ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๒

 
khampan.a
วันที่  26 เม.ย. 2558
หมายเลข  26489
อ่าน  2,715

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๒

ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ในสังสารวัฏฏ์อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็จะทำให้อกุศลวิบากจิตเกิด เห็นสิ่งที่ไม่ดีทางตา ได้ยินเสียงที่ไม่ดีทางหู ได้กลิ่นที่ไม่ดีทางจมูก ลิ้มรสที่ไม่ดีทางลิ้น กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่สบายทางกาย ตลอดไปจนถึงกาลที่จะปรินิพพาน โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้

ผู้ที่ศึกษาธรรมและพิจารณาโดยละเอียด ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการที่จะไม่ละโอกาสแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่จะกระทำกุศล

เป็นเรื่องที่จะต้องฟัง แล้วก็อบรมเจริญปัญญา แล้วก็เห็นโทษของอกุศลจริงๆ แต่แม้ว่าจะเป็นใครก็ตาม ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานหรือก่อนนั้น ในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระองค์ก่อนๆ จนกระทั่งถึงในสมัยนี้ ทุกท่านก็ย่อมเห็นกำลังของอกุศล ว่ามีมากจริงๆ ในวันหนึ่งๆ

ความสงบไม่ได้อยู่ที่นั่ง แต่ความสงบ คือ กุศลจิตเกิดขณะใด ขณะนั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม สงบจากโลภะ จากโทสะ จากโมหะ ขณะใดที่แม้ไม่นั่ง แต่เวลาที่เห็นใครแล้วมีจิตใจเมตตา มีความกรุณา พร้อมที่จะช่วยเหลือบุคคลนั้น แม้ในกิจที่เล็กน้อยที่สุด ขณะนั้นก็เป็นจิตที่สงบจากอกุศล

ความสงบ คือ กุศลจิต ย่อมเกิดได้มีได้ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะนิ่ง จะคิด แล้วต้องเป็นผู้ที่สังเกตกาย วาจาของตนด้วย เพราะเหตุว่าขณะใดที่มีการอ่อนน้อม หรือว่าช่วยเหลือบุคคลอื่น ขณะนั้นจะรู้ว่า เป็นกุศลจิตที่สงบ ขณะที่วาจาไม่ได้กล่าวคำถากถาง ดูหมิ่น เยาะเย้ย หรือกระทบกระเทียบเพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

ปัญญาต้องเจริญที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เองทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนก็กล่าวว่า คิดถึงอวิชชาของตัวเองเมื่อหลายร้อยชาติมาแล้ว จะมากมายสักแค่ไหน แต่ว่าความจริงแล้วแสนโกฏิกัปป์นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น การที่จะดับอวิชชา ก็ควรที่จะได้ทราบว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องเร็ว แต่เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ รู้ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏที่เคยมีความไม่รู้ เต็มไปด้วยอวิชชามาก่อน

ถ้าผูกโกรธใคร ลองคิดซิว่า จะเป็นพาลหรือจะเป็นบัณฑิต ถ้าเป็นพาลก็ผูกโกรธต่อไป ใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบัณฑิต เห็นว่าไม่มีประโยชน์เลย เป็นอันตราย เป็นโทษ

เวลาน้ำท่วม กลัวมาก เวลาที่น้ำป่าพัดมาอย่างแรง ทุกคนก็เกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอด แต่ว่ากิเลสพัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไหลไปสู่สมุทร คือ อบายได้

ผู้ที่มักโกรธและก็ผูกโกรธ พิจารณาหรือเปล่าว่า เพราะอะไรในขณะนั้นจึงโกรธ โกรธใคร โกรธความไม่ดีของคนอื่น ปักใจในความไม่ดีของคนอื่น แต่ลืมพิจารณาว่า ความไม่ดีของคนอื่นก็เกิดขึ้นและดับไปเพียงขณะหนึ่งๆ แต่ความผูกโกรธของท่านเองซึ่งปักใจในบุคคลนั้นเกิดนานเท่าไร มากกว่าอกุศล คือ ความไม่ดีของคนอื่น ที่ทำให้ท่านยังคงปักใจโกรธอยู่หรือเปล่า หรือว่ายังไม่ลืมที่จะคิดถึงความไม่ดีนั้น แล้วก็ยังโกรธ ซึ่งขณะนั้นหิริโอตตัปปะไม่เกิดเลย เพราะเหตุว่าฉลาดที่จะรู้ความไม่ดีของคนอื่น แต่ไม่ฉลาดที่จะรู้อกุศลของตนเอง ซึ่งกำลังโกรธในขณะนั้น

เวลาคิดถึงคนอื่น คิดดีหรือไม่ดี คิดด้วยเมตตา หรือว่าไม่ใช่ด้วยเมตตา? ถ้าขณะใดที่ไม่ได้คิดด้วยเมตตา รู้ไหมว่าเป็นโทษ

ถ้าได้พิจารณาตัวเองอย่างละเอียด แล้วก็เห็นอกุศลธรรม เห็นกิเลสของตนเอง ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท และจะไม่คิดว่า ตัวเองดีพอแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าคิดว่าดีพอแล้ว กุศลธรรมก็ทำมากแล้ว ก็จะไม่ทำให้เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างกุศลและอกุศล โดยสภาพของความเป็นปุถุชน กุศลมากเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองโดยละเอียดยิ่งขึ้น ว่ามีอกุศลประเภทใดมาก

ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นอวิชชาของตนเอง คือ เห็นความไม่รู้ของตนเอง ที่ทำให้ยังมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทุกๆ วัน ก็เหมือนกับการกินเหยื่อทุกวัน แล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ไม่สิ้นสุด

ทุกคนมีกิเลส แต่ก็ยังไม่เห็นว่า เป็นของหนัก จนกว่ากิเลสนั้นจะกลุ้มรุมวันหนึ่งวันใด ทำให้มีความกลุ้มใจเป็นกำลัง ไม่ว่าจะเป็นไปในเรื่องของโลภะ ในเรื่องของโทสะ ในเรื่องของอิสสา ในเรื่องของมัจฉริยะ ความตระหนี่ต่างๆ ก็แล้วแต่ ในขณะนั้นจึงจะรู้ว่า กระวนกระวาย แล้วก็เป็นขณะที่กิเลสอกุศลเหล่านั้นเป็นของหนัก และก็ทำลายจิตใจด้วยในขณะนั้น ทำให้จิตใจทรุดโทรม ไม่เบิกบานร่าเริง ทำให้เศร้าหมอง แล้วก็เป็นทุกข์อยู่นาน ตลอดเวลาที่อกุศลเหล่านั้นครอบงำ

ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการที่จะอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน แล้วก็คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล

ยิ่งเห็นอกุศลของตนเองมากเท่าไร ละเอียดขึ้นเท่าไร บ่อยเท่าไร ย่อมเป็นทางที่จะให้รู้จักตัวเองมากเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกุศลของตนเอง อาจจะเป็นทางที่ทำให้เกิดอกุศลได้ คือ ความสำคัญตน

ถ้าหิริโอตตัปปะไม่เกิด ลองพิจารณาในชีวิตประจำวัน ไม่ช่วยแม้แต่จะยกอาหารที่อยู่ไกลมือผู้อื่นให้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร ขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน แล้วก็ไม่ได้สนใจในบุคคลอื่นเลย ขณะนั้นก็ย่อมมีความเพลิดเพลินในรสอาหารบ้าง หรือว่าในเรื่องอื่นๆ บ้าง แต่พอหิริโอตตัปปะเกิด สังเกตพิจารณาเอื้อเฟื้อสงเคราะห์ช่วยเหลือ แม้แต่ในการที่จะหยิบยกอาหารที่อยู่ไกลมือให้ ในขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ



ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paew_int
วันที่ 26 เม.ย. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 26 เม.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และท่านวิทยากรพร้อมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
l.somdang
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอกราบอาารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่ได้บรรยายและแปลความหมายในพระธรรมให้กระจ่างครงครับ...และขอบคุณ คุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 26 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 เม.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบคุณ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่ค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
namarupa
วันที่ 27 เม.ย. 2558

อนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
panasda
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 27 เม.ย. 2558

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะและเมตตาของอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย

เป็นปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ที่ไพเราะมาก นำมาซึ่งเบิกบานใจด้วยความเข้าใจอย่างยิ่ง ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบคุณ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 27 เม.ย. 2558

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
siraya
วันที่ 27 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
นิตยา
วันที่ 28 เม.ย. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ch.
วันที่ 28 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ