งที่ดับแล้ว เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครที่สามารถจะไปรู้ความจริงได้ และเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น "รู้ตัว" จะรู้อะไร? "รู้ทัน" จะรู้อะไร? ต้องเป็นสิ่งที่ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อจะไป "เป็นเรา" ที่รู้ตัว หรือว่าเป็นเรา ที่รู้ทัน โดยไม่รู้ว่า "ทัน" คือ อะไร?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เพื่อเข้าใจถูก ความเข้าใจถูกมีจริง ก็ไม่ใช่เราอีก เพราะว่าทุกอย่างที่มีจริง มีจริงเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี และ เกิดแล้วก็ต้องดับไป ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนเลย แต่การเกิดและการดับในขณะนี้เอง ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่า การเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมะ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เกิดแล้วดับ ทันที แล้วก็เกิดขึ้น สืบต่อทันที แล้วก็ดับทันที เร็วอย่างนี้ แล้วจะไปประจักษ์การเกิดดับได้อย่างไร? นอกจากปัญญา ที่ค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ มั่นคงในการรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วใครรู้? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ ไม่มีทางที่จะละกิเลส ความไม่รู้ได้ เพราะสภาพธรรมะขณะนี้ เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้!!!

ด้วยเหตุนี้ ไม่มีใครสอนให้ไป "ทัน" หรือว่า ไม่มีใครสอนให้ "รู้ตัว" โดยไม่กล่าวถึงสภาพธรรมะที่มีจริงๆ และเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า จะทันอะไร? เกิดแล้วดับ เร็วมาก!!!! แต่ว่า ความค่อยๆ เข้าใจถูก ในสิ่งที่มี สามารถที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคำนึงถึง เรื่องทัน กับเรื่องรู้ตัว แต่ควรที่จะคิดว่า ขณะนี้ ฟังอะไร? ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง มีจริงแน่นอน เมื่อไหร่? เดี๋ยวนี้เอง!! กำลังมี!!! ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ" หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏให้รู้ว่ามี แต่ละอย่างๆ ซึ่งถ้าไม่มีการฟัง ก็ยึดมั่นคงว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่เกิดดับเลย เสานี่ ไม่เกิดดับ ใช่ไหม? เก้าอี้ก็ไม่เกิดดับ อะไรก็ไม่เกิดดับ เพราะไม่ได้เข้าใจความจริงว่า ขณะนี้ อะไร? ที่กำลังปรากฏ!! แม้แต่อะไรกำลังปรากฏ ก็ไม่เหมือนที่เราเคยคิด

...มีจริงๆ นะคะ แต่ยากที่จะเข้าใจ ต้องค่อยๆ ฟัง ค่ะ...

ต่อไปนี้ ไม่ต้อง "ทัน" แล้วใช่ไหม? สบายใจได้ เหนื่อย.....จะไปพยายามทันอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ต้องไป "รู้ตัว" ซึ่ง "ตัว" ก็มี แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? แล้วจะไปรู้ตรงไหน? ที่เป็นตัว

ผู้ฟัง ขออนุญาตถามต่อได้ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ เชิญเลยค่ะ

ผู้ฟัง ระหว่างที่จะเรียนรู้ หรือทำความเข้าใจนี่ ถ้าตอนนี้ เรามาฝึกในกิจวัตรประจำวัน ที่จะทำให้เกิดกุศลจิต คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เพื่อให้ทางกาย และวาจา เป็นกรรมที่ดี อย่างนี้ถูกต้องไหม?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เราจะทำเอง หรือว่า ฟังพระธรรมให้เข้าใจ?

ผู้ฟัง ทำไปพร้อมกันได้ไหม? คือ ฟังด้วย แล้ว ระหว่างที่ยังกำลังจะเข้าใจ ก็ได้มีการปฏิบัติ

ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมะ ศึกษาทีละคำ จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะเราไม่รู้เลยสักคำ ปฏิบัติ คือ อะไร? ก็จะปฏิบัติแล้ว ก็เลยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าเราศึกษาทีละคำ ถ้าเข้าใจคำนี้ รอบรู้ในคำนี้ พอไปได้ยินได้ฟังคำนี้ที่ไหน ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ และจากคำหนึ่ง ไปอีกคำหนึ่ง ใน ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดง สามารถที่จะเริ่มเข้าใจ รอบรู้ขึ้น แต่รู้จริงๆ ไม่ใช่ฟังเผินๆ

ขณะนี้ กำลังฟังธรรมะหรือเปล่าคะ? แต่ต้องรู้ว่า ธรรมะคืออะไร? มิฉะนั้น ไม่ชื่อว่าฟังธรรมะ จากการที่ไม่เคยเข้าใจสภาพที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เราก็คิดว่า เราจะฟังธรรมะ แต่...ธรรมะอยู่ไหน?

ผู้ฟัง อยู่รอบๆ ตัวเรา

ท่านอาจารย์ รอบตัวเลย อะไรเป็นธรรมะบ้าง?

ผู้ฟัง ก็คือ ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน

ท่านอาจารย์ ภาพ คือ อะไร? ลองบอกสักภาพสิคะ?

ผู้ฟัง ภาพท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ เห็นไหม? เราคิดเอง ใช่ไหม? หลับตาแล้วมีไหม? ลองหลับ

ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์ หายไปไหนล่ะ? คะ?

ผู้ฟัง เราจำเอาไว้

ท่านอาจารย์ เราศึกษาธรรมะ ด้วยความคิดของเราเองผสมอยู่ ตลอดเวลา ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังได้ เพราะเรา "คิดเอง" แทรกอยู่ตลอดเวลา!!! แต่ถ้าเราจะรู้ว่า ใครก็ตาม จะคิดสักเท่าไหร่ ก็ไม่ตรงความจริงของสภาพธรรมะ ไม่สามารถที่จะคิดเอง ไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม

เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังพระธรรม จะเริ่มเข้าใจถูกต้อง เริ่มรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน และเป็นสิ่งที่จริง พิสูจน์ได้ แต่ยากที่จะรู้ โดยการประจักษ์แจ้ง เช่น เมื่อกี้นี้ เป็นภาพหมด ขณะที่กำลังเห็น ใช่ไหม? ถูกไหม? เริ่มรู้แล้วว่า จริงหรือเปล่า?

ถ้าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองฟัง.........ขณะใดก็ตามที่เห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้น!!! แค่นี้ค่ะ!!! คิดไม่ออกอีกแล้ว!! ใช่ไหม? มี "เห็น" ก็ต้องมี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เห็น "เสียง" ได้ไหม? ไม่ได้ เห็น "กลิ่น" ได้ไหม? เห็น "รส" ได้ไหม?

ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เริ่มรู้ว่า ขณะนี้ มี "เห็น" มี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" จริงๆ เหมือนเวลาได้ยินเสียง "เสียง" มีจริงๆ ในขณะที่ "ได้ยิน" เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ขณะนี้ มีจริง ขณะที่เห็นเกิดขึ้น เท่านี้ค่ะ ไม่เป็นภาพ ไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่คิด เพราะอะไรคะ? แค่หลับตาก็ไม่มีแล้ว!!

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ต้องไม่ใช่สิ่งที่คิด เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นคนนั้น คนนี้ แต่พอหลับตา ก็ยังคิดถึง ด้วยความจำ ว่าคนนั้น หน้าตาอย่างนั้น แต่ว่า เวลาที่เห็น กับเวลาที่คิด ต่างกันที่ว่า ขณะที่คิด ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น อย่างในฝัน ฝันเห็นเยอะมาก แต่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาสักอย่าง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ต้องเป็นอย่างหนึ่ง และ การจำและคิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา เหมือนในฝัน เห็นโน่น เห็นนี่ ต้องไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง ว่าเราติดข้อง ในความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ขณะนี้ แต่ก่อนนี้ไม่เห็น "เห็น" ไม่เกิดขึ้น จะเห็นไม่ได้ และ สิ่งที่ยังไม่ปรากฏ ก็ยังไม่เกิดด้วย ต่อเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็กระทบตา ต้องมีสิ่งที่กระทบได้ เป็นปัจจัยให้จิต เกิดขึ้น "เห็น" สิ่งที่กระทบตา ในขณะนี้!!!

เพราะฉะนั้น อะไร ที่จะสามารถกระทบตาได้? "คน" กระทบตาไม่ได้ "ถ้วยแก้ว" กระทบตาไม่ได้ แต่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ที่อยู่ที่สิ่งนั้นๆ ที่เราเคยยึดถือ ว่าเป็นคน เป็นแก้ว แต่ความจริงก็คือ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มี่ที่ไหน ก็มีสิ่งที่กระทบตา แล้วก็ปรากฏให้เห็น แล้วก็จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกคิด เป็นเรื่องเป็นราว ว่าสิ่งนั้นมีจริง ตลอดเวลา แต่ตามความเป็นจริง สิ่งนั้น ขณะเพียงแค่หลับตา ก็ไม่มี ถูกต้องไหม? แม้ก่อนหลับ (ตา) ก็ดับแล้ว!! ก็ไม่เห็นตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ไม่คิด อย่างที่เคยคิด ไม่เอาความเห็น ความเข้าใจของเรา มาเติมว่า พอฟังแล้ว จะปฏิบัติ จะพยายามทำให้รู้ ว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ เป็นอย่างไร? เกิดดับอย่างไร? นั่นผิด!!! เพราะเหตุว่า ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจ ตามลำดับ เช่น เมื่อกี้นี้ "เห็นภาพ" ไม่ใช่ตามลำดับ แต่ เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เท่านั้น!!! ตามลำดับ ก่อนที่จะเป็นภาพ ก่อนที่จะเป็นจำ ก่อนที่จะเป็นคิดเรื่องราวต่างๆ เพียงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ นี่คือ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏนี้แหละ เกิดขึ้น จึงปรากฏ!!! แล้วก็ดับไป เร็ว สุดที่จะประมาณได้!!!

"เสียง" ไม่มี ไม่ปรากฏ แล้วก็มีเสียงปรากฏ แล้วก็หมดไป หมายความว่า ต้องมีธาตุ ที่ได้ยิน "เสียง" จึงปรากฏได้ และ ธาตุที่ได้ยิน และธาตุที่ได้ยิน เมื่อเสียงดับ จะได้ยินต่อไปก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่ใครอยากให้เกิดก็เกิด

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยไม่เอาความคิดของเราเข้ามาใส่ หรือเข้ามาต่อเติม ถ้าทำอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็คือว่า ไม่ได้ฟังพระธรรม "คิด" ด้วยความคิดของตัวเอง เพราะฉะนั้น ลืมหมดเลย ไม่สนใจสิ่งที่เราเคยคิดมาก่อน เพราะอะไร? เพราะกำลังฟังพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ถ้าไม่ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไหม? ที่จะรู้ความจริง ถึงที่สุด อย่างละเอียดยิ่ง

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เริ่มด้วย การเคารพอย่างยิ่ง ในแต่ละคำที่ได้ฟัง ว่าเป็นวาจาสัจจะ ลึกซึ้ง เพราะแม้สิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร!! ได้ยินเสียงไหม? ต้องการได้ยิน หรือว่าได้ยินเกิด ตามเหตุ ตามปัจจัย?

ผู้ฟัง ได้ยินตามเหตุ ตามปัจจัย

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วก็ไม่เคยรู้ว่า ได้ยินก็ดับแล้ว ในขณะที่ "เห็น" จะมี "ได้ยิน" ไม่ได้!! เพราะฉะนั้น เริ่มจากการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่น ไม่สามารถจะรู้อย่างพระองค์ได้ เพราะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึงการที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงพระมหากรุณา แสดงธรรมะที่ได้ตรัสรู้แล้ว ให้คนอื่นได้รู้ตาม รู้ตาม แม้แต่คำเดียว "สิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ" ซึ่งใครก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟัง!!!

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ก็คือ ฟังพระธรรม จนกระทั่งเข้าใจขึ้น แล้วก็ "เป็นผู้ตรง" ด้วย ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ หมายความว่า ความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรา "ความเข้าใจ" เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป "เห็น" ก็ไม่ใช่ "เข้าใจ" , "เสียง" ก็ไม่ใช่ "เข้าใจ" แต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วยังไม่รู้ด้วย ว่าสิ่งที่ดับนั้น ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ของการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ เริ่มได้รับมรดกที่ล้ำค่า เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ใครเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ยังไง ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ ใช่ไหม? อาจจะเป็นเย็นนี้ พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ก่อนจากไป ควรเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้หรือไม่? เพราะว่า ถ้าไม่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก...ไม่มีทางอื่น....ไม่มีทางอื่นเลย....ที่จะได้เข้าใจ ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังพระธรรม

อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ครับ พระธรรม เป็นมรดกที่ล้ำค่า ทีนี้ คุณสมบัติ ของผู้ที่จะรับมรดก...

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ล้ำค่าอย่างไร? ใช่ไหม? ก็ต้องรู้ว่า เงินเท่าไหร่ ก็ซื้อไม่ได้!!! มีใครจะเอาเงินไปซื้อความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จากการที่ได้ฟังแต่ละคำ ได้ไหม? คนที่เข้าใจแล้ว ก็มีความหวังดีต่อคนอื่น อยากที่จะให้คนอื่นเข้าใจด้วย แต่ทำอย่างไร เขาถึงจะเข้าใจ? ก็มีหนทางเดียว คือ หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การพูดถึงสิ่งที่มีจริง สนทนาธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจ จากการที่ได้ฟัง เพิ่มขึ้น

เพราะว่า ไม่มีใคร สามารถที่จะมีเงินทองไปซื้อธรรมะได้ จึงล้ำค่า!!! เงินทองเท่าจักรวาล ก็ไม่สามารถที่จะซื้อ แม้ความเห็นถูก แม้เพียงเท่าที่ได้ฟังเมื่อกี้นี้!!!

ภายหลังจบการสนทนาธรรม มีชาวหาดใหญ่และชาวใต้ มากราบเรียนสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ต่อ ซึ่งท่านอาจารย์เมตตามาก นั่งสนทนาอยู่อีกนาน ข้าพเจ้าแม้มีนัดกับหลายๆ ท่านที่จะออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรรับประทานมื้อเย็น ก็ถึงกับลุกไม่ขึ้น เมื่อได้ฟังท่านสนทนาอย่างเป็นกันเองกับทุกคน ได้บันทึกวีดีโอไว้เพื่อนำมาฝากทุกๆ ท่านด้วย แม้ว่าคุณภาพของเสียงจะไม่ดีนัก แต่หากท่านพยายามตั้งใจฟังดีๆ จะพบว่า ท่านก็ไม่อยากลุกหนีไปไหนเช่นกับข้าพเจ้าเช่นกัน ครับ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏฐ์ ศรีวัชรเมธี และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ทุกท่าน และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากร คุณวันชัย ภู่งามและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
AmAm
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

ขอขอบพระคุณ คุณวันชัยมาก ได้ประโยชน์มากๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริง มีจิตแต่ละหนึ่งมากมาย บ้างเริ่มสะสมโดยเริ่มฟัง บ้างเข้าใจบ้างแล้ว การเข้าใจในสภาพธรรมะ มีจริงๆ ฟังไว้ พิจารณาไว้ ค่อยๆ เข้าใจไป สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
กรกนก
วันที่ 1 ก.ค. 2558

กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 1 ก.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
napachant
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปวีร์
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ดีมากๆ เลยครับ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และขอบพระคุณผู้จัดทำอย่างยิ่งครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
thilda
วันที่ 3 ก.ค. 2558

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งามอย่างยิ่งค่ะ มีประโยชน์มากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
thassanee
วันที่ 3 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
panida
วันที่ 4 ก.ค. 2558

อนุโมทนาในกุศลจิต ที่ได้บันทึกภาพสวย ณ กาลครั้งหนึ่งไว้ บันทึกvdoให้ได้ฟังด้วย ดีใจสุดๆ ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jirat wen
วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ชลธี-หาดใหญ่
วันที่ 20 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ