ทำไมคนถึงมีกิเลส

 
ณัฐวุฒิ
วันที่  24 เม.ย. 2555
หมายเลข  21016
อ่าน  12,142

ทำไมคนถึงมีกิเลส กิเลสมีได้อย่างไร ทำไมถึงยังละกิเลสไม่ได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 24 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ กิเลส เวลาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉพาะตัวเขาเองเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วยและจะต้องเกิดร่วมกับกุศลจิตเท่านั้น กิเลสจะเกิดร่วมกับกุศลจิตเท่านั้น เกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีไม่ได้เลย ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

กิเลสมีมากมายหลายประการ เช่น โลภะ (สภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มานะ (ความสำคัญตน) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศลธรรม) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) เป็นต้น ทั้งหมดนั้น เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดำ ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งนั้น ซึ่งจะถูกดับด้วยปัญญาขั้นโลกุตตระ

แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับพืชเชื้อของกิเลส อันเป็นกิเลสที่ละเอียด ที่จะต้องถูกดับด้วยอริยมรรค (โสดาปัตติมรรค ถึงอรหัตตมรรค) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิต เกิดขึ้น และถ้ามีกำลังกล้าก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้ายต่อผู้อื่น เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคล สะสมกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ กิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะสะสมกิเลสมาอย่างเนิ่นนาน และเพราะยังละกิเลสไม่ได้ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ที่ยังละกิเลสไม่ได้ กล่าวได้ว่า เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่พอกพูนกิเลสอกุศล แม้สัตว์ในภพภูมิอื่น ก็มีกิเลสเหมือนกัน ตราบใดที่ยังละกิเลสไม่ได้ จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่มีกิเลส สัตว์ในอบายภูมิ เทวดา พรหมบุคคล (ที่ยังละกิเลสไม่ได้) ก็คือ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ นั่นเอง เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย

เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่า ขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง หรือ ถ้าไม่เป็นโลภะหรือโทสะ ก็เป็นโมหะ ตลอดเวลาที่จิตไม่เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล และไม่มีการอบรมเจริญปัญญาจากการฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง เป็นต้น จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะโกรธมากๆ ก็ได้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส นั่นเอง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรมได้ว่า ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 24 เม.ย. 2555

* * * -------------------------- * * *

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขออนุญาต อาจารย์คำปั่น เพื่อร่วมสนทนาธรรมครับ

* * * ------------------------------------ * * *

เดิมทีผมเคยสงสัยว่า เริ่มมีกิเลสได้อย่างไร คือหมายถึง ที่เริ่มเกิดมาครั้งแรก แล้วมีกิเลสได้อย่างไร ครั้นเมื่อใจเย็นๆ สะสมการฟังพระธรรมจากผู้รู้ที่เป็นมิตรประเสริฐ ที่ มศพ. (ขออนุญาตกล่าว) มากวันขึ้น ถึงรู้ว่า "จุดเริ่มต้นชีวิตของทุกชีวิตนั้น หามิได้" คือ ยาวนานมากเกินกว่าจะนับได้

ดังนั้น กิเลส ที่เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ก็คงทำนองเดียวกัน คือมีการสะสมมาเนิ่นนานหลายเวลา ด้วย "ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น" ด้วยการสำทับด้วย คำว่า "ไตรลักษณะ" ทุกอย่างไม่อยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ใดเลย

กาลนี้ในเมื่อ "กิเลสเป็นสิ่งที่น่าัรังเกียจ ควรละ" รู้เพราะ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม จึงได้รับประโยชน์ด้วย คุณลักษณะพิเศษของการฟังพระธรรม และ รับประโยชน์ต่อด้วยว่า "กุศลทุกประการควรเจริญให้มาก" ในเมื่อ "ทั้ง อกุศล และ กุศล ก็ไม่อยู่ในการควบคุมของใครทั้งสิ้น" แต่ แต่ มีพระธรรม ที่ทำให้สติปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับ เมื่อเจริญขึ้น กุศลที่พร้อมด้วยปัจจัยเกิดร่วมด้วย ก็เจริญไปด้วย และมีการสะสม สืบเนื่อง ในสังสารซึ่งนับจุดสิ้นสุดไม่ได้ เช่นกัน

เพื่อการสะสมในฝ่าย "ขาว" วันนี้โชคดีมี พระสัจธรรม เป็นเครื่องบอกทาง

ดังนั้น การฟังพระสัจจธรรม จึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดที่เกิดได้ยากในโลก

ขออนุโมทนากุศลที่เจริญแล้วของอาจารย์คำปั่น และ ผู้ถามนะครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น ด้วยความเคารพอย่างสูง

* * * -------------------- * * *

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 24 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ซึ่ง กิเลส ที่เป็นอกุศลที่มีมากมาย มีขึ้นได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับว่า มาจาก อวิชชา ความไม่รู้ เพราะ มีความไม่รู้ ที่เป็นหัวหน้าของอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงเป็นปัจจัยให้เกิด อกุศล คือ กิเลสประการต่างๆ ทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ มานะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้มีได้เพราะ มีความไม่รู้ เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมว่าเป็แต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จึงหลงยินดี ติดข้อง จึงโกรธไม่พอใจ ในสัตว์ บุคคลเป็นต้น และเมื่อว่าโดยละเอียดไปอีก กิเลสเหล่านี้ที่มีได้ และเพิ่มพูนในจิตใจ สาเหตุ คือ เพราะ มีอนุสัยกิเลส คือ มีกิเลสที่นอนเนื่องในจิตใจที่ยังไม่ได้ดับ และเมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้นในขณะใด ไม่ได้หายไปไหน สะสมเป็นอนุสัย เช่น ความโกรธเกิดขึ้น หนึ่งขณะจิต ปฏิฆานุสัย สะสมไปในจิตใจต่อไป ทำให้มีการเพิ่มพูนกิเลสเพิ่มขึ้น ไปแต่ละขณะ แต่ละขณะ เพราะฉะนั้น การเพิ่มพูนกิเลสมีได้ เพราะมีการเกิดขึ้นของอกุศลจิตแต่ละขณะ สะสมเป็นอนุสัย เป็นพืชเชื้อ ให้กิเลสเกิดได้ง่ายขึ้น ครับ

เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า ทำไมคนถึงมีกิเลส คงไม่ใช่แต่คนเท่านั้นที่มีกิเลส เพราะกิเลส คือ เจตสิก ที่ไม่ดี ที่ประกอบกับจิต เพราะฉะนั้น คน เป็นสมมติ สัตว์เดรัจฉาน เป็นสมมติ เทวดา มาร พรหม เป็นสมติ สมมติขึ้นเพราะมี จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น จึงบัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ เพราะเมื่อมีจิต เจตสิก จึงมีกิเลสเกิดขึ้น สรุปได้ว่าที่ยังมีกิเลส และเกิดกิเลส เพราะ ด้วย อวิชชา ความไม่รู้ประการหนึ่ง และ เพราะอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องในจิตที่ยังไม่ได้ดับอีกประการหนึ่ง และกิเลสเหล่านี้พอกพูนในจิตใจได้ เพราะ มีการเกิดขึ้นของกิเลสแต่ละขณะจิต มีโทสะ เป็นต้น ทำให้สะสมเป็นอนุสัยกิเลสต่อไป เพิ่มพูนกิเลสต่อไป ครับ

แต่แม้จะมีกิเลสเกิดขึ้นมาก เพียงใดก็ตาม แต่เมื่อมีการอบรมปัญญา ซึ่ง กุศล และอกุศลเป็นสภาพธรรมที่สะสม แต่สะสมแยกกัน เมื่อใดที่ปัญญาเจริญขึ้นจนถึงที่สุด ย่อมสามารถฆ่ากิเลสแม้มากได้ เปรียบดังทหารกล้ามีฝีมือ แม้จะมีน้อยแต่ย่อมฆ่าทหารเลว ไม่มีฝีมือ แม้มากได้หมดสิ้น ปัญญาที่ถึงพร้อมก็เช่นกัน ย่อมฆ่าหมู่กิเลสที่สะสมในจิตใจได้หมดสิ้น ครับ เพราะฉะนั้น การสะสมปัญญา ย่อมประเสริฐกว่าการสะสมใดๆ ทั้งสิ้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ณัฐวุฒิ
วันที่ 24 เม.ย. 2555

ครับ ขออนุโมทนาในทุกคำตอบครับ

ในปฐมสมิทธิสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องมาร คืออายตนะ

มีข้อความว่า

“ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์

ครั้งนั้นแล ท่านพระสมิทธิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรพระเจ้าข้า จึงเป็นมารหรือการบัญญัติว่ามาร. (หมายความว่าต้องการรู้ว่า ทำไมเรียกว่ามาร มีหตุอะไรถึงได้ชื่อว่ามาร)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

ดูก่อนสมิทธิ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น,

หู เสียง โสตวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น,

จมูก กลิ่น ฆานวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามาร ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น,

ลิ้น รส ชิวหาวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น,

กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น,

ใจ ธรรม มโนวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามาร ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น.

ดูก่อนสมิทธิ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณไม่มี ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามาร ก็ไม่มี ณ ที่นั้น ฯลฯ

ใจ ธรรม มโนวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามาร ก็ไม่มี ณ ที่นั้น.”


- ในความเห็น ผมเห็นว่า ที่มีกิเลส นอกจากการสะสมแล้ว ก็อาศัยสะสม ตามอายตนะ เมื่อมีอายตนะ ทั้งภายในและนอก ผู้ไม่รู้ก็มีการยึดถือในอายตนะนั้น เพราะการไม่รู้ความจริงในสภาพธรรมะที่เพียงปรากฏแล้วดับไป ถ้าหากดับขันธปรินิพพาน ไม่มีอายตนะอีกเลย ก็ไม่มีที่เกิดและให้ยึดได้ในอายตนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 25 เม.ย. 2555

เรียนร่วมสนทนาในความเห็นที่ 4 ครับ

ตามที่คุณ ณัฐวุฏ กล่าวถึงว่า กิเลส มารที่เป็นกิเลสมาร เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยการมีอายตนะะเกิดขึ้น คือ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่นรส รู้กระทบสัมผัส และธรรม สรุปได้ว่า เพราะมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม กิเลสจึงมีได้ ซึ่งก็ถูกต้องตามที่คุณณัฐวุฏกล่าวได้อีกนัยหนึ่ง ครับ เพราะ หากไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป เลย ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของกิเลส แต่เพราะมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสได้ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ครับ ดังที่กล่าว โดยนัย กิเลส กรรม วิบาก คือเพราะ มี วิบาก ที่เป็น จิต เจตสิกเกิดขึ้น เช่น ขณะนี้เห็น เห็นเป็นวิบาก เมื่อวิบากเกิดขึ้น เห็นดับไป เป็นปัจจัยให้กิเลสเกิดขึ้น ชอบ หรือ ไม่ชอบ ในสิ่งที่เห็น ครับ นี่คือเพราะมีวิบาก มีการเห็น (จักขุวิญญาณ) ที่เป็นอายตนะ เกิดขึ้น เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส มี โลภะ โทสะ เป็นต้น ในสิ่งที่เห็น และเมื่อเกิดกิเลส ก็มีการกระทำกรรม กิเลสจึงเป็นปัจจัยให้ ทำกรรม และเมื่อมีกรรม ก็ย่อมเกิดวิบาก คือ มีการเกิด คือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำให้มีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น เมื่อมีจิต เจตสิก รูป ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส

สรุปได้ว่า เพราะมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ทำให้เกิดกิเลสได้

ขออนุโมทนาในความเห็นถูก ครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

กิเลส กรรม วิบาก

ความจริงแห่งชีวิต ... ตอนที่ ๙๓ จิตตสังเขป (กิเลส กรรม วิบาก)

ขอเชิญคลิกฟัง-อ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่ครับ

กรรม กิเลส วิบาก เป็นปัจจัยแต่ละประเภท

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ณัฐวุฒิ
วันที่ 25 เม.ย. 2555

อนุโมทนากับทุกท่านครับ

อีกเรื่องที่จะทำให้เห็นว่า ที่กิเลสมี เพราะอายตนะมี

จากเรื่องมาร

ยสฺส ปารํ อปารํ วา ปาราปารํ น วิชฺชติ วีตทฺทรํ วิสญฺญุตฺตํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.

" ฝั่งก็ดี ที่มิใช่ฝั่งก็ดี ฝั่งและมิใช่ฝั่งก็ดี ไม่มี แก่ผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีความ

กระวนกระวาย ไปปราศแล้ว ผู้พราก (จากกิเลส) ได้แล้วว่า เป็น พราหมณ์."

แก้อรรถ

อายตนะอันเป็นไปในภายใน ๖ ชื่อว่า ปารํ ในพระคาถานั้น.

อายตนะอันมี ณ ภายนอก ๖ ชื่อว่า อปารํ. อายตนะทั้งสองนั้น ชื่อว่า ปาราปารํ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 25 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี"

"สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุเพราะปัจจัย"

"กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะอวิชชา"

"ปัญญาเท่านั้นจะดับกิเลสได้หมดสิ้น (ตามลำดับขั้นของปัญญา) "

"เพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ืnopparat
วันที่ 26 เม.ย. 2555

เล่ม ๖ พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 1

พระวินัยปิฎก

เล่มที่

มหาวรรค ภาคที่ ๑

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มหาขันธกะ

โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แรกตรัสรู้ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ

ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส.

เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ทำไมคนจึงมีกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) พระสูตรนี้น่าจะใช้ได้อีกพระสูตรหนึ่งที่ศึกษาและโดนใจมากๆ เพราะ ความโง่ (อวิชชา) นั่นแหละ

ยินดีในบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 26 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 26 เม.ย. 2555

"เพราะมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป จึงทำให้เกิดกิเลส และเพิ่มพูนขึ้นได้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 28 เม.ย. 2555

ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ กิเลสของมนุษย์ เช่น โลภะของคนไม่สามารถมีที่เก็บได้หมด แม้จักรวาลทั้งหมดก็ไม่เพียงพอให้เก็บ เพราะมีอวิชชาจึงมีกิเลสมากมาย ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ