ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๘

 
khampan.a
วันที่  31 ส.ค. 2557
หมายเลข  25435
อ่าน  2,546

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๘

--- กุศล เหมือนเพื่อนที่จะอำนวยความสุขสะดวกสบาย ความสุข เกื้อกูล อุปการะให้คุณทุกประการ

--- ศัตรูของทุกท่านไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น นั่น เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

--- สำหรับโลภมูลจิต ทุกท่านก็คงทราบ เป็นศัตรูที่คอยเอาใจทุกอย่าง ให้เพลิด เพลินให้ยินดี และให้สะดวกสบาย ไม่ให้เดือดร้อนใจ เพราะฉะนั้น ก็ย่อมไม่พราก จากไปเลย เพราะว่าเป็นผู้ที่คอยเอาใจให้สบาย พะเน้าพะนอทุกสิ่งทุกประการ ซึ่ง ทุกท่านก็คงชอบศัตรูคนนี้ แต่เป็นศัตรูที่ใกล้ชิดและคอยเอาอกเอาใจด้วย คอยทำ ให้สบายใจ ให้เพลิดเพลินทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็นโทษ ไม่คิดที่จะอยาก จากศัตรูผู้นี้ไปเลย

--- เวลาที่ได้รับผลของกุศล ขณะนั้นก็เป็นความสะดวกสบาย ความสุข ไม่มี ความเดือดร้อนใจ พอที่จะรู้ว่ากุศล ย่อมจะมีลักษณะที่มีสุขวิบาก คือให้ผลเป็นสุข

--- ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นย่อมกำจัดอกุศล เช่น เวลาที่เกิดโกรธขึ้นมา เป็นอกุศล แต่พอเปลี่ยนจากโกรธเป็นความเมตตา เพราะระลึกได้ว่า ความโกรธ เป็นอกุศล เป็นโทษ เป็นศัตรูผู้ทำร้ายจิต เป็นศัตรูที่ใกล้ชิดที่สุด คือ ไม่ใช่ศัตรู ภายนอก แต่เป็นศัตรูภายใน และเมื่อรู้อย่างนี้ก็เกิดเมตตา แทนที่จะเกิดโทสะ ขณะนั้นก็กำจัดอกุศล เวลาที่กุศลเกิด เป็นไปในทาน ก็กำจัดอกุศล คือความ ตระหนี่ เวลาที่กุศลจิตเกิดเป็นศีล ขณะนั้นก็กำจัดอกุศล คือการเบียดเบียน ประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของกุศล มีรสะ คือมีกิจที่กำจัดอกุศล ​

--- สภาพของกุศลจิต หรือกุศลธรรมในขณะนั้นเองที่เกิดขึ้น เป็นสภาพ ธรรมที่ไม่มีโทษ เช่น เมตตาเมื่อเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะ เกื้อกูลอย่างจริงใจ ​

--- ถ้าเห็นใครที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ เพียบพร้อมทุกอย่าง ทุกคนก็มักจะ จะเอ่ยว่า เป็นผลของกุศล

--- เป็นความจริงที่ว่า อกุศลเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก แต่กุศลนี้เกิดยากและ เกิดน้อย แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้อกุศลซึ่งเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก ก็เป็นเพราะเหตุว่า มีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมาก เกิดง่าย เกิดเร็ว หรือกุศลที่จะเกิดก็เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยแล้ว กุศลก็เกิด ไม่ได้ ​

--- ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเริ่มจากการพิจารณาจริงๆ ว่า กุศลและอกุศล สิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรเจริญให้มากขึ้น แม้ว่าอาจจะยังไม่มีมาก หรือว่าอาจจะยัง ทำไม่ได้ทันที แต่เพียงน้อมพิจารณาที่จะมีเหตุผลถูกต้องตามความเป็นจริงว่า กุศลเป็นสิ่งที่ควรเจริญ เป็นสิ่งที่ควรจะอบรมประพฤติให้มากขึ้น นี่ก็เป็นปัจจัย หนึ่ง ซึ่งจะทำให้กุศลจิตเกิดได้ คือ เป็นผู้ที่นิยม และเห็นว่ากุศลเป็นสิ่งที่ควร เจริญ

--- พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องเหตุของทุกข์เนืองๆ บ่อยๆ เพื่อจะให้เข้าใจ ชัดว่า ทุกข์ทั้งหลายย่อมมาจากมูลรากสำคัญ คือ “ตัณหา” ซึ่งเป็นความยินดีพอ ใจในสิ่งที่ปรากฏ

--- ตัณหาซึ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะทำลายตัณหาออกได้ ในวันหนึ่งๆ ทุกท่านหมกมุ่นด้วยโลภะ โลภะกลืนเอาไปหมดในวันหนึ่งๆ กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น ท่านที่ชอบการละเล่นชนิดหนึ่งชนิดใด เวลาของท่านใน วันนั้นไม่ค่อยที่จะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไร เพราะชื่อว่าความหมกมุ่น ด้วยอำนาจที่กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น ในวันหนึ่งๆ เวลาส่วนมากที่ใช้ไป ก็ใช้ ไปด้วยโลภะ

--- ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่มีวันที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะต้อง มีการตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

--- อย่าลืมว่า ไม่เคยอยู่คนเดียว เพราะว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้วยใกล้ ชิดที่สุด ไม่ห่างเลย คือ โลภะ ไม่เคยจากไปไกลเลย อยู่ใกล้เคียงตลอดเวลา ในสังสารวัฏฏ์

--- ทุกท่านมีความหวังทุกวัน ขณะนั้นเป็นลักษณะของโลภะ ซึ่งไม่หมดหวัง ได้มาแล้วก็หวังอย่างอื่นต่อไป เพราะฉะนั้น ก็ไม่เข้าถึงความอิ่มเสียเลย

--- ความเห็นผิดน่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และก้าวล่วงได้ยาก ถ้าเกิดยึดถือในความเห็นผิดนั้นแล้ว ที่จะปล่อยจากความเห็นผิดนั้นยาก เพราะว่าความเห็นผิดเกิดขึ้นขณะใด ในขณะนั้นจะเห็นถูกไม่ได้ แต่ขณะ ใดที่ความเห็นถูกเกิดขึ้น ขณะนั้นจะรู้ว่า ความเห็นอย่างไรผิด และความ เห็นอย่างไรถูก แต่ขณะใดก็ตาม ซึ่งความเห็นผิดกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นความเห็นผิด

--- การให้เพื่อตั้งสำนักปฏิบัติที่ไม่ถูก ขณะนั้นไม่ใช่กุศล กุศลมีลักษณะที่สงบจากอกุศล ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะที่อยาก จะนั่งสมาธิ ขณะที่อยากจะทำสมาธิ ขณะนั้นสงบหรือไม่สงบ เป็นกุศลหรืออกุศล? ประโยชน์ของการที่จะพิจารณาสภาพธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และ ทรงแสดง เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูก เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมที่พระ ผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดง จะไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพ ธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

--- ใครยังมีความเห็นผิดอยู่ ใครยังประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ และใครยังมี ความยึดมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ นั่นก็เป็นอาการที่ปรากฏของ มิจฉาทิฏฐิ

--- ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ อกุศลทั้งหลาย ไม่สามารถดับอกุศลได้ ไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่กำลัง ปรากฏได้

--- ทุกคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสมีประโยชน์ ควรที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจในแต่ละ คำ

--- ขณะที่เข้าใจธรรม ก็ต้องมาจากการฟัง ถ้าไม่มีการฟัง จะเข้าใจ ธรรมได้อย่างไร

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๗

เพิ่มเติมขอแนะนำชาดก

ทุททุภายชาดก [ว่าด้วยพวกกระต่ายตื่นตูม]

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 31 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยครับ

@ ต้องอาศัยปริยัติ คือความเข้าใจในสัจจญาณจริงๆ ว่าสัจจธรรม หรือ อริยสัจจ ธรรม ก็คือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปตามความเป็นจริงใน ขณะนี้เอง เพราะฉะนั้นต้องทราบว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ มิฉะนั้น แล้วสติก็เจริญไม่ได้ อย่างทางตาที่กำลังเห็น ปกติหลงลืมสติ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่สติเกิด ระลึกรู้สภาพธรรมทางตาคืออย่างไร ขณะที่ได้ยินเสียงเป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน มักจะหลงลืมสติ เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินแล้ว สติเกิดระลึก เพื่อที่จะรู้ลักษณะของสภาพได้ยิน หรือเสียงที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง คืออย่างไร นี่จะรู้ได้จากขณะที่สติเกิดเท่านั้น แต่ถ้าสติปัฏฐานยังไม่เกิด ก็เป็น การศึกษาตามปริยัติว่า จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ แล้วก็ดับไป แล้วก็รู้อารมณ์ทีละขณะ เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในขณะนี้ เพียงชั่วขณะนิดเดียว ที่สติระลึกที่แข็ง หรือระลึกทางตาที่กำลังเห็น แล้วปัญญาเกิด นั่นคือ การอบรม เจริญสติปัฏฐาน ไม่ต้องไปคิดถึงสถานที่หรือเลือกอารมณ์ที่ยังไม่ปรากฏ

@ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ มีแสดงไว้โดยละเอียดในพระอภิธรรมปิฎก ถ้าหากว่าไม่มี พื้นฐานความเข้าใจในสภาพธรรมขณะนี้ ก็จะไม่มีทางที่จะเข้าใจข้อความต่างๆ ใน พระอภิธรรมปิฎกได้เลย เพราะยังเป็นเราเมื่อยังเป็นเราก็จะไม่สามารถเข้าถึงความ หมายของธรรมได้เลย ถ้าเราจำชื่อได้มากๆ เราก็มีโอกาสลืมได้ แต่ถ้าเราเข้าใจ ธรรม ความเข้าใจจะสะสมสืบต่อไปในภพชาติหน้าได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่ กำลังปรากฏ ขณะนี้ควรที่จะฟังให้เข้าใจเข้าใจในลักษณะที่มีจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียง ชื่อ

@ ความเข้าใจคือปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นชีวิตที่มีค่า คือมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ และได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ก็ความเข้าใจธรรมนั้นเป็นเครื่อง วัดความประพฤติทางกาย วาจา ใจ เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติ ตาม การประพฤติปฏิบัติตามมีหลายระดับ เริ่มตั้งแต่เมื่อมีความเข้าใจย่อมเห็น โทษของอกุศล เห็นว่ากุศลให้ผลเป็นความสุข ความประพฤติทางกาย วาจา ก็ค่อยๆ ดีขึ้น ถ้าความดีขั้นต้นในชีวิตประจำวันไม่มี แล้วจะถึงการดับกิเลสได้ อย่างไร เมื่อกุศลต่างๆ ค่อยๆ เจริญขึ้น การน้อมประพฤติปฏิบัติธรรมขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้น ก็ค่อยๆ เจริญขึ้น ตามความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลัง ปรากฏ จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่กำลังปรากฏเป็นธรรมะ ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน

@ เมื่อได้ฟังพระธรรมจึงได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริง สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็เป็นเพียงจิต เจตสิก และรูป ที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ ของใครเลย แต่ละขณะก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย ทุกอย่างเป็นธรรมะที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ขณะที่ล่วงไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย เมื่อวานนี้มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ดับไปหมดแล้ว เมื่อเช้านี้ก็มีเห็นมากมาย ดับหมด ไม่มีอะไรเหลือ มีประโยขน์อะไรที่จะไปเยื่อใย หรือหาสาระกับสิ่งที่หมดไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย

@ การศึกษาพระธรรมก็เพื่อให้เกิดปัญญาจริงๆ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเริ่มจาก การฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็คือ ธรรมะ ทุกสิ่งทุก อย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมะ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ เมื่อมี ความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าทุกอย่างที่กำลังปรากฏเป็นธรรมะ เห็นเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ได้ยินเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพียงคิดว่าเห็นเป็นธรรมะ ได้ยินเป็นธรรมะ แต่ต้อง เข้าใจจริงๆ ถึงตัวจริงของเห็น ของได้ยิน ว่ามีจริงอย่างไร เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น เห็นปรากฏเกิดขึ้นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น จะไปเห็น เสียงไม่ได้ ได้ยินก็เช่นเดียวกันจะไปได้ยินสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ เมื่อมีความ เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏแต่ละทาง ทางตา ทางหู และคิดนึก สิ่งที่เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เห็นเกิดแล้วดับแล้ว เสียงเกิดแล้วดับแล้ว แข็งเกิดแล้วดับแล้ว แต่ละขณะในสังสารวัฏฏ์เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แสดงความเป็นอนัตตาของธรรมะ ไม่มีใครทำให้เกิดเพราะเกิดแล้วดับแล้ว เมื่อมี ความเข้าใจมากขึ้นแล้วจะคลายความเป็นตัวตนได้

@ วันนี้ความดีมีมากไหม ขณะที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจขณะนั้นเป็นความดี ไม่ใช่ ว่าทุกคนที่กำลังฟังพระธรรมแล้วเป็นความดีทุกคนเพราะคนที่ฟังแล้วไม่เข้าใจขณะ นั้นไม่ไช่ความดี หรือขณะฟังพระธรรมแต่จิตฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นขณะนั้นก็ไม่ใช่ความดี เมื่อฟังเข้าใจเป็นความดี ความดีใช่เราหรือเปล่า พร้อมที่จะเข้าใจอย่างนี้ไหม ความดีนั้นดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าความดีเป็นธรรมะไม่ใช่เรา อบรมเจริญปัญญา จนกว่าสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ขณะนั้นความดี เป็นความดี ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะจึงจะเป็นศีลวิสุทธิ เพราะไม่ยึดถือความดีว่าเป็นเรา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 31 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kullawat
วันที่ 31 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 31 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pulit
วันที่ 1 ก.ย. 2557

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณ อ.คำปั่น อ.เผดิม และอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
namarupa
วันที่ 1 ก.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
namarupa
วันที่ 1 ก.ย. 2557

ประทับใจในข้อความที่ว่า ... .. "ทุกท่านมีความหวังทุกวัน ขณะนั้นเป็นลักษณะของโลภะ ซึ่งไม่หมดหวัง ได้มาแล้วก็หวังอย่างอื่นต่อไป เพราะฉะนั้น ก็ไม่เข้าถึงความอิ่มเสียเลย"

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
namarupa
วันที่ 1 ก.ย. 2557
อนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 1 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านค่ะ ...

ไม่ควรตื่นตูมจนพากันไปลงเหว

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Noparat
วันที่ 1 ก.ย. 2557

​ ศัตรูของทุกท่านไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น นั่น เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 1 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 2 ก.ย. 2557

@ เมื่อได้ฟังพระธรรมจึงได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริง สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็เป็นเพียงจิต เจตสิก และรูป ที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ ของใครเลย แต่ละขณะก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย ทุกอย่างเป็นธรรมะที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ขณะที่ล่วงไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย เมื่อ วานนี้มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ดับไปหมดแล้ว เมื่อเช้านี้ก็มีเห็นมากมาย ดับหมด ไม่มีอะไรเหลือ มีประโยขน์อะไรที่จะไปเยื่อใย หรือหาสาระกับสิ่งที่หมดไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pat_jesty
วันที่ 2 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 2 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 2 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 3 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณอย่างยิ่งและขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
สิริพรรณ
วันที่ 24 พ.ย. 2557

กราบนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ

พระธรรมเท่านั้น ที่สามารถ ขัดเกลากิเลส ด้วยการเข้าใจ และประจักษ์ความจริง จนละคลายความติดข้องและความไม่รู้ ทีละเล็กทีละน้อย ก็เบิกบานยิ่ง จึงควรศึกษาพระธรรมให้ถึงที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ