ธรรม ช่างน่าอัศจรรย์

 
เมตตา
วันที่  27 ต.ค. 2557
หมายเลข  25691
อ่าน  1,031

ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้น และดับไป ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอภิธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ธรรมเกิดไม่ได้เลย ธรรมช่างน่าอัศจรรย์สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด ก็ไม่รู้จัก มีทุกอย่าง เห็นดอกไม้ ก็ชอบ โลภะเกิด ติดข้องแล้ว ก็ไม่รู้จัก ความไม่รู้มีมาก เพราะฉะนั้น มาฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทำอย่างนี้ถูกไหม? ทำอย่างนี้ดีกว่าไหม พระธรรมเพื่อละตลอด ไม่ใช่เพื่อ ติดข้อง หรือ หวัง เห็น มี เกิดแล้วก็ดับไป เกิดเพราะเหตุปัจจัย ค่อยๆ เข้าใจ เห็น สิ่งที่ปรากฏกับเห็น ไม่ใช่หวังจะไปรู้เห็น เห็น จะปรากฏต่อความติดข้อง หรือความหวัง ไม่ได้ แต่จะปรากฏกับความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุที่ต้องฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ คิดเองไม่ได้เลย เพราะชีวิตทั้งวันเต็มไปด้วยความไม่รู้ ธรรมทั้งหมดต้องน้อมไปสู่ความ ไม่ใช่เราไม่ใช่อยากไปรู้ผัสสะ อยากเท่าไร ผัสสะก็ไม่ปรากฏกับความไม่รู้ และความอยาก แต่ต้องรู้ว่าธรรมเป็นอนัตตา ขณะนี้อะไรที่ปรากฏ ก็เพราะมีผัสสะกระทบ จิตจึงเกิดขึ้นรู้อารมณ์ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่รู้ แต่อยากไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

ธรรมช่างน่าอัศจรรย์ ขณะนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แม้กำลังฟังเรื่องเดียวกัน ทุกคนต่างคิด ต่างๆ กันตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมกันมา ถ้าไม่ฟังสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ไม่สามารถเอาเราออกได้เลย เห็นขณะนี้ก็ยังเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด แม้ฟังพระธรรมแล้วต้องค่อยๆ ฟังความจริงที่กำลังปรากฏแต่ละอย่าง คำจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกเห็นถูก จนกว่า เห็น เป็นเพียงธรรม ได้ยิน คิด... เป็นเพียงธรรม เกิดขึ้นแล้วดับไป จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

นี่คือความอัศจรรย์ การเข้าใจธรรม สามารถทำให้คิดโดยแยบคาย ที่จะละเว้นจากการกระทำอกุศล อบรมเจริญกุศลแทน พระธรรมที่ทรงแสดงมีความอัศจรรย์ แสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นเพียงนามและรูป แต่ละขณะที่เกิดขึ้นเป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่เรา เมื่ออบรมความเห็นถูกเข้าใจถูก จึงสามารถดับความเห็นผิด ที่ยึดสภาพธรรมว่า เป็นเรา ได้ และสามารถดับกิเลสทั้งหมดได้เป็นสมุจเฉท นี่คือความน่าอัศจรรย์ของธรรม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 27 ต.ค. 2557

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
siraya
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tanrat
วันที่ 28 ต.ค. 2557

จึงเข้าใจว่า การอบรมเจริญปัญญา เป็นจิรกาลภาวนา ค่อยๆ ไปตามการที่สะสมมา และเข้าใจขั้นการฟังด้วยว่า พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านได้เดินทางนี้ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จนกระทั่ง เหตุสมควรแก่ผล ผลจึงเกิด พระพุทธองค์มิได้สอนความฟลุค หรือเกิดโดยบังเอญ หากเข้าใจว่าอภินิหารใดๆ จะเกิด นั่นมิใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาค

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pulit
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ประสาน
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 29 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สิริพรรณ
วันที่ 3 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ