ขณะที่ไม่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสก็เป็นคิด

 
asp
วันที่  20 ก.ย. 2556
หมายเลข  23649
อ่าน  1,006

อาจารย์ บรรยายว่า ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สัมผัส ขณะนั้น

เป็นคิด แล้วขณะที่รู้โกรธ ฯลฯ ก็เป็นคิดหรือครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โดยมาก ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้กระทบสัมผัส ก็สามารถ คิดนึกทางใจได้ และ คิดนึกโดยส่วนมาก และจากคำถาม ขณะที่รู้โกรธนั้น ขณะนั้น ที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ... ไม่ได้รู้กระทบสัมผัส แต่เป็นทางมโนทวาร ที่เป็นการคิดนึกก็ได้ ที่รู้ว่าโกรธอยู่ ก็เป็นการคิดนึกทางใจเช่นกัน และขณะที่รู้โกรธ คือ รู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง รู้โกรธว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็นการรู้ด้วยปัญญาในขั้น สติปัฏฐาน ก็เป็น การรู้ทางใจอีกเช่นกัน แต่ไม่ใช่การคิดนึกแต่เป็นทางใจ ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ตัวโกรธในขณะนั้น อย่างไรก็ดีขอเสริมประเด็นการรู้ ว่าโกรธ เป็นอย่างไร ที่อธิบายโดย ท่านอาจารย์ สุจินต์ มีประโยชน์มากครับ เชิญอ่าน


ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้ถาม รู้สึกเป็นปัจจัยให้เรามาหายาดับทุกข์

ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ขอเรียนถามท่านผู้ฟังทุกท่าน ว่าท่านโกรธ หรือเปล่า หาเพื่อนค่ะ

ท่านผู้ฟังโกรธบ้างหรือเปล่าคะ

โกรธทุกคนไม่มีความต่างกันเลย สภาพธรรมที่โกรธมีจริง แล้วทุกคนที่ไม่ใช่ พระอนาคามี มีสภาพธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วแต่จะมากหรือจะน้อยเป็นของธรรมดา ไม่ใช่ ท่านผู้ฟังท่านนี้ท่านเดียวที่รู้จักโกรธ หรือว่ามีความโกรธ ทุกคนโกรธ เพราะว่า สภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ท่านผู้ฟังท่านนี้ท่านเดียวที่รู้จักโกรธ หรือว่ามีความโกรธ นะคะ ทุกคนโกรธ เพราะสภาพธรรมที่โกรธมีจริง เหมือนกันแล้ว ทุกๆ คน เป็น ของธรรมดา ธรรมคือ ธรรมดา

ผู้ถาม งั้นปล่อยไว้อย่างนั้น

ท่านอาจารย์ ปล่อยหรือไม่ปล่อย เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องเป็นไปตามเหตุตาม ปัจจัย ไม่ใช่ว่า เราเป็นตัวตน อย่าได้คิดว่ามีอำนาจ หรือมีตัวตน หรือจะบังคับ สภาพธรรมทุกสี่งทุกอย่างได้ แต่ให้ทราบว่าสภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดๆ เพราะเหตุ ปัจจัย ถ้าสติเกิดระลึกทัน ก็จะเห็นโทษของความโกรธ และก็รู้ว่าถ้ายังโกรธต่อ ต่อ ไปข้างหน้า ความโกรธก็จะมีปัจจัยที่จะโกรธอีกมาก การที่ชาตินี้เป็นบุคคลที่โกรธตั้ง สิบปีใช่ไหม

ผู้ถาม สิบกว่าปีท่านอาจารย์ สิบกว่าปีแล้วยังไม่ลืม ก็เพราะว่าสะสมมาที่จะผูกโกรธ และนึก โกรธบ่อยๆ ต้องเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว แล้วถ้ายังไม่เห็นโทษ ชาติต่อไปก็ยังต้อง เป็นอย่างนี้อีก

ผู้ถาม ไม่ใช่โกรธครั้งนั้นครั้งเดียว แต่มันโดนบ่อยๆ

ท่านอาจารย์ มีใครบ้างไหมคะที่เคยโกรธเพียงครั้งเดียว ไม่มี ทุกคนโกรธบ่อยๆ ทั้งนั้น ก็เหมือนกันอีกค่ะ ทุกคนเหมือนกันหมด

ผู้ถาม อันนั้นก็แล้ว สมมุติว่าโดนใหม่ ถ้าโดนใหม่เราจะทำอยางไรไม่ให้โกรธ

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทำอย่างไรไม่ให้โกรธ ถ้าโกรธเกิดขึ้นก็รู้ว่าขณะนั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรม

ผู้ถาม ไม่ต้องแก้ ปล่อยไปอย่างนั้นหรือ

ท่านอาจารย์ จะเป็นตัวตนที่แก้หรือคะ เลิกคิดได้ ไม่ใช่ปล่อยหรือไม่ปล่อย แต่ว่ารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดจิต เห็น จิตได้ยิน หรือจิตเป็นกุศลหรืออกุศลได้ แต่สภาพธรรมทุกอย่างมีปัจจัยจึงเกิด ขึ้น ซึ่งปัญญาสามารถจะอบรม รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน นี่คือจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม เพื่อให้รู้ ความจริงของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่ว่าจะไปบังคับ แต่ว่ารู้ได้ว่าสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

คนถาม แล้วเราไม่ต้องแก้ไข ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น

ท่านอาจารย์ ขณะนี้ฟังแล้วเข้าใจ คือกำลังแก้ แต่ว่าจะช้าหรือเร็วแล้วแต่กำลังของปัญญา

ผู้ถาม แปลว่าถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก เราก็ปล่อยไป

ท่านอาจารย์ ไม่มีเราปล่อย นี่รู้สึกจะถามเป็นครั้งที่ห้า ที่หก เรื่องที่ว่าจะปล่อย ดิฉันก็ได้เรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าอย่ามีความเป็นตัวตนที่คิดว่าจะปล่อย แม้ว่าจะเห็น หรือ จะได้ยิน จะคิดนึกอย่างไร เป็น โลภะ โทสะ กุศล อกุศล อย่างไร ก็เป็น สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสี้น แต่ปัญญาควรที่จะต้องอบรม จนสามารถ ที่จะประจักษ์ว่า สภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และขณะนี้ กำลังฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจ นี่คือการที่จะแก้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ตามกำลังของ ปัญญาที่เกิดขึ้น

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 20 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 20 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการ รู้แจ้งอารมณ์ ทุกขณะในชีวิตไม่เคยขาดจิต มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นอย่าง นี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใคร บังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้เลย ตัวอย่างขณะจิต เช่น ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัน กุศล อกุศล หรือแม้แต่ในขณะที่หลับสนิทก็มีจิตเกิดขึ้น จิตมีมากมาย แต่เมื่อประมวลแล้วมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ จิตที่เป็นวิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร คือ ทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจในการรับรู้อารมณ์ และ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัย ทวารใดๆ เลย ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิตและจุติจิตเท่านั้น

ดังนั้น ตามความเป็นจริงของจิต เมื่อวิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในแต่ละทวาร เกิดแล้วดับไป ภวังคจิตเกิดคั่น แล้ววิถีจิตทางใจก็เกิด สืบต่อ แต่แม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้กลิ่น เป็นต้น ซึ่งก็คือ แม้ไม่มีจิตที่เกิดขึ้นทาง ๕ ทวาร ก่อน วิถีจิตทางใจก็เกิดขึ้นได้ ก็ตรงตามข้อความที่ท่านผู้ถามได้กล่าวไว้ ในประเด็นคำถาม คือ นอกเหนือจากเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็เป็นคิดนึก แต่ความละเอียด ก็มีมาก เพราะจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารนั้น ไม่ได้- มีขณะเดียว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันหลายขณะ แต่ที่กล่าวอย่างนี้ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่า แม้ไม่ได้รับรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร วิถีจิตทางใจก็เกิดขึ้นคิดนึกได้ เช่น คิดนึกถึง เรื่องบ้าน เรื่องญาติ เรื่องทรัพย์สินเงินทอง คิดถึงเรื่องของธรรมที่เคยได้ยิน ได้ฟัง เป็นต้น

ประเด็นเรื่อง รู้ว่าโกรธ ก็ต้องพิจารณาถึงความละเอียด ว่าเป็นการรู้ในลักษณะใด ถ้าเป็นการคิดถึงความโกรธที่ดับไปแล้ว ก็เป็นการคิดนึกถึงเรื่องของสภาพธรรมแต่ถ้าระลึกตรงลักษณะของความโกรธ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้นไม่ใช่การคิด นึกถึงเรื่องของความโกรธ แต่เป็นการระลึกรู้ตามความเป็นจริง ที่เป็นสติปัฏฐาน เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งจะต้องมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจเรื่องของ สภาพธรรม แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่เป็นสติปัฏฐาน การเห็นโทษเห็นภัยของความโกรธ ว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์ เดือดร้อนใจ ขณะนั้นก็เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ควรเกิด ขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความคิดอยู่นั่นเอง แต่เป็นความคิด ที่ดี ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 20 ก.ย. 2556

เด็กก็รู้ว่าโกรธ แต่เป็นการรู้ทางโลก ไม่ใช่ทางธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 20 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอบพระคุณอย่างยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 22 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ