ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วิสาขบูชา ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  13 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26628
อ่าน  1,996

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


เมื่อวันวิสาขบูชา ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันสำคัญนี้ ตั้งแต่เวลา ๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.

การสนทนาธรรมในวันนี้ มีผู้สนใจทั้งผู้ใหม่และเก่าเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก เก้าอี้ที่จัดไว้เสริมโดยรอบอาคารเต็มทุกที่ ท่านผู้ฟังต้องนั่งใต้ร่มโพธิ์และสาละด้านนอก รวมถึงภายในเต้นท์ที่จัดไว้เพื่อนั่งรับประทานอาหารบางส่วน อีกด้วย

และเช่นเคย ที่ท่านผู้มีจิตศรัทธา ได้นำอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด มาออกร้านบริการ แก่ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันสำคัญนี้ เป็นจำนวนมาก ขอกราบอนุโมทนาท่านเจ้าภาพอาหารคาวหวาน ผลไม้ น้ำดื่ม ทุกๆ ท่าน และ ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพในการจัดดอกไม้ รวมถึงทุกๆ ท่าน ที่ร่วมกันจัดดอกไม้ บูชาพระบรมสารีริกธาตุ อย่างสวยงามและมีความหมาย ในครั้งนี้ด้วยครับ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 667-668

บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใส ให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรม ย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน คือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในสัมปรายภพ การบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้น ย่อมเจริญบุญ

อันดับต่อไป ขอนำความการสนทนา มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นการสนทนาถึงเรื่อง ธรรมะ และ สิ่งที่มีจริงๆ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา เป็นสิ่งที่ดูเหมือนเข้าใจแล้ว แต่เมื่อได้ฟังอีก ก็เหมือนเป็นสิ่งใหม่ ที่เพิ่งเริ่มฟังอยู่ดี เพราะเหตุที่ ธรรมะ ที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง อย่างยิ่ง ดังคำปรารภที่ว่า เมื่อฟังแล้ว ก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ฟังอีก และ ฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

อ.วิชัย ช่วงนี้ ก็เป็นการสนทนาธรรม เนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำวันจันทร์ ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ซึ่งทุกท่านก็คงรู้ว่า วันนี้เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่ได้มีโอกาสบูชาอย่างสูงสุด ก็คือ การมีโอกาสได้ศึกษา ได้สนทนาพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯ ได้ทรงแสดง นี่คือ ประโยชน์สูงสุด

เพราะเหตุว่า ทรงบำเพ็ญบารมีมา เพื่อจะแสดงพระธรรม ให้บุคคลที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งเป็นปัญญา ที่จะเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ซึ่งจะมีข้อความก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เพราะเหตุว่า พระองค์ทรงแสดงตามความเป็นจริงว่า แม้พระองค์ก็ต้องดับขันธปรินิพพานอย่างแน่นอน ไม่มีบุคคลใด ที่เกิดมาแล้ว จะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล ต้องมีการเกิด การแก่ การเจ็บ และ ความตาย นี่เป็นสิ่งที่มีจริง ทุกบุคคลต้องเป็นอย่างนี้

ดังนั้น ก่อนที่พระผู้มีพระภาคฯ จะดับขันธปรินิพพาน ได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า " ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยการล่วงไปแห่งเรา " อันนี้ เป็นข้อความก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน

ในช่วงแรกครับท่านอาจารย์ การที่เราได้มีโอกาสเลื่อมใส ศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกบุคคลที่มีโอกาส ได้สะสมศรัทธามา ก็รู้ว่า พระองค์มีคุณ ซึ่งก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน ก็ทรงแสดงว่า ธรรมและวินัยที่แสดงไว้แล้วนี้ จะเป็นศาสดา ดังนั้น การรู้คุณ ต้องศึกษา เข้าใจธรรมะ แต่ว่า จะศึกษาอย่างไร ธรรมะ แสดงอะไรไว้ครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ คือ ต้องเข้าใจก่อน ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นใคร? คำนี้ ลืมไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า การที่บุคคลหนึ่ง บุคคลใด จะสามารถถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ด้วยความอยาก ด้วยความต้องการ แต่ต้องเป็น "ปัญญา"ที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ตามความเป็นจริง คือ รู้แจ้งสัจจธรรม ธรรมะที่มีจริงๆ ซึ่งทำให้บุคคลนั้น เป็นพระอริยบุคคล คือ ดับกิเลสหมด ไม่มีการที่จะมีกิเลสอีกเลย และต้องถึงความเป็นผู้ที่สมบูรณ์ ด้วยพระญาณต่างๆ ที่สามารถที่จะทำให้คนอื่น มีโอกาสที่จะได้ฟังคำ ซึ่งยาก แม้แต่เพียงคำหนึ่ง "คำแรก" ก็ยังยาก เช่นคำว่า "ธรรมะ"

ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังพระธรรม แล้วบอกว่า ธรรมะ คือ อะไร? อยู่ที่ไหน? เขาคงจะตอบไม่ได้ ตามที่เป็นจริง แต่ก็จะตอบ ตามความคิดเห็นของแต่ละคน ว่าธรรมะคืออะไร? เพราะว่า ภาษาไทยเราก็ใช้คำนี้มาก เช่น ยุติธรรม เป็นต้น หรือว่าอธรรม หรืออะไรๆ ก็ตามแต่ แต่ว่า ไม่ใช่การที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการคิดเอง ตามที่เคยฟังมาก่อน

เพราะฉะนั้น เพียงคำนี้ การที่จะเคารพอย่างสูงสุด ก็ต้องรู้ว่าการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ยากมาก ต้องบำเพ็ญบารมี นาน ผู้ฟัง ที่จะได้ฟังคำต่างๆ นั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณ เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า แต่ละคำ เป็นคำที่ลึกซึ้ง ยากแก่การที่จะเข้าใจได้ทันที


เช่น คำว่า "ธรรมะ" เรามีพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และ พระสังฆรัตนะ ถ้าไม่มีพระพุทธรัตนะ คือการตรัสรู้ ธรรมรัตนะ ก็มีไม่ได้

เพราะฉะนั้น สิ่งซึ่งมีค่าสำหรับทุกคน ก็คือ "แต่ละคำ" ที่ได้ทรงแสดงไว้ แม้ว่าปรินิพพานแล้ว "คำนั้น" ก็เป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่มีคำอื่น ไม่มีคนอื่น ที่จะสามารถที่จะกล่าวความจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจ จนกระทั่ง อบรมเจริญปัญญา ความเห็นถูก ตามที่ได้ฟัง โดยละเอียดยิ่ง ถึงการรู้แจ้ง สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ได้รู้ตามด้วย เป็น สาวก เพราะฉะนั้น จึงมีพระอริยสงฆ์ เป็นรัตนะ ด้วย รวมเป็น รัตนะ ๓ คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และ พระสังฆรัตนะ

จากการที่เป็นคนธรรมดา ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย กว่าปัญญา จะถึงความเป็น สังฆรัตนะ เป็นสาวก ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้เข้าใจ "แต่ละคำ" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประมาท "แต่ละคำ" ไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ ใครที่จะเข้าใจ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจพระคุณที่ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมะ ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็ ด้วยความเคารพจริงๆ ไม่ประมาท แล้วก็ไม่ใช่คำคนอื่น เพราะต้องเป็นคำที่จริง "ทุกคำ"

อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงไว้เป็นอันมาก แต่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ต้องละเอียดในแต่ละคำ อย่างเช่น คำว่า ธรรมะ ท่านอาจารย์ครับ สำหรับบุคคล ที่เริ่มได้ยิน ได้ฟัง ธรรมะ จากความที่เคยเข้าใจตามความคิดเห็นของตนเอง แต่ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นธรรมะ จะเริ่มต้นอย่างไร? เพราะเหตุว่า ก็อาจจะกล่าวถึง ธรรมชาติ ยุติธรรม แต่ว่า ธรรมะ ก็ยังไม่ใช่เป็นความเข้าใจอย่างเริ่มต้นที่แท้จริง

ท่านอาจารย์ เริ่มต้นที่แท้จริง คือ ได้ยินคำที่กล่าวถึงความจริง ในภาษาของตนๆ เพราะถ้าบอกว่า ศึกษาธรรมะ แต่ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร? ก็ไม่ใช่การศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แต่ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร? ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมะ!!! เพราะว่า คนไทย ก็ใช้คำภาษาบาลีหลายคำ แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า คำที่พระผู้มีพระภาคฯ ตรัส หมายความถึงอะไร?

แม้แต่เพียงคำว่า สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องพูดคำว่าธรรมะ ได้ไหม? พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ชัดเจนไหม? ไม่ต้องใช้คำว่า "ธรรมะ" เพราะเหตุว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ทั้งหมด เดี๋ยวนี้ มีสิ่ง ที่มีจริง เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง "เกิด" มีไหม? "เกิด" ธรรมดา ทุกคนเกิด จริงไหม?

อ.วิชัย จริงครับ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว จริง เพราะฉะนั้น ขณะที่เกิด ก็เป็นสิ่งที่มีจริงแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร ที่เกิด ถ้าไม่มีการทรงแสดงความจริง จะไม่รู้เลย!!! เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่? เห็นอะไรบ้าง? สุข ทุกข์ อย่างไร? แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ไม่รู้ว่า ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นอะไร?

อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ แต่รู้สึกว่า คนทั่วไปก็รู้ครับ ว่า มีการเกิด มีการแก่ มีการเจ็บ และ มีการตาย อะไรที่เป็นความตาย ของความรู้ ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา ที่จะตรัสรู้ความจริงครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเหตุว่า ทุกคนมีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้ ตามที่คิด ถ้าไม่คิด จะเป็นอย่างนี้ไหม? ว่านั่นถ้วยแก้ว นี่คน เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่ปรากฏจริง รู้ตามที่คิด แต่ไม่ได้เข้าใจความจริง เลย ว่า "เห็น" มี แล้วก็ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ก็มี นี่ "เริ่ม" แล้ว ที่จะรู้ว่า อะไรจริง!!!เป็นการ "เริ่ม" ที่จะ "เข้าใกล้" พระรัตนตรัย

มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางเลย ทั้งๆ ที่ ขณะนี้ ก็มี "สิ่งที่มีจริง" แล้วก็มี "คำสอน" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ถ้าไม่ฟัง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้จักพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้แจ้ง ถึงการเป็นพระสงฆ์ ได้แต่กล่าวคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ แต่ เข้าใจหรือเปล่า? ว่าการเป็น "ที่พึ่ง" (สรณัง) นั้น เป็น "ที่พึ่ง" อย่างไร?

เพราะฉะนั้น การเป็นที่พึ่ง ก็คือว่า สิ่งที่มีในโลกนี้ ที่คนในโลกนี้เคยเข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริงของสิ่งนั้น แต่ละอย่างๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นโลกเดิม ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.วิชัย ครับ กราบท่านอาจารย์ครับ เมื่อสักครู่ กล่าวถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ท่านอาจารย์ กล่าวถึงว่า ให้พิจารณา อันนั้น คือ ความที่เข้าใจโดยทั่วไป ซึ่งเป็นความจริง แต่ว่า ยังไม่ละเอียด ที่จะเข้าใจว่า จริงๆ เป็น "แต่ละหนึ่ง" ที่เป็นไป ใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ "เกิด" เป็นอะไร? ใครเกิด?

อ.วิชัย ก็ยังเป็นบุคคลต่างๆ เกิด

ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะ หรือเปล่า? เห็นไหม? ไม่ได้รู้เลย!!! ขณะนี้ "เห็น" ใครเห็น?

อ.วิชัย ถ้ากล่าวตอบ (อย่าง) บุคคลทั่วไป ก็ยังเป็น "เราเห็น" อยู่ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ธรรมะ เป็น "เราเห็น" ขณะนี้ "กำลังได้ยิน" ใคร "ได้ยิน"?

อ.วิชัย ก็ยังเป็น "เราได้ยิน"

ท่านอาจารย์ "เราได้ยิน"? แล้วอย่างนี้ ชื่อว่า รู้จักธรรมะ หรือเปล่า?

อ.วิชัย แล้วอะไรจะเป็นความรู้ ที่ต่างกับ เป็นเราที่ได้ยิน กับ ความรู้ เริ่มว่า เป็นธรรมะ ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร? ต้อง "ฟังคำของพระองค์"เพื่อ "เข้าใจ" ไม่ใช่ "เราคิดเอง" เหมือนเดิม

ขณะนี้!! เริ่มฟังตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย!!! มี "เห็น" จริงไหม?

อ.วิชัย จริงแน่นอนครับ

ท่านอาจารย์ จริงแน่นอน นะคะ แล้ว "ใครเห็น"? ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ ไม่รู้เลย ไม่มีทางที่จะ "รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริง เรารับรองกันทุกคน พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ ไม่ละเอียดพอที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้!! อะไรมีจริงๆ !!! นี่คือ ความไม่ละเอียด

ถ้าไม่ละเอียดอย่างนี้ จะเข้าใจอะไร? จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างไร?พระองค์ก็เหมือนคนอื่นธรรมดาทั้งหลาย ที่คิดเรื่องของสิ่งที่มี แล้วก็แสดงความคิดเห็นของตนเอง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงความจริงเดี๋ยวนี้!!! ให้เข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริง มิฉะนั้น ก็ไม่รู้ไป แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดชีวิตด้วย

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ปกติธรรมดา ก่อนฟังพระธรรม ทุกคนเข้าใจว่า "เราเห็น" แต่เมื่อได้ฟังความจริงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วคำว่า "ตรัสรู้" หมายความว่าอะไร? พูดทุกคำ ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่า พูดตามเฉยๆ "ตรัสรู้" คือ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ถึงที่สุดเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้เลย เพราะว่า เป็นความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือ การตรัสรู้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย เพียงมีศรัทธา กราบไหว้บูชา แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ที่กราบไหว้บูชา บูชาในพระคุณ ที่ทรงแสดงความจริง ซึ่งไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้น โดยที่ใครก็ไม่สามารถไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย สักคน แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่ได้ตรัสว่า พระองค์ทำให้สิ่งนั้น สิ่งนี้ เกิดขึ้น แต่ทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิด สิ่งนั้น ต้องมีปัจจัย หรือสิ่งที่อุปการะ เกื้อกูล ให้ "สิ่งนั้น" เกิดขึ้น ไม่ใช่ใครเลย!!! แล้วก็ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร นี่คือ ความหมายของ สิ่งที่มีจริง ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ" เป็น "อนัตตา" คือ ไม่ใช่ใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใครด้วย

"เริ่มพิจารณา" ตั้งแต่เกิดมานี้ ตลอดชีวิต ก็มี "เห็น" ไม่รู้เลย!!! มี "ได้ยิน" ก็ไม่รู้ความจริง มี "ได้กลิ่น" มี "ลิ้มรส" มี "รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย" มีการ "คิดนึก" มีสุข มีทุกข์ มีมากมาย หลายอย่าง ไม่รู้ความจริงเลย!!! เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า อวิชชา , โมหะ ความไม่รู้ ไม่ใช่รู้อื่น!!! ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้เอง!!!

เพราะฉะนั้น ที่ อวิชชา หรือความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดกิเลสทั้งหลาย จะค่อยๆ ละคลายลงได้ ก็ต่อเมื่อ มีความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เกิดขึ้น จึงรู้ว่า ความจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนในสิ่งที่มี เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่อง "เรา" หรือ "ใคร" แต่เป็นเรื่อง "ความเห็นถูกต้อง"ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า "ปัญญา" เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีปัญญา หรือยัง? ต้องเป็นคนที่ตรง ทุกคำ ที่ได้ยิน เป็นธรรมะ ค่ะ

[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 470

ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงการได้ปัญญาด้วยการณ์ ๔ อย่าง แก่อาฬวกยักษ์นั้น จึงตรัสว่า สทฺทหาโน เป็นต้น. คาถานั้นมีอธิบายว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ผู้อรหันต์บรรลุนิพพาน ด้วยธรรมใด ในบุพภาคอันต่างด้วยกายสุจริตเป็นต้น ในอปรภาคอันต่างด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ บุคคลเชื่อธรรมนั้น คือ ธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมได้ปัญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ เพื่อบรรลุพระนิพพาน ก็แล ย่อมได้ปัญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ ด้วยเหตุสักว่าศรัทธาเท่านั้น หามิได้

ก็เพราะบุคคลเกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหา ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสต เงี่ยโสตแล้ว ย่อมฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังอยู่ด้วยดี จำเดิมแต่เข้าไปหา จนถึงการฟังธรรม ย่อมได้ปัญญา.

มีอธิบายอย่างไร มีอธิบายว่า แม้เชื่อธรรมนั้นแล้ว เข้าไปหาพระอาจารย์และอุปัชฌาย์ตามกาล เข้าไปนั่งใกล้ด้วยการทำวัตร ในกาลใด พระอาจารย์และอุปัชฌาย์ มีจิตอันการเข้าไปนั่งใกล้ให้ยินดีแล้ว ประสงค์จะกล่าวคำไรๆ ในกาลนั้น ก็เงี่ยโสต ด้วยความเป็นผู้ใคร่จะฟังอันถึงแล้ว ฟังอยู่ย่อมได้ปัญญา ก็แม้ฟังอยู่ด้วยดีอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติ และมีปัญญาเครื่องสอดส่อง ด้วยความเป็นผู้รู้สุภาษิตและทุภาษิตนั่นแล ย่อมได้ปัญญา บุคคลนอกนี้ ย่อมไม่ได้ปัญญา

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง เพราะบุคคลปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ด้วยศรัทธาอย่างนี้แล้ว ฟังอุบายอันเป็นเครื่องบรรลุปัญญา ด้วยการฟังด้วยดี คือ โดยเคารพ ไม่หลงลืมสิ่งถือเอาแล้ว ด้วยความไม่ประมาท และถือเอาสิ่งไม่หย่อน ไม่เกิน และไม่ผิด ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ย่อมกระทำให้กว้างขวาง หรือ เงี่ยโสตลง ด้วยการฟังด้วยดี ย่อมฟังธรรมอันเป็นเหตุได้เฉพาะซึ่งปัญญา ครั้นฟังด้วยความไม่ประมาทแล้ว ย่อมทรงธรรม ย่อมใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมทั้งหลาย ที่ทรงจำ ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ในลำดับนั้น ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถ์ โดยลำดับ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
dawhan
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tanrat
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาสาธุในกุศลจิตในทุกท่าน จะเป็นทานก็ดี ศีล หรือความสงบของจิต การประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมะนั้นๆ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในโสภณธรรมทุกๆ ดวงจิต เป็นบุญที่สั่งสมในปางก่อนจึงได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องและตรง ขอฟังพระธรรมด้วยความเคารพต่อไป

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
papon
วันที่ 14 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 15 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 15 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 15 มิ.ย. 2558
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 15 มิ.ย. 2558

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 15 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
napachant
วันที่ 15 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
thassanee
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ch.
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wirat.k
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ผู้มีความประมาท
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ