กรรมฐาน ๔๐

 
อรรถวาที
วันที่  23 ส.ค. 2555
หมายเลข  21603
อ่าน  3,274

การปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไรครับ

กรรมฐาน ๔๐ กอง ที่ว่า มีอะไรบ้างครับ

ในการศึกษาธรรมะ ควรมีอะไรสำคัญครับ

และ สำนักกรรมฐานในประเทศไทยมีกี่แห่งครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำถามที่ว่า

การปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไรครับ

การปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้อง คือ ควรเริ่มจากการฟัง การศึกษาให้เข้าใจ เป็นสำคัญ เพราะ ไม่ว่าจะเป็นการทำการงานทางโลก การจะทำอะไรสักอย่าง ก็จะต้องฟัง ศึกษา ให้เข้าใจสิ่งนั้น เป็นอย่างดีเสียก่อน จึงจะทำได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทำขนม ทำอาหาร ก็จะต้องรู้ว่ามีเครื่องปรุงอะไร วิธีการทำ อัตราส่วน ต่างๆ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่จะต้องศึกษาให้เข้าใจเป็นสำคัญ การปฏิบัติธรรม ก็ต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจธรรมเป็นสำคัญ เพราะ สิ่งที่ทำหน้าที่ปฏิบัติธรรม คือ รู้ตัวธรรม ไม่ใช่เรา แต่ธรรมฝ่ายดี คือสติและปัญญา เป็นต้น ที่ปฏิบัติธรรม คือ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งกว่าจะถึงการปฏิบัติธรรม รู้ตัวธรรมในขณะนี้ ก็ต้องเริ่มจาก การฟังพระธรรม ให้เข้าใจ ศึกษาพระธรรม เพราะ สิ่งเหล่านี้ เป็นเหตุให้เกิดปัญญา เกิดความเข้าใจ อันเป็นเหตุให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้อง ครับ

ซึ่งก็ต้องเริ่มจาก ความเข้าใจเบื้องต้นว่า ธรรมคืออะไร เพราะ เมื่อเข้าใจว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็จะรู้ว่า ไม่ต้องไปที่สำนักปฏิบัติ เพราะ ธรรมมีให้ปฏิบัติอยู่แล้ว และที่สำคัญที่สุด สภาพธรรมในขณะนี้เอง ที่เป็นกรรมฐาน คือ เป็นที่ตั้งให้สติ และปัญญา เกิด รู้ตามความเป็นจริง ครับ

จากคำถามที่ว่า กรรมฐาน ๔๐ กอง ที่ว่า มีอะไรบ้างครับ ก่อนอื่นก็เข้าใจคำแต่ละคำ ครับ

คำว่า กรรมฐาน หรือ กัมมัฏฐาน ก็มีคำสองคำรวมกัน คือ คำว่า "กัมม" ซึ่งหมายถึง การกระทำ รวมกับ "ฐาน" คือ ที่ตั้ง เมื่อแปลแล้วก็คือ ที่ตั้งแห่งการกระทำ

กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งของการกระทำ มีสองอย่าง คือ

สมถกรรมฐาน ๑ วิปัสสนากรรมฐาน ๑

สมถกรรมฐาน คือ การอบรมความสงบของจิต เพื่อข่มนิวรณ์ จนจิตสงบเป็นฌานขั้นต่างๆ เมื่อฌานไม่เสื่อมย่อมเกิดในพรหมโลก

วิปัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ตามความเป็นจริง ดับกิเลสตามลำดับ เพื่อดับกิเลสทั้งหมดไม่ต้องเกิดอีกเลย การนั่งสมาธิไม่ใช่การเจริญสมถ หรือการเจริญวิปัสสนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ซึ่งอารมณ์ ๔๐ คือ เป็นอารมณ์ ของการเจริญสมถภาวนา ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา มีดังนี้

กสิณ ๑๐ มี ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เป็นต้น

อสุภ ๑๐ มี อุทธุมาตกะ วินีลกะ เป็นต้น คือ ซากศพที่ตายแล้วมีอาการต่างๆ

อนุสสติ ๑๐ มี พุทธานุสสติ ธรรมมานุสสติ เป็นต้น

อาหาเรปฎิกูลสัญญา ๑ คือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหาร

จตุธาตุววัฎฐาน ๑ คือ พิจารณา ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม

อรูปฌานอารมณ์ ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ เป็นต้น

พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

รายละเอียดทั้งหมดโปรดอ่านในวิสุทธิมรรคสมาธินิเทส

สำหรับอารมณ์ ๔๐ ที่เป็นการเจริญสมถภาวนา ไม่สามารถดับกิเลส และ ไม่ได้หมายความว่า หากจะเจริญวิปัสสนาจะต้องเจริญสมถภาวนาก่อน เพราะ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเดียว บรรลุธรรมมีมากมาย ครับ

สมถภาวนาในชีวิตประจำวัน ที่ควรจะได้อบรมให้เจริญขึ้น คือ พรหมวิหาร ๔ เช่น เมตตาพรหมวิหาร ครับ หรือ อนุสสติ ๑๐ ที่จะสามารถ มีเหตุปัจจัยเกิดได้ จากการฟังพระธรรมแล้วเกิดปัญญาขั้นฟัง เข้าใจพระธรรมที่ได้ยิน จากนั้นสังขารขันธ์ ก็จะทำกิจปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล โดยที่สติ จะเกิดระลึกไปในอารมณ์นั้นๆ ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม เช่น พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ มรณานุสสติ จาคานุสสติ ศีลานุสสติ เทวตานุสสติ เป็นต้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 23 ส.ค. 2555

จากคำถามที่ว่า ในการศึกษาธรรมะควรมีอะไรสำคัญครับ

การศึกษาธรรม ควรเป็น ผู้ละเอียด และ ตรง เป็นสำคัญ คือ ไม่เผินในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่จะต้องเป็นผู้ที่เคารพในสิกขา คือ ตั้งใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนกว่าจะเข้าใจ ไม่สำคัญว่าเข้าใจแล้ว และ เข้าใจว่าง่าย และเป็นผู้ตรงว่ายังเป็นผู้ไม่รู้ และ ตรง ที่จะไม่ศึกษาธรรม เพื่อเหตุอื่นๆ มี ลาภ สักการะ เป็นต้น และไม่รู้ ก็คือไม่รู้ จึงอบรมปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ซึ่ง ปัญญาที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้ละเอียดและตรงมากขึ้น และ ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึกษาพระธรรมคือ ปัญญา เพราะ หากไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจถูกแล้ว ก็ไม่ได้ประโยชน์ จากการศึกษา เพราะเข้าใจธรรมผิด เป็นการศึกษา แบบจับงูพิษที่หาง ย่อมถูกงูกัดได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม จุดประสงค์ของพระองค์ คือ ให้สัตว์โลกเกิดปัญญาของตนเอง อันเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ความไม่ดีของตน เป็นสำคัญ

จากคำถามที่ว่า

และ สำนักกรรมฐานในประเทศไทยมีกี่แห่งครับ

ข้อมูลนี้ไม่ทราบว่ามีกี่แห่ง ครับ

เพียงแต่ว่า เมื่อเข้าใจคำว่ากรรมฐานถูกต้อง คือที่ตั้งของสติ และปัญญา ที่เป็นอารมณ์ของสติ และปัญญาแล้ว นั่นคือ สภาพธรรมในขณะนี้ เป็นกรรมฐาน เป็นที่ตั้งของสติให้ระลึก และให้ปัญญารู้ความจริง ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น สมัยพุทธกาล ไม่มีสำนักกรรมฐาน แต่มีความเข้าใจถูก นั่นเอง ที่จะเข้าใจว่า จิต เจตสิก รูป ที่กำลังเกิดในชีวิตประจำวัน ต่างหาก ที่เป็น กรรมฐาน ให้สติและปัญญารู้

จึงกล่าวได้ว่า ทุกที่ เป็นกรรมฐาน เพราะ ทุกที่มีธรรม สำคัญที่ว่าจะมีสติและปัญญา รู้หรือไม่ ซึ่งจะมีได้ ก็ด้วยการอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ชัดเจนมากค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ส.ค. 2555
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่สำคํญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ การไปทำอะไรด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความเห็นผิด ด้วยความเป็นตัวตน ที่จดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะเป็นไป เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของความเข้าใจ ไม่ใช่รูปแบบ ไม่ใช่ข้อกำหนดด้วยเวลาว่า จะต้องนั่งเท่านี้ชั่วโมง เดินเท่านี้ชั่วโมง ถ้ามีการกำหนดรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา ทั้งหมดเป็นข้อกำหนด ที่เกิดขึ้น ด้วยความไม่รู้ทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่พระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

จึงควรเริ่มต้น ด้วยความตั้งใจที่จะศึกษาธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ถ้ามีความตั้งใจจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษา ความรู้ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น อย่างแน่นอน

การศึกษาธรรม ก็คือ ศึกษาสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยรู้เลย ว่าเป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรมจริงๆ ไม่พ้นไปจากนามธรรม กับ รูปธรรม ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป เลย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ ไปทีละเล็กทีละน้อย

การฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ทำให้มีความมั่นคง ในเหตุ ในผล ของ ธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้จริงๆ ว่า ธรรม เป็น ธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 30 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
อรรถวาที
วันที่ 8 ก.ย. 2555

ขอขอบคุณครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 29 ส.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ