ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ ประเทศเยอรมนี ๑๙ เม.ย - ๑ พ.ค. ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  30 เม.ย. 2558
หมายเลข  26499
อ่าน  2,430

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ถึง วันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณอัญมณี มัลลิกะมาส และคณะฯ

เพื่อไปท่องเที่ยวพักผ่อนยังประเทศเยอรมนี หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

และประเทศใกล้เคียงในยุโรปตอนกลาง คือ ออสเตรียและสโลวีเนีย

และเช่นเคย ที่ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากพี่แก้วตา อเนกพุฒิ ซึ่งเดินทางไปกับคณะฯ

ส่งภาพและไฟล์สนทนาธรรม ณ สถานที่ต่างๆ ตลอดการเดินทางมาให้ข้าพเจ้า

ซึ่งไม่ว่าท่านอาจารย์จะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดก็ตาม ประโยชน์สำคัญที่สุดของทุกท่าน

ที่อยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์ คือ ความเข้าใจที่ได้จากการฟังและสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์

ซึ่งจะเป็นความธรรมะที่ท่านอาจารย์จะสนทนา จากเรื่องราวใกล้ตัวในขณะนั้น

เป็นความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันจริงๆ ครับ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับภาพถ่ายบางส่วนจากคุณวีรยุทธ สันตยานนท์

และ คุณอัญมณี มัลลิกะมาส ซึ่งข้าพเจ้าขออนุญาตนำภาพและความการสนทนาธรรมบางตอน

มาฝากทุกๆ ท่านเช่นเคย เป็นความการสนทนาธรรม ณ ห้องพักท่านอาจารย์

ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ มีความดังนี้

ท่านอาจารย์ ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมทุกท่าน ท่านต้องมีปัญญา ระดับต่างกันหมดเลย

อย่างเอตทัคคะ ก็แต่ละหนึ่ง ที่ต่างกันไป

คือ คนเรา เกิดมาแล้ว ด้วยจิตหนึ่งนี่ จะไม่มีวันเมือนกันเลย

อย่างเราไปเที่ยวมาด้วยกันนี่ เราเห็นสิ่งนี้ คนนี้เห็นสิ่งโน้น คนโน้นคิดอย่างนั้น อย่างนี้

เก็บหมด ปรุงแต่งขณะต่อไป ซึ่งไม่มีใครรู้

นี่คือ "สังขารขันธ์" ความหมายของเจตสิก ๕๐ ดวง

ซึ่งไม่ใช่ เวทนาเจตสิก ซึ่งเป็นเวทนาขันธ์ ไม่ใช่ สัญญาเจตสิก ซึ่งเป็นสัญญาขันธ์

เพราะทั้งสองอย่างนี้ จำเพื่ออีก ๕๐ จะปรุงแต่ง

อย่างเมื่อกี้นี้ อะไรอร่อย เห็นไหม?

เวทนาเจตสิก ชอบใจ

มันก็ทำให้ปรุงแต่ง สังขารขันธ์ทั้งหมด คิดอีก จะทำอะไรอีก

อย่างคุณแอ้น ไปเอาข้าวเหนียวมาบี้ๆ ทำให้เป็นก้อนเล็กๆ แล้วก็ทอด แล้วก็เอามาชุบไข่

พวกนี้ค่ะ คือ ไม่มีทางที่ว่า คนอื่นที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ แล้วจะมาคิดอย่างนี้

แล้วจะทำอย่างนี้ ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงเห็นความว่า ธรรมะทั้งหมด เพื่อแสดงให้รู้ว่า "เป็นธรรมะ"

ที่ใครจะไปบิดเบือน หรือว่า จะไปปรุงแต่ง หรือว่า จะไปทำอะไร ไม่ได้เลย!!!

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสรู้ เพื่อให้เรา ค่อยๆ น้อมมารู้ว่า

เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะ !!!

ไม่ใช่อื่น ที่จะไปรู้เลย

สิ่งที่มี แล้วไม่รู้

แต่ เมื่อได้ฟังธรรมะแล้ว ก็รู้สิ่งที่กำลังมี

เมื่อถึงเวลา !!!

แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็ฟังไป เข้าใจไป สะสมไป

ทีละเล็ก ทีละน้อย

เป็นสังขารขันธ์ ที่จะปรุงแต่งให้ เดี๋ยวนี้ เข้าใจลักษณะของสติสัมปชัญญะ

ซึ่ง ขณะฟัง ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ

แต่ว่า ปรุงแต่งจนถึงขณะที่เป็นสติสัมปชัญญะ

แล้วก็ รู้ความต่าง

โดยที่ว่า ตัวสติ ก็คือ สติ ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง หน้าตา อะไรเลย

เป็นสภาพที่ "ระลึก"

อย่างวันนี้ เราระลึก ที่จะสนทนาธรรม

ตัวสติเกิด คิดที่จะสนทนาธรรม

คิดที่จะไม่ไปข้างนอก ที่จะไปเดินดูอะไรๆ ต่างๆ

แต่ถ้าเราไปเดินดูอะไรต่างๆ ก็เป็นการปรุงแต่งของโลภะ

ไม่ใช่สติที่มีกำลัง ที่จะสนทนาธรรม

ขณะนี้ ก็ไม่ใช่เราเลย

ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น จะคิด อะไรทั้งหมดนี้

ให้รู้ว่า "เป็นธรรมะ"

แต่ทีนี้ ถ้าเราไม่มีการฟัง ไม่มีการสนทนาธรรมะ

ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นมงคล เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่จะนำมาซึ่งความเข้าใจ

จนสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้

ถ้าเราพลาดโอกาสนี้ แล้วเราไปเดินดูของ ปัญญาที่จะเกิดตอนนี้ ก็ไม่มีโอกาส

ที่จะเป็น สังขารขันธ์ ที่จะปรุงแต่ง ต่อไปอีก

ให้มีความเข้าใจธรรมะ

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ ก็คือ ธรรมะ

แต่ทั้งหมดที่ทรงแสดง ก็เพื่อให้ "เข้าถึงความเป็นธรรมะ"

เพราะว่า เป็นสิ่งที่ "รู้ยาก" และ สะสมความไม่รู้มานาน

โลภะเขาก็เป็นนายมาตลอดเลย ตัณหาทาโส เป็นทาสของโลภะ แค่นี้

มันก็มีอยู่ทั้งวัน เราเป็นทาสของอาหารเช้า เราเป็นทาสของทุกสิ่ง ทุกอย่าง

เดี๋ยวไปโน่น มานี่

แต่ "สติ" ที่สะสมมา การเห็นประโยชน์ การเข้าใจธรรมะ

ก็ทำให้มี ขณะนี้ !!!

ซึ่งเราจะไม่รู้ว่า มันกี่ขณะแล้ว เป็นพันเป็นร้อยแล้ว ของสติที่เกิดขึ้นขณะที่ฟังและได้ยิน

แล้วจะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ตามเวลาที่เรามีการสนทนาธรรม

ที่เขากำลังปรุงแต่ง เก็บเครื่องปรุงนี้ไว้ สำหรับปรุงต่อไป

ที่จะให้เป็นความเข้าใจธรรมะขึ้น !!!

เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมะ

เราสะสมความไม่รู้มานานมาก

มันก็ไม่สามารถจะแทงตลอดทันที

อย่างท่านพระอุปติสสะ ท่านโกลิกะ สองสหาย

ซึ่งเป็นท่านพระสารีบุตร กับ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ

แต่ทุกคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง

อ.สงบ ขออนุญาตท่านอาจารย์อธิบาย ก็คือ ตอบคำถามของท่านสพรั่ง

ว่าทำไมพวกเราก็ฟังอย่างเดียวกันนี้แหละ

เย ธัมมา...ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านั้น

และ ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณโคดม ตรัสอย่างนี้

ท่านอุปติสสะ ฟังจากท่านอัสสชิ ท่านก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน

แล้วท่านก็ไปแสดงกับเพื่อนท่าน คือ โกลิกะปริพาชก พอฟัง ท่านก็บรรลุโสดาบัน

ท่านสพรั่งถามว่า ทำไมพวกเราก็จำได้ แล้วก็พูด และท่านอาจารย์ก็แสดงมาเยอะเลย

พลเอกสพรั่ง ผมอยากได้ความเข้าใจ

อ.สงบ ทำไมเราถึงไม่เข้าใจ เราถึงไม่บรรลุ

พลเอกสพรั่ง มันไม่ใช่เป็นความสงสัย ผมบอกว่า คือ ในใจผมบอกว่า

ถ้าอย่างนั้นทุกคน ปิดพระไตรปิฎกได้เลย ถ้าเริ่มต้นผิด ศึกษาไป ก็จะ..คือ ไปไม่รอด

ท่านอาจารย์ เข้าใจผิด...เพราะฉะนั้น ถ้าอ่านพระสูตรด้วยความไม่เข้าใจ

คือ มีมิจฉาทิฏฐิ ท่านบอกไว้เลย

พลเอกสพรั่ง ผมถามคุณสงบว่า ลองเปิด คำเดียวกันกับที่ท่านพระอัสสชิ

กล่าวกับท่านอุปติสสะ ก่อนที่จะเป็นท่านพระสารีบุตร ผมถามว่า แล้วทำไมท่านปิ๊งเลย

ท่านอาจารย์ ก็เพราะ อนึ่งอสงไขยแสนกัปป์มาแล้ว ตอนนี้ก็ชัดเจน

อ.สงบ ยกตัวอย่างว่า เราไปเอาตำราแพทย์มา แล้วก็มาศึกษากัน

ท่านอาจารย์ ผ่าตัด งูๆ ปลาๆ ตายเลย (หัวเราะ)

อ.สงบ (หัวเราะ) ท่านก็มาถามว่า ทำไมเราถึงรักษาคนไข้ไม่ได้

ทำไมเราผ่าตัดไม่ได้ ทำไมเราให้ยาเขาไม่ได้

ท่านอาจารย์ ตำราเล่มเดียวกัน !!!

อ.สงบ ก็อธิบายว่า การสะสมต่างกัน ก็เรียนท่านไปอย่างนี้

ก็เลยมากราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติมว่า ในส่วนนั้น เป็นเรื่องของการสะสมความเข้าใจ

แม้แต่ว่า เราแต่ละคน ก็ไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง

เหมือนครั้งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร เคยเป็นใคร ชาติไหน

ท่านพระมหากัสสปะ เคยผ่านการเป็นคนเข็ญใจที่มีผ้าผืนเดียว

ฟังธรรมะแล้วก็อยากถวาย (ผ้า) ก็ไม่ได้ถวายสักที

เห็นไหมว่า แสนกัปป์ !!!

จากการฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน แล้วก็ได้เข้าใจ

แต่ไม่มีการสะสมสังขารขันธ์พอที่จะรู้แจ้ง

"คำ" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนตรัส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็ตรัส

แต่ ตอนนั้นไม่เข้าใจ

มาถึงตอนนี้ ที่สะสมมาแล้ว ที่จะค่อยๆ ละคลาย

จึงสามารถที่จะถึงเวลาที่จะเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครรู้ จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ในฐานะ เป็นใคร?

ไม่มีทางรู้ !!!

อย่างสุปปพุทธกุฏฐิ ขอทานโรคเรื้อน เห็นไหม?

เราจะรู้ได้อย่างไร? จะเป็นหรือเปล่า?

ใครจะรู้?

เพราะว่า กรรม ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ถ้ายังไม่เกิดผล

ก็นานแสนนานมาแล้ว ที่สุปปพุทธะ ทำกรรมที่จะให้เป็นคนโรคเรื้อน

พลเอกสพรั่ง ถ้าเกิดเราจะโชคดีอย่าง.. เป็นโรคเรื้อนก็ดีนะ ถ้า....

ท่านอาจารย์ ไม่รู้ อย่าไปคิดเลย (หัวเราะ) ไม่ใช่ๆ

เราไม่รู้อะไร แล้วก็ไม่หวังอะไร

พลเอกสพรั่ง ครับ

ท่านอาจารย์ คือ "เข้าใจ" เท่านั้น

"เข้าใจ" คือ ความถูกต้อง

เพราะว่า ตัวอย่างนี่ เลือกไม่ได้

เกิดมาอย่างนี้ ชาตินี้ เรายังเลือกไม่ได้

เพราะฉะนั้น ชาติที่จะรู้ความจริง เราจะไปเลือกได้หรือ ว่าเราจะเป็นใคร?

แม้แต่สุปปพุทธะ ก็เป็นได้ ขอทานโรคเรื้อนน่ะ

ขอทานที่น่าสงสารกว่าขอทานไหนๆ อีก กว่าจะได้ข้าวแต่ละมื้อ

พลเอกสพรั่ง ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเราจะสงเคราะห์ เราเอาเทปที่ท่านอาจารย์ตอบ

เพื่อให้สังคมนี้ เฉลียวใจว่า....

ท่านอาจารย์ คุณสพรั่ง คุณสพรั่ง

ก็เหมือนกับ เอาไปให้คนก่อนที่จะเป็นท่านพระสารีบุตรฟัง สมัยโน้น หนึ่งแสนกัปป์

นั่นยังฟังนะ

พลเอกสพรั่ง ให้เฉลียวใจไงครับ ว่าให้.....

ท่าอาจารย์ คุณสพรั่ง เราให้ใจใครเป็นอย่างที่เราต้องการ ได้ไหม?

พลเอกสพรั่ง สงสาร คนที่ยัง.....

ท่านอาจารย์ สงสารก็สงสาร พระพุทธเจ้าทำอะไร?

พอพระพุทธเจ้าสงสาร บำเพ็ญบารมี เพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สำหรับผู้ที่สามารถเข้าใจได้

เพราะไม่น้อมพระทัยที่จะแสดงธรรม

เพราะว่า ถ้าเป็นพวกเดียรถีย์หมดนี่ ไม่มีประโยชน์

พลเอกสพรั่ง ก็อย่างพวกผมนี่ ก็ไม่ได้ต่างจากคนทั้งหลาย

เพียงแต่ โชคดี ที่ได้ฟัง

ท่านอาจารย์ ไม่มีคำว่า โชคดี

เพราะสะสมมา ที่จะได้ฟัง

อย่างนี้ไงคะ ลูกศิษย์ของสัญชัย พระสารีบุตรก็เป็นลูกศิษย์ของท่านสัญชัยเหมือนกัน

และท่านพระสารีบุตร ได้พบพระพุทธเจ้า แล้วสัญชัยไม่พบ

แล้วคุณสพรั่ง จะไปบอกสัญชัยไหม? ไปๆ ๆ เดี๋ยวนี้ !!

ขณะที่ว่า ไปเฝ้าเดี๋ยวนี้ !!

พลเอกสพรั่ง ยังไม่ได้ลองเลย ยุคใหม่นี่

ท่านอาจารย์ ไม่...ยุคไหนก็เหมือนกัน

เขาก็คือสัญชัย !!! หรือไม่ก็ ลูกศิษย์ของสัญชัย !!!!

แล้วเราจะเอาอะไรไป (ชักจูง) เขา

ทางที่ดีที่สุด ถ้าเราสงสารใคร

เราบำเพ็ญความดี ให้ถึงเวลาที่เราสามารถช่วยเขาได้

เฉพาะ คนที่สะสมมา

ช่วยเฉพาะ คนที่สะสมมา

คนที่ไม่ได้สะสมมา ไม่มีทาง !!

จะเอาไปเปิดให้ฟังทั่ว ๔ มุมเมือง เขาก็ไม่ฟัง !!!

ฟังแล้ว เขาก็บอกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้แล้ว

มีบางคนบอกว่า จริง จริง ถูกนะ อย่างเพื่อนคุณสพรั่งหลายคน

แต่ ไม่มา

ปัญญาเขาถึงไหม?

ที่จะรู้ความต่าง ของคำที่ได้ยิน

เพราะ เขาบอกว่า "เหมือนกัน"

พลเอกสพรั่ง มันเหมือนไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์ ก็นั่นน่ะสิ เพราะฉะนั้น เราก็รู้ว่า...

พลเอกสพรั่ง คำบรรยายของท่านอาจารย์ ไม่เหมือนใคร

ท่านอาจารย์ อ้าว นั่นคือ คนรู้ !!

แต่คนไม่รู้ คุณสพรั่งจะไปบอกเขาอย่างไร?

เขาก็ว่า "เหมือนกัน"

เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะไปให้ใจใคร ต่างจากที่เขาสะสมมา

ธรรมะ ธรรมะ - ตา สะสมมาอย่างไร ก็เป็นไป อย่างที่สะสม

ไม่ใช่เขาไม่รู้จักคุณสพรั่ง ไม่ใช่เขาไม่เคยได้เห็น ได้ฟัง

ได้ฟังด้วย แล้วบอกว่าถูกต้อง ดีด้วย

แต่เขาก็ไม่มา

เพราะฉะนั้น ใจคนอื่นนี่ เราทำอะไรไม่ได้เลย

ไม่ได้เลย !!

มีทางเดียว คือ เราพูดความถูกต้อง แล้วแต่จะรับได้ หรือ รับไม่ได้

พลเอกสพรั่ง ก็ท่านอาจารย์รักษาพระธรรมให้ถูกต้อง ให้บริสุทธิ์

ไม่ใช่รักษาพระไตรปิฎกอย่างนั้น...

ท่านอาจารย์ ก็คนรู้ต่างหาก

เพราะฉะนั้น คุณสพรั่งพูดกับคนรู้ ได้ พูดกับคุณสงบ ได้

แต่ ไปพูดกับคนที่เขาไม่สนใจ เขาเห็นว่า "เหมือนกัน"

เพราะเขาไม่ได้สะสมมา ที่จะเข้าใจความละเอียด

ไม่มีบุญ แม้แต่ที่จะได้ฟังอย่างละเอียดขึ้น ทั้งๆ ที่มีโอกาส

เพราะอะไรกั้น?

กิเลสกั้น !!!

ไม่มีทางเลย ที่จะไปเปลี่ยนภูเขา ให้เป็นน้ำทะเลสาป

เปลี่ยนไม่ได้

พลเอกสพรั่ง คือเขาเข้าใจว่า รักษาคำสอน คือ นำพุทธพจน์มาเผยแพร่เท่านั้น

คือ รักษาคำสอน

ท่านอาจารย์ คุณสพรั่งพูดอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนอื่น

พลเอกสพรั่ง ไม่ใช่ผมไปบอกเขา นำเทปท่านอาจารย์.....

ท่านอาจารย์ ก็นี่ไง นั่นแหละๆ

ยังไงๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้

เขาไม่ฟังด้วยซ้ำไป

เราไปให้เขาฟังหรือยัง? ยัง

แม้จะฟัง ยังไม่ฟัง!!

อ.สงบ ถ้าไม่ได้สะสมมา จะไม่มีเหตุที่เขาจะต้องสนใจฟัง

พลเอกสพรั่ง เรายังไม่ได้รู้ว่า ใครยังไม่ได้สะสม เผื่อใครที่ เป็นผู้ใหญ่ที่.....

ท่านอาจารย์ คุณสพรั่งคะ วิทยุเราออกรายการไป

คนที่ไม่เคยรู้จักมูลนิธิเลย ไม่เคยฟังเลย บุญเขามี เขามา

บุญเขาไม่มี ได้ยิน เขาก็ไม่มา

คุณสพรั่งพยายามจะไปเปลี่ยนภูเขา ให้เป็นทะเลสาปน่ะ

(ภาพท่านอาจารย์ช่วยหอบของที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับที่พัก เนื่องจากไม่มีถุงใส่ให้)

พลเอกสพรั่ง หาหนทางเฉยๆ ครับ ไม่ได้เตรียมจอบไป.....

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะ รู้แล้วว่าภูเขานะ

รู้แล้วว่าทะเลสาปกับควันไฟ

ใครจะไปทำอะไรได้?

ใจคน ก็เหมือนกันอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้ !!

ถ้าจะเปลี่ยน เขาเปลี่ยนเอง

อย่างท่านพระสารีบุตรนี่ เปลี่ยนเอง

ฟังปุ๊บ เปลี่ยนเอง !!

(พี่แก้วตาเล่าว่า ระหว่างทางพบคุณยายท่านหนึ่ง ท่านอาจารย์ให้นำถุงขนมไปให้คุณยาย

เมื่อท่านรับ ทุกท่านก็หาสิ่งของที่ควรที่จะมอบให้ เพื่อประโยชน์แก่คุณยาย

จากนั้น คุณวิภาดา กัลยาณมิตร ก็มอบอาหาร พี่สุกัญญา เพื่อนชอบ มอบเสื้อไหมพรม

ซึ่งท่านชอบและดีใจมาก นอกจากนั้นพี่สุกัญญายังได้มอบหมวกไหมพรม

ที่พี่แก้วตาถักให้พี่สุ ให้กับคุณยายไปอีกใบหนึ่งด้วย กราบอนุโมทนาทุกๆ ท่าน ครับ)

อ.สงบ อย่างอาจารย์สัญชัยไม่มา ไม่ใช่เขาไม่รู้

เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่มา

แล้วลูกศิษย์ที่ตามมาบางส่วนกลับไปอีก นั่นคือ เขาไม่ได้สะสมมา

และที่เป็นลูกศิษย์ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะที่ไป

พอไปฟังแล้ว ท่านก็บรรลุพระอรหันต์

พลเอกสพรั่ง อันนี้ เป็นการ ไม่ใช่ว่าผมดื้อรั้น

เพราะต้องการความเข้าใจที่ลึกเลยนะครับ

ท่านอาจารย์ ลึกเลย คือ คุณสพรั่ง ยังไม่เข้าใจธรรมะ ว่า เป็นธรรมะ

ยังเป็นคนโน้น ยังเป็นคนนี้

เราหวังดี ถ้าเขาได้ฟัง

"ยังเป็นคน"

แต่ถ้า "เป็นธรรมะ"

เปลี่ยนได้ไหม?

พลเอกสพรั่ง ถ้าอย่างนั้น ปล่อยเลย ใช่ไหมครับ?

หมายถึงว่า ที่เละเทะกันอยู่ทุกวันนี้ ที่ทำร้าย ทำลาย...ผมไม่ได้ประชดนะ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน !!

ทำดีที่สุด โดยไม่หวังอะไรเลย ที่จะทำได้

เราพูดเรื่อง สำนักปฏิบัติ พูดไป พูดไป พูดไป

ทำดีที่สุด โดยไม่หวัง ว่ามันจะเป็นอย่างไร?

มันจะเปลี่ยน หรือ มันไม่เปลี่ยน

เราก็ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย

เพียงแต่ว่า ทำดีที่สุด

คือ สิ่งที่จิตนี้ สะสมมา แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง สามารถจะทำได้

แต่ ไม่หวัง !!!

แล้วแต่เหตุปัจจัย คำนี้แน่นอน

แล้วแต่เหตุปัจจัยของเขา แต่เรา ทำดีที่สุดแล้ว "จบ"

ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น

ไม่หวังว่า ฟังแล้ว เขาคงจะดีนะ

ไม่หวัง !!!

แม้แต่ว่า ฟังแล้วเขาคงจะเข้าใจ ก็ไม่หวัง

เราทำดีที่สุด

จบ !!!

ท่านอาจารย์ คือ เราน่ะ ทำทุกอย่างแล้วค่ะ คุณสพรั่ง

พวกวิทยากร ก็พยายามทำทุกอย่าง

พลเอกสพรั่ง แต่ยังไม่ถึงคนที่ควรถึง

ท่านอาจารย์ จะให้ถึงใครล่ะ?

พลเอกสพรั่ง ผู้ที่ดูแลบ้านเมือง ทั้งปัจจุบัน และ อนาคต

ท่านอาจารย์ เอาละๆ

คำพูดนี้นะคะ "ถ้าเขาไม่ได้บำเพ็ญเหตุ ที่จะได้ฟัง"

พลเอกสพรั่ง หมดเลย...

ท่านอาจารย์ ต่อให้คุณสพรั่ง พยายามสักเท่าไหร่ ทุ่มเทสักเท่าไหร่

หนักแค่ไหน

ไปทำสิ่งที่เหมือน เข็นครกขึ้นเขา

พลเอกสพรั่ง นี่พูดเปรียบเทียบเฉยๆ นะครับ ถึงแม้ว่าผมอาจจะบรรลุช้า

ในระยะยาว แต่น้อยคนที่เขาถูกกีดกัน ถูกปิดบัง เขาสะสมมาดีกว่าผมอีก...

ท่านอาจารย์ คำตอบมีไหม? คำตอบมีไหม? คำตอบมีไหม?

" เป็นคุณสพรั่ง ไม่ใช่เป็นธรรมะ "

พลเอกสพรั่ง ประโยคนี้เลยนะครับ?

ท่านอาจารย์ ใช่ !!!

ถ้าเป็นธรรมะ จะไม่คิดอย่างนี้เลย

พลเอกสพรั่ง ไม่คิดเลยนะครับ?

ท่านอาจารย์ อ้าว !!! ก็มันเป็นธรรมะน่ะ ใครจะไปทำอะไรได้?

เขาสะสมมา

อย่างพวกเดียรถีย์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าประทับที่เชตวัน เขาไม่มา

ใครไปดึงเขามาสิ

พลเอกสพรั่ง ก็เหลือกลุ่มแค่นี้เองน่ะสิครับ?

ท่านอาจารย์ ก็แน่นอน !!!

ก็กำลังจะอันตรธานไง !!

เข้าใจคำว่า อันตรธานว่า อันตรธาน คือ ไม่เหลือ

เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ได้ฟัง คือ อันตรธานแล้ว

ยังไม่อันตรธาน สำหรับคนที่ยังฟังอยู่เท่านั้น ไม่ใช่อีกห้าพันปี !!!

กาละไหนก็เหมือนกัน คนที่ไม่ฟัง คือ พระธรรมอันตรธานแล้วจากเขา

ครบห้าพันปีเมื่อไหร่ ไม่เหลือสักนิด สักคน !!!

นี่ก็ยังเหลือ นิดๆ หน่อยๆ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณอัญมณี มัลลิกะมาส และ คณะฯ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
tanrat
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กราบท่านอาจารย์และผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน จะช่วยให้

คนที่ไม่เคยสะสมมาฟัง น้อมจิตไปคล้อยตามในพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง

ค่อนข้างจะยาก เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ยากมาก เพราะเป็นสัจจะ สาระ และ

ประโยชน์ต่อผู้ฟัง หากมิน้อมระลึกว่า นี่คือพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระ

บริสุทธิคุณ แล้วไซ้ก็จะเป็นเรื่องตัวตนที่อยากจะฟังค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paew_int
วันที่ 1 พ.ค. 2558
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
napachant
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
athisamai
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ใครจะรู้ได้ว่าใครรู้หรือไม่รู้ ความเข้าใจธรรมะเป็นเรื่องเฉพาะตน มาคนเดียวไปคนเดียว

แต่ละวันที่พบเห็นของปลอม ปลอมปน สอดใส้ในศาสนานี้มากขึ้น แก้ได้บอกได้ เฉพาะ

กับคนใกล้ตัว ที่เหลือก็ช่าง..เถอะ บอกตนอยู่บ่อยๆ ว่า ทางใครทางมัน ขอบพระคุณ

ท่านอาจารย์สุจินต์ ยินดีที่มีท่านเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของธรรมวินัยนี้ ยินดีในบุญกับ

คณะผู้เผยแผ่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 1 พ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคณะทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมเดินทางและสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ตลอดการเดินทางที่สวยงามนี้ด้วยนะครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ ที่กรุณาถอดเทปสนทนาธรรมที่เป็นประโยชน์และนำรูปภาพสวยงามมาให้ได้ดูกันนะครับ

ถูกใจข้อความที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ตอนนี้นะครับว่า

"ไม่มีคำว่าโชคดีที่ได้มาฟังธรรม มีแต่สะสมมาเท่านั้น"

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น จะคิด อะไรทั้งหมดนี้ ให้รู้ว่า "เป็นธรรมะ"อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 1 พ.ค. 2558
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
panasda
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เข้าใจ
วันที่ 1 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณมากครับ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 1 พ.ค. 2558

แล้วแต่เหตุปัจจัย คำนี้แน่นอน แล้วแต่เหตุปัจจัยของเขา แต่เรา ทำดีที่สุดแล้ว "จบ"

ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น ไม่หวังว่า ฟังแล้ว เขาคงจะดีนะ ไม่หวัง !!! แม้แต่ว่า ฟังแล้ว

เขาคงจะเข้าใจ ก็ไม่หวัง เราทำดีที่สุด จบ !!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณอัญมณี มัลลิกะมาส และ คณะฯ

และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม และกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
peem
วันที่ 2 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ms.pimpaka
วันที่ 2 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nvrath
วันที่ 3 พ.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านนะคะ

"สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมะ" เพราะความไม่รู้ที่สะสมมานาน ต้องอาศัยการฟัง การเข้าใจ

และผลของการสะสมความเข้าใจ ทำให้รู้ถึงความถูกต้อง ของธรรมะ

และคงมิใช่เรื่องบังเอิญที่ได้มีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ ผ่านการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์

และคณะผู้ร่วมเดินทางในคราวนี้

เนื่องมาแต่การสะสม มีมาไม่เท่ากัน จะให้บังเกิดความเข้าใจเหมือนกันในคราวเดียว

ย่อมเป็นเรื่องยาก

สะสมมาอย่างไร ย่อมเป็นไปเช่นนั้น

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ปวีร์
วันที่ 4 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
j.jim
วันที่ 4 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ปัณฑฬะ
วันที่ 5 พ.ค. 2558
ขออนุโมทนาด้วยครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
pamali
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ