2 จิตในร่างเดียว

 
นิรมิต
วันที่  3 มี.ค. 2556
หมายเลข  22574
อ่าน  23,643

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน อยากขออนุญาตกราบเรียนถามข้อสงสัยดังนี้ว่า มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่กรรมจะทำให้ ในมหาภูตรูปเดียวกัน จะมี หทัยวัตถุ ๒ รูป เพราะเหตุว่า กรรมยังสามารถทำให้หญิงกลายเป็นชาย ชายกลายเป็นหญิงได้ ดังเช่นที่มีแสดงไว้ว่าในครั้งพุทธกาล มีภิกษุที่กลายเป็นหญิง มีอิตถีภาวรูปปรากฏ ปุริสภาวรูปหายไป และภิกษุณีที่กลายเป็นชาย มีปุริสภาวรูปปรากฏ และอิตถีภาวรูปก็หายไป และก็ทำให้สัตว์เกิดมาตัวติดกันก็ได้ พิการก็ได้ ผิดแผกไปต่างๆ นานา จึงสงสัยว่า ถ้าอาศัยคำอธิบายอย่างนี้จะเป็นไปได้ไหม ว่ากรรมทำให้สัตว์เกิดมา จุติจิต ๒ ดวง มาปฏิสนธิในร่างเดียวกัน ทำให้มีหทัยวัตถุ ๒ รูป แต่มีปสาทรูปเท่าเดิม คือ อาศัยอยู่ในมหาภูตรูปเดียวกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า มี ๒ คนในร่างเดียวกัน โดยอาการว่า เมื่อบุคคลหนึ่งตื่น อีกคนก็หลับ เมื่ออีกคนหลับ อีกคนก็ตื่น คือเมื่อบุคคลหนึ่งตื่น ด้วยอาการว่ากระทบอารมณ์ทางปสาทรูปต่างๆ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก อีกคนในร่างเดียวกัน ก็หลับ คือเป็นภวังค์ พอคนนี้หลับไป อีกคนก็ตื่น โดยนัยยะเดียวกัน สลับกันไป สลับกันมา ด้วยกรรมเป็นปัจจัย โดยทั้งสองคน ย่อมไม่มีโอกาสจะเจอกันได้เลย เพราะอาศัยการสลับไปสลับมาอย่างนี้ คือ ไม่ใช่ความเข้าใจอย่างที่ทางโลกเข้าใจกันผิดๆ ว่า มีวิญญาณอยู่ในร่างเดียวกัน ๒ ดวงโดยความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล โดยมีจิตใต้สำนึกของอีกคนมาเชื่อมกัน มีการกระซิบบอกอีกคนในใจ คุยกันเองได้ในใจ ๒ คน อะไรทำนองนั้น ที่ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ แต่อธิบายโดยนัยยะนี้ ที่พอจะมีเค้าความเป็นไปได้บ้างหรือไม่ ประการใด หรืออะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้ มีโอกาสปรากฏได้ไหม


หรือแม้การสลับร่างของบุคคล มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ถ้าอธิบายโดยนัยยะนี้ ว่ากรรมเป็นปัจจัยให้ รูปร่างกายของบุคคลนี้ เปลี่ยนไปเหมือนบุคคลนั้น แล้วรูปร่างกายของบุคคลนั้น ก็เปลี่ยนมาเหมือนบุคคลนี้ กลายเป็น สลับร่างกันด้วยความเปลี่ยนไปของรูปร่างกาย เพราะกรรมเป็นปัจจัย หรือถ้าไม่ใช่นัยยะนี้ แต่เป็นการสลับที่หทัยวัตถุและปสาทรูปโดยตรง จะทำได้ไหม

กราบขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่เรื่องกรรม เรื่อง จิต เจตสิก และรูป ที่เกิดขึ้น ซึ่งควรเข้าใจว่า สภาพธรรมที่เป็นจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม เพราะฉะนั้นจิตของใครก็คนละการสะสม ไม่สะสมปะปนกันเลย เพราะฉะนั้น ในขณะที่จุติจิตเกิด ของใครก็คนนั้น ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด เป็นปฏิสนธิจิตที่เกิดด้วยการสะสมของจิตบุคคลนั้น ไม่สามารถที่ปฏิสนธิจิตของคนอื่น สัตว์อื่น มาได้เลย ด้วยเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงย้ำเสมอว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นกำเนิด สัตว์ทำกรรมด้วยกรรมใด ย่อมมาด้วยกรรมนั้น

เพราะฉะนั้น การเกิดปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรม พร้อมกับหทยรูปในขณะนั้น ที่เกิดจากรรมเช่นกัน ซึ่งจะต้องมาจากกรรมเดียวเท่านั้น เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน จะเกิดจิต ๒ จิต หรือ จะเรียกว่า ๒ บุคคลที่สะสมมาแตกต่างกันในร่างเดียวกันไม่ได้ แม้ในขณะที่ปฏิสนธิจิต ครับ ก็ต้องเกิดปฏิสนธิจิตขณะเดียวเท่านั้น สมกับที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ในชาตินี้ ปฏิสนธิจิตก็เกิดขณะเดียว และ จุติก็เกิดในขณะเดียวของชีวิต ไม่มีทางที่จุติจิต ๒ ดวง จะมาเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิต ๒ ดวงในร่างกายเดียวกัน โดยอาศัยหทยรูปที่เกิด ๒ ดวง เป็นไปไม่ได้ ครับ

ดังนั้น ตัวอย่างที่ผู้ถามยกมา เช่น อีกคนหนึ่งตื่น อีกคนหนึ่งหลับ ก็จะขัดแย้งกับอำนาจของปัจจัย๒๔ เช่น อนันตรปัจจัย และ ปกตูปนิสสยปัจจัย เป็นต้น ที่แสดงถึงการสะสมสืบต่อ หากมีบุคคล ๒ คน จิต ๒ จิตที่สะสมมาแตกต่างกัน เกิดในร่างเดียวกัน และ เกิดสลับกันระหว่างวิถี ก็จะทำให้ การสะสมของคนอื่น จิตอื่น มาปนกับจิตของอีกคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ก็เท่ากับว่า คนชั่วที่สุด กับ คนที่ดีมาก มาอยู่ร่างเดียวกัน คนชั่วไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องอบรมปัญญา ก็สามารถได้การสะสมมาใหม่ คือ การสืบต่อของจิตผู้ที่สะสมสิ่งที่ดีมาได้ เพราะอาศัยการเกิดสลับ เดี๋ยวตื่นแล้วหลับ สลับวิถีกันซึ่งเป็นไปไม่ได้ ตามเหตุผลที่กล่าวมา ครับ

ส่วนในกรณีของบุคคลที่เปลี่ยนจากชายเป็นหญิง หญิงเป็นชาย นั่นก็เป็นบุคคลเดียวกัน ที่สะสมมาด้วยจิตนั้น ที่ไม่ใช่จิตอื่น บุคลอื่นที่เปลี่ยนจากชายมาเป็นหญิง ขณะที่เป็นหญิง ก็เป็นจิตที่สะสมมาจากความเป็นชายนั้นแหละ แต่ไม่ใช่คนอื่นจิตอื่นมาเป็นหญิง ที่สะสมาเป็นอีกคนหนึ่ง ครับ

ส่วนในกรณีที่กล่าวในส่วนของการสลับร่าง สลับหทยวัตถุ ก็เช่นเดียวกัน ครับ หทยรูป เกิดจากกรรรม และ ก็เป็นกรรมของแต่ละคน จะมาสลับกันไม่ได้ในร่างเดียวกัน ส่วนการสลับร่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนนั้นถูกผีสิง ในความเป็นจริง ก็จิตของคนที่ถูกสิงนั่นแหละ เพียงแต่ว่า จิตนั้นอ่อน ทำให้ไหวไปตามกิเลสที่เกิดขึ้น ทำให้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส จึงทำอาการแปลกครับ ไม่มีใครมาสิงได้ ที่จิตคนอื่นเข้ามา ครับ พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง แต่ ประโยชน์ก็เพื่อความเข้าใจ ก็ขออนุโมทนาที่ถามเพื่อความเห็นถูก ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นิรมิต
วันที่ 4 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ขออนุญาตกราบเรียนถามเพิ่มเติมครับ

ในส่วนของการเกิดขึ้น ๒ จิตในร่างเดียวกัน ไม่ใช่โดยความสืบต่อแบบนั้นน่ะครับ คือ โดยความหมายว่า ๒ บุคคลนี้แยกขาดกันจริงๆ ไม่ได้สั่งสมของอีกคนมาปนกันเลย แยกขาดเป็นแต่ละบุคคล เพียงแค่อาศัยร่างหรือมหาภูตรูปเดียวกัน ไม่ได้เอาการสะสมของอีกคน มาปนกับอีกคน โดยคนไหนก็เป็นคนนั้น แต่อยู่ในร่างเดียวกัน คือ เพื่อความเข้าใจ ขออนุญาตใช้คำเรียกเป็น หทัยวัตุ๑ เป็นที่เกิดของจิตของบุคคลหนึ่ง ส่วนทหัยวัตถุ ๒ เป็นที่เกิดของจิตอีกคนหนึ่งแทนนะครับ ในร่างคือรูปร่างกายเดียวกันนั้น ตอนปฏิสนธิ ก็คล้ายๆ ฝาแฝดที่ปฏิสนธิมาอยู่ในครรถ์เดียวกัน แต่อันนี้ก็คือ 2 บุคคล ปฏิสนธิมาอาศัยในร่างเดียวกันแทน ไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย เพราะบุคคลหนึ่งก็จุติมาจากที่หนึ่ง แล้วปฏิสนธิที่หทัยวัตถุ๑ ส่วนอีกคน ก็มาจากอีกที่หนึ่ง ปฏิสนธิที่หทัยวัตถุ ๒ แต่อาศัยรูปร่างกายเดียวกัน

เมื่อถึงกาละที่คนที่ ๑ ตื่น มีการรับรู้การกระทบทางอายตนะ อีกคนก็จะเป็นภวังค์จิตก็ทำภวังค์กิจที่หทัยวัตถุของตัวเองๆ ไม่ปะปนกัน เป็นภวังค์ยาวๆ จนกว่าคนที่ ๑จะหลับคือจิตทำภวังค์กิจยาวๆ ที่หทัยวัตถุ ๑ อีกคนที่กำลังเป็นภวังค์ที่หทัยวัตถุ ๒ ก็ตื่นมากระทบรูปทางอายตนะต่างๆ แทน โดยที่ของใครก็ของคนนั้น ตอนที่คนที่๑กระทบรูป ก็กรรมของตนเองทำให้มากระทบอารมณ์นั้นๆ อารมณ์นี้ๆ ในขณะที่คนที่ ๒ ก็หลับ ไม่ได้รับกรรมด้วย แต่ก็รับกรรมของตัวเองที่เป็นภวังค์ เป็นวิบากที่ทำให้จิตเป็นภวังค์ ขณะที่คนที่๒ตื่น คนที่ ๑ ก็หลับ แล้วคนที่ ๒ ก็กระทบรูปต่างๆ ก็อาศัยกรรมตนเองนั่นแหละให้กระทบรูปนั้นๆ ไม่ใช่อาศัยกรรมของอีกคน เพราะแยกขาดกันจริงๆ การสั่งสมก็ไม่ได้ปะปนกัน ขณะที่คนที่๑ตื่น ก็สะสมของตนๆ พอคนที่๒ตื่น ก็สะสมของตนๆ ไม่ปะปนกันเลย ของใครก็ของคนนั้น สองบุคคลนี้ก็ไม่มีโอกาสเจอกันเลย โดยนัยยะอย่างนี้น่ะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของสภาพธรรมไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ต่างคนต่างเกิดจริงๆ แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป และถ้ากล่าวถึงจิตแล้ว จะไม่เกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะ ต้องเกิดทีละขณะ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที และสำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะต้องเกิดที่รูปอันเป็นวัตถุรูปตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ ไม่ได้เกิดที่อื่นเลย จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็เป็นอย่างนี้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 4 มี.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 3 ครับ

จากที่ได้กล่าวไว้ในประเด็นที่ผ่านมา เช่น ฝาแฝด ที่เกิดในครรภ์เดียวกัน ซึ่งขณะที่เกิด ก็เกิด ก็เพราะกรรมของแต่ละคน และ ก็ต้องมีหทยรูปของแต่ละคนโดยอาศัยมหาภูตรูป ที่เกิดประชุมรวมกันของตน ที่เกิดพร้อมกับหทยรูปในขณะนั้น ส่วนการเกิดในครรภ์ ของคนทั้งสอง ก็เพียงอาศัยสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ใช่การไปสิงอยู่ในร่างเดียวกัน เพราะในความเป็นจริง ฝาแผดทั้งสองคน ก็ต้องอาศัยรูปของตนเอง ที่เกิดจากกรรมของตนเอง เป็นที่เกิดของจิตอื่นๆ ไม่ได้อาศัยรูปคนอื่น มีมารดามาเป็นที่เกิด ครับ

ส่วนการจะสลับระหว่างวิถีจิตของแต่ละคน ว่าอีกคนหลับ อีกคนตื่น เป็นเรื่องอนัตตา บังคับไม่ได้ เพราะแล้วแต่ว่า วิบากใคร คือ ภวังคจิตของใคร จะเกิดโดยไม่มีกฎเกณฑ์เลยว่า ของบุคคลนี้จะเกิด และ อีกคนก็หลับ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นิรมิต
วันที่ 5 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณท่านวิทยากร และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Thanapolb
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กรณีฝาแฝดดังกล่าว ที่ร่างกายติดกันมากๆ แทบจะผ่าแยกจากไม่ได้ ถ้าหมอแยกผ่า โอกาสรอดชีวิตยากนั้น ทั้งสองก็มักจะมีวิบากคล้ายๆ กันบ่อย มีเวทนาทางกายคล้ายๆ กันบ่อย และหากบุคคลหนึ่งเสียชีวิต อีกบุคคลก็มักจะเสียชิวิตไล่เลี่ยในเวลาไม่ห่างกัน ก็คงจะมีกรรมที่เคยทำแล้วคล้ายกัน จึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้ได้รับผลของกรรมคล้ายๆ กัน ประมาณนั้นไหมครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prachern.s
วันที่ 8 มี.ค. 2556

เรียน คุณ Thanpolb ครับ

อาจจะมีการทำกรรมคล้ายกัน หรือไม่คล้ายก็ได้ เพราะการทำกรรมในอดีตมีมากต่างคนต่างทำ หรือคนละชาติ คนละกัป ก็ให้ผลพร้อมกันก็ได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khawoat
วันที่ 12 มี.ค. 2556

จะขอเรียนสอบถาม มีคนที่รู้จัก มีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ไม่ทราบว่าพอจะมีวิธีแก้กรรม ได้ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 9 ครับ

แก้ด้วยให้เขามีความเห็นถูกเข้าใจถูกต้อง ถ้าคิดถูกก็แก้ความเข้าใจผิดคิดผิดได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khawoat
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

แล้วควรจะทำอย่างไงดีคะ เพราะว่าคนที่หนูรู้จักกับเค้าจะมาตอนกลางคืน ส่วนอีกคนที่ไม่ได้สนิทด้วยจะมาช่วงเช้าค่ะ และถ้าเราสวดมนต์แล้วแผ่เมตตาไปให้เค้าจะได้ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 11 ครับ

จากที่กล่าวมา คงเป็นความเข้าใจผิดของตนเองแล้วครับ ที่คิดว่ามีสองคน ดังนั้นวิธีแก้ คือ แก้ที่ตนเอง ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูก ก็จะไม่คิดผิดว่า มีคนนั้นมาตอนนั้นตอนนี้ เพราะเป็นเพียงความคิดนึกของตนเองที่กำลังหลอกตนเองอยู่ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
khawoat
วันที่ 12 มี.ค. 2556

เหรอคะ แย่จังเลยค่ะ เพราะว่าอยู่ดีๆ ก่อนจะนอน เขาบ่นเครียดค่ะ แล้วพอเช้ากลับกลายเป็นอีกคนไปเลย ก็เลยสงสัยว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่าค่ะ เลยมาสอบถามดู และก็ขอขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ที่ช่วยให้คำตอบค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 23 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
PongArale
วันที่ 10 ก.ย. 2556

ขอสอบถามค่ะ

ดิฉันมีคนรู้จักที่ลักษณะคล้ายๆ เช่นนี้ แต่แตกต่างตรงที่ว่า แม่ของคนที่ดิฉันรู้จักเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งตั้งท้องไปอัลตราซาวน์ เห็นเป็นลูกแฝด แต่คลอดออกมากลับมีคนเดียว ช่วงเวลา 20 ปี ใช้ชีวิตอย่างปกติดี แต่เมื่ออายุ 21 ปี เริ่มเปลี่ยนไป จำเหตุการณ์หรือช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้หมด ก็มีบ้างที่พอรู้ จากที่ชอบอย่างหนึ่ง กลับชอบอีกอย่างหนึ่ง จากเป็นคนเงียบๆ กลายเป็นคนที่สนทนาเก่งขึ้นมา จากคนที่ไม่สนใจตัวเอง ก็กลับดูแลเป็นอย่างดี เมื่อแรกที่ดิฉันได้รู้จักก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไป เมื่อนานวันพอเริ่มสนิท อยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็แปลกๆ มองดิฉันเหมือนไม่รู้จัก

ดิฉันเรียกเขาอยู่นาน เขาก็สะดุ้งและถามดิฉันว่าเรียกเขาทำไม เมื่อดิฉันเล่าให้เขาฟัง เขาจึงเล่าเรื่องตอนเกิดให้ฟังค่ะ ทุกๆ ครั้งที่อีกคนมา สายตาที่มองดิฉันจะเปลี่ยนเป็นสายตาที่ดูดุ และเขาก็ส่งผ่านความรู้สึกที่ต่างกันมากค่ะ ในครั้งแรกดิฉันก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อเขาเป็นบ่อยขึ้นๆ ดิฉันก็ทดสอบ อย่างเอารูปดิฉันกับเขาให้ดู หรือ ทดสอบในสิ่งที่มีแค่ดิฉันกับเขาเท่านั้น ที่รู้กัน จนตอนนี้ดิฉันสนิทใจมากว่า นั่นอาจจะเป็นแฝดเขา ดิฉันอยากทราบว่า มันเป็นอย่างที่ดิฉันเข้าใจรึเปล่าคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
j.jim
วันที่ 11 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
นี่นะใหญ่สุดแล้ว
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขออนุญาตร่วมสนทนาครับ

ผมว่าน่าจะเป็นแบบ อมนุษย์เข้าสิง มากกว่านะครับ เรื่อง 2 จิตในร่างเดียวนี่นะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
wannee.s
วันที่ 2 ต.ค. 2556

ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ เรื่องยักษ์เข้าสิงสานุสามเณร ทำให้สานุสามเณรเกิดอาการที่ผิดปกติ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
lovepooh_2529
วันที่ 16 ก.พ. 2564

ถ้าร่างกายคนนึงยังไม่ตายแต่ดวงจิตแตกสลายไปแล้วเพราะเหตุปัจจัย มีโอกาสที่ดวงจิตอีกดวงที่เป็นดวงจิตคนอื่นสามารถเข้ามาใช้ร่างกายนี้ได้หรือไม่ค่ะ และดวงจิตเดิมได้แตกดับไปแล้วไม่สามารถกลับมาใช้ร่างนี้กายนี้ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
paderm
วันที่ 17 ก.พ. 2564

เรียน ความเห็นที่ 19 ครับ

ถ้ายังไม่ตาย คือ ยังมีจิตเกิดขึ้นครับ และไม่มีจิตคนอื่นมาเกิดได้เลย ไม่ว่าจะตายหรือไม่ตาย ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.พ. 2564

ความเข้าใจเรื่อง จิต

สภาพธรรมที่รู้สิ่งต่างๆ เช่น สภาพธรรมที่รู้สี สภาพธรรมที่รู้เสียง สภาพธรรมที่รู้กลิ่นสภาพธรรมที่ลิ้มรส สภาพธรรมที่รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหว สภาพธรรมที่รู้ความหมายของสิ่งต่างๆ และสภาพธรรมที่คิดนึกเรื่องต่างๆ เป็นต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เรียก สภาพธรรมที่รู้สิ่งต่างๆ นั้นว่า จิต

ดาวน์โหลดหนังสือ -->

ปรมัตถธรรมสังเขป

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...

สภาพธรรมที่รู้สิ่งต่างๆ เรียกว่า จิต

จิตปรมัตถ์

สิ่งที่จิตรู้นั้น ภาษาบาลีเรียกว่า อารมณ์

เมื่อมีจิตก็ต้องมีอารมณ์คู่กัน

จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์

เจตสิกเกิดพร้อมกับจิต

จิตมีกิจและเกิดจากปัจจัยต่างกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
lovepooh_2529
วันที่ 18 ก.พ. 2564

สาธุค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ