อินเดีย ... ที่พักใจ ๖

 
kanchana.c
วันที่  7 พ.ย. 2554
หมายเลข  19983
อ่าน  2,177

กลับบ้านแม่เสียที กลับจากอินเดียได้ ๑๔ วันแล้ว เพิ่งได้กลับมาเยี่ยมแม่ที่อยุธยา

เพราะมัวแต่ขับรถหนีน้ำท่วมไปอยู่ที่ต่างๆ แต่ละวันผ่านไปด้วยความตื่นเต้นบ้าง ตื่น

ตระหนกบ้าง ตื่นกลัวบ้าง จนไม่มีสมาธิพอที่จะเล่าการไปจาริกแสวงบุญในครั้งนี้ได้

แต่ก็มีเรื่องอื่นๆ ที่อยากจะเล่าก่อน คือ เมื่อกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเช้าวันจันทร์

ที่ ๒๔ ต.ค. ๕๔ นั้น ก็ได้ทราบจากกัลยาณมิตรที่กรุณามารับที่สนามบินว่า ไม่สามารถ

กลับเข้าบ้านได้ เพราะเขาประกาศว่าเขตสายไหมที่บ้านเราตั้งอยู่นั้นอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม

สูง รถเล็กไม่สามารถเข้าออกได้ น้องแดงผู้มีอุปการคุณก็พาไปอยู่คอนโดของเธอที่

เผอิญคนเช่าออกไปก่อนหน้านี้ ๑ อาทิตย์ ที่สุขุมวิท ๕๒ ซึ่งมีความสะดวกสบายมาก

เราเตรียมหาอาหารตุนไว้พอสมควร เพราะดูจากทีวี เห็นภาพคนไม่มีข้าวน้ำกินอดอยาก

อยู่หลายๆ วัน กลัวตัวเองจะต้องอดอยากอย่างนั้นจึงตั้งใจเตรียมไว้ให้เต็มที่ แต่สินค้าจำ

เป็นที่ห้างก็หมดเป็นแถบๆ จึงตุนไว้ได้เพียงเล็กน้อย กะจะอยู่ที่คอนโดคุณกัณหาสัก ๑

เดือน จึงสอบถามเพื่อนบ้านที่ยังไม่อพยพออกมา ทราบว่าถนนในซอยแห้งสนิท แต่

ถนนพหลโยธินด้านหน้านั้นน้ำขึ้นสูงรถเล็กไม่สามารถผ่านไปได้แต่สามารถนั่งรถทหาร

ไปได้ จึงเดินทางไปกับสามีเพื่อไปเอายาประจำตัว โน๊ตบุ๊คมาไว้ถอดเทปธรรม และ

เอกสารสำคัญหลายอย่าง

อยู่ที่คอนโดของคุณกัณหา ๒ – ๓ วัน ได้ทราบว่าสหายธรรมหลายท่านที่อยู่บ้าน

ใกล้กันประสบเคราะห์กรรมคล้ายๆ กัน คือเข้าบ้านไม่ได้ ต้องอพยพหนีน้ำไปอยู่ตาม

จังหวัดต่างๆ ยกเว้นคุณวันชัย ภู่งาม ประชาสัมพันธ์ของมูลนิธิกับครอบครัวที่ยืนหยัด

ใช้บ้านเป็นป้อมปืนนาวาโรนยืนหยัดต่อสู้จนกว่าน้ำหยดสุดท้ายจะเหือดแห้งจากถนนสายไหม และยังกรุณาชวนเราและสามีไปร่วมต่อสู้ที่บ้านด้วย ขอขอบพระคุณในไมตรีจิตค่ะ

(ภาพตัวอย่างน้ำท่วมเขตสายไหม ในภาพเป็นบริเวณปากซอยบ้านคุณวรรณวิไล

เชาวน์ธาดาพงศ์ (คุณตุ๊กแก) ที่ท่านอาจารย์เคยไปสนทนาธรรมคราวก่อน)

ได้ทราบจากคุณอ้อม สวิณี แสนทองที่มีประสบการณ์เรื่องน้ำท่วมมากกว่าใครๆ เพราะ

กลับจากอินเดียแล้วก็ต้องฝ่าน้ำท่วมสูงไปพาครอบครัวที่ใหญ่มาก เพราะมีน้องหมาตัว

ใหญ่ๆ ๖ ตัว อพยพไปอยู่ในค่ายทหารบกที่ปราจีนบุรีว่า คุณณรงค์ พณิชากิจ กรรมการผู้

จัดการใหญ่ของบริษัทมนตรีทรานสปอร์ต ได้เรียนเชิญท่านอาจารย์ และพี่จี๊ดให้ไป

พักผ่อนที่พัทยา ทำให้อยากไปอยู่พัทยาบ้าง เมื่อผู้จัดการคอนโดมาบอกว่า ให้รีบย้าย

รถออกไปจอดที่ทางด่วน เพราะประตูน้ำใกล้ๆ แตกแล้ว (ทราบทีหลังเมื่อเราออกมาแล้ว

ว่า ซ่อมได้แล้ว) จึงติดต่อคุณขาว (ผู้นำทัวร์ที่ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของลูกทัวร์

ตลอดไป) ที่ทราบว่าไปพักที่พัทยาเช่นกัน ให้ช่วยติดต่อหาที่อยู่ให้ด้วยจะอพยพหนีน้ำ

อีกแล้ว คุณขาวก็ใจดีชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่พัทยาใต้ จึงรีบขนข้าวของขึ้นรถขับไป

พัทยาทันที

อยู่ที่พัทยานั้นได้รับกุศลวิบากเป็นอิฏฐารมณ์ต่างๆ มากมาย ผิดคาดจากที่เคยคิดว่าจะ

เป็นผู้อพยพที่อดอยากหิวโหย เสบียงคลังอาหารแห้งต่างๆ ที่กักตุนบรรทุกรถมาด้วยก็

ไม่ได้ใช้ เพราะมีอาหารขายมากมาย และที่สำคัญที่สุดมีอาหารใจที่วิเศษสุด คือ ได้ร่วม

ฟังการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ที่คุณณรงค์จัดให้มีขึ้นในกลุ่มญาติของเธอที่พักอยู่ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ จอมเทียน พัทยาด้วย เราเห็นคุณป๊อบลงประกาศในกระดาน

สนทนาของเว็บไซต์ dhammahome.com ให้ผู้สนใจร่วมสนทนาได้ก็ตื่นเต้นจนขนลุก

นอนไม่หลับ อยากจะไปแต่เช้าและเมื่อได้มากราบท่านอาจารย์ก็รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ มั่นคงขึ้นว่า ปัญญาคือความเข้าใจธรรมจะเป็นที่พึ่งในยามประสบอันตรายทั้งปวงได้

บรรยากาศการสนทนาธรรมก็เป็นไปด้วยดี แต่เราจดจำอะไรไม่ได้ตามเคย เมื่อถึงเวลา

อาหารกลางวัน คุณณรงค์เจ้าภาพก็พาไปเลี้ยงอาหารกลางวันด้วย ขออนุโมทนาในกุศล

จิตที่เกื้อกูลให้ได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น แต่เสียดายที่ไปร่วมได้เพียงวันเดียว เพราะคนที่พัก

อยู่ด้วยกันป่วยเสีย ๒ คน จึงไปร่วมสนทนาในวันรุ่งขึ้นไม่ได้ แม้จะอยากไปก็ตาม ก็เป็น

ไปตามเหตุปัจจัย ที่เสียดายเพราะเป็นโลภะที่อยากฟังธรรม (แถมอาหารกลางวันด้วย)

ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

ได้เล่าให้ท่านอาจารย์ฟังว่า บ้านในกรุงเทพฯที่หนีมานั้นมีน้ำท่วมสูงและมีกลิ่นเหม็น

ด้วย ท่านบอกว่า นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ของนรก ไม่ทราบว่า ตัวเองจะต้องไปอยู่นรก

นั้นด้วยหรือเปล่า เพราะตอนที่น้ำเหม็นนั้นยังไม่ได้เข้าไปอยู่เลย ทราบจากข่าวเท่านั้น

แต่ถ้าทำอกุศลกรรมไว้ ก็คงต้องได้รับอกุศลวิบากนั้น แต่กลิ่นเหม็นซึ่งเป็นอกุศลวิบาก

ทางจมูกนั้นเกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา ไม่ใช่เกิดร่วมกับทุกขเวทนาอย่างอกุศลวิบาก

ทางกาย ถ้าจะเป็นทุกข์ก็เพราะกิเลส ไม่ใช่ทุกข์อย่างทุกข์กาย

อยู่พัทยาได้ ๗ วัน จนชินกับอารมณ์ที่น่าพอใจแล้ว เริ่มเห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ

ทางตาชั่วขณะสั้นๆ แล้วก็หมดไป เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่

น่าพอใจ (ที่ชินกับอิฏฐารมณ์ที่น่าติดข้องเร็ว เพราะอารมณ์ที่ดีเหล่านั้นไม่ใช่ได้มาเฉยๆ

ต้องแลกกับเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองหวงแหนมากเช่นกัน) ความติดข้องทำกิจต่อสู้กับความ

ตระหนี่ ในที่สุดความตระหนี่ก็ชนะค่ะ ทำให้เกิดคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านเกิด ทำให้คิดถึงเรื่อง

ในปายาสิราชัญสูตร ที่พระเจ้าปายาสิไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง เพราะเมื่อญาติมิตรเพื่อนฝูง

ใกล้ตายก็ได้สั่งให้มาบอกว่า ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน แต่ไม่มีใครกลับมาบอกเลย เมื่อท่าน

ได้ไปทูลถามท่านพระกุมารกัสสปะ ท่านก็ตอบด้วยนัยต่างๆ แต่ที่เราคิดถึงคือ เมื่อตาย

แล้วไปอยู่ในสวรรค์ ก็เพลิดเพลินกับอารมณ์ที่น่ายินดียิ่งจนลืมที่จะกลับมาบอก และเวลา

ในสวรรค์ก็ยาวนานกว่ามนุษย์มาก พอคิดถึงอีกทีผู้ที่จะกลับมาบอกก็ตายไปเสียแล้ว

ดังนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่า รถเล็กสามารถวิ่งไปอยุธยาได้แล้ว ก็เลยตัดสินใจทิ้ง

อิฏฐารมณ์ที่พัทยากลับไปหาแม่ที่อยุธยา แม้ว่าการเดินทางจะไม่สะดวก เพราะถนนที่

แห้งนั้นมีเพียงเลนเดียวต้องแบ่งกันวิ่งทั้งขาขึ้นและขาล่อง จึงใช้เวลาจากกรุงเทพ-อยุธยา

ระยะทาง ๘๐ กม. ถึง ๖ ชั่วโมง แต่เพิ่งกลับจากอินเดีย เคยใช้เวลาเดินทางในรถถึง ๑๑

ชั่วโมง ก็ยังไม่เป็นไร แค่ ๖ ชั่วโมง เด็กๆ แต่ที่ไม่เหมือนอินเดีย คือ ไม่สามารถเข้า

ห้องน้ำธรรมชาติข้างทางตลอดเวลาที่ต้องการได้ แม้จะมีน้ำเจิ่งนองตลอดทางก็ตาม

อย่างไรก็ตามก็ได้เห็นกรุงเทพในอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือ ทางด่วนเป็นที่

จอดรถทั้งสองข้าง มีเรือพายไปมาบนถนน เห็นคนตกปลา ทอดแหอยู่ข้างทาง และโชคดี

ที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยกัน กลับมาถึงบ้านจึงพบแม่และญาติพี่น้องมากมายคอยต้อนรับ

อย่างอบอุ่น

โลกมนุษย์เป็นที่ดูบุญและบาป และผลของบุญและบาปตามพระพุทธพจน์จริงๆ ด้วย

เมื่อคิดว่า ไม่มีใคร ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนเท่า

นั้น ก็เบาใจสบายขึ้นจากความวิตกกังวลถึงสมบัติต่างๆ ที่จะเสียหายไปกับน้ำ จะได้รู้กันว่า

สมบัติเหล่านั้นจะเป็นของน้ำ หรือจะเป็นสมบัติให้เราใช้สอยต่อไป

อย่างไรก็ตามน้ำที่ท่วมอยู่ที่ทำให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนโดยทั่วกันนี้ ก็ต้องแห้ง

และหมดไปในวันหนึ่งแน่นอน แต่น้ำที่ท่วมใจ คือ โอฆะ ห้วงน้ำทั้งหลาย ได้แก่ กาโมฆะ

ห้วงน้ำคือกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภโวฆะ ห้วงน้ำ คือ ภพ ความมี ความเป็น ทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือทิฏฐิ ความเห็นผิด

อวิชโชฆะ ห้วงน้ำคืออวิชชาความไม่รู้ที่นำความทุกข์เดือดร้อนมายาวนานในสังสารวัฏนั้น

ไม่หมดไปง่ายๆ อย่างน้ำท่วมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ก็ยังมีความหวัง เพราะยังมีโอกาสได้

ฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์กรุณาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ทำให้เข้าใจ

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดง แม้มีส่วนในธรรมที่พระองค์

ตรัสรู้เพียงเล็กน้อย ก็ยังทำให้พอรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเข้าใจว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ก็

ยิ่งทำให้เข้าใจความเป็นอนัตตามากขึ้น เพราะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวแล้วดับไป ไม่

กลับมาอีกเลย จะเอาความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคลจากที่ไหน เมื่อสะสมความเข้าใจ

อย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อย ก็พอเห็นหนทางที่จะทำให้น้ำที่ท่วมใจนี้แห้งได้ ในวันหนึ่ง

แน่นอน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ที่นำเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านกัน

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 7 พ.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนา (พี่แดง) ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ด้วยครับ ที่นำเรื่องราวดีๆ มาให้ผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน ได้อ่าน เป็นประโยชน์มากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาครับ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
aditap
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 7 พ.ย. 2554

กราบอนุโมทนาพี่แดงที่มีเรื่องราวและข้อคิดดีๆ มาฝากท่านสมาชิกบ้านธัมมะโดยตลอด

ขอใช้สิทธิ์พาดพิง กล่าวถึงความมั่นคง และ ความประทับใจของพี่ๆ ที่ร่วมเหตุการณ์

น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้สักเล็กน้อยนะครับ

เป็นที่ทราบดีว่า พี่แดงได้เตรียมการรับมือน้ำท่วมครั้งนี้ ตั้งแต่ก่อนไปอินเดียครั้งนี้

มีกระทู้ที่พี่แดงได้กรุณาเล่าไว้ ท่านสามารถอ่านได้ตามลิงค์นี้ครับ

อินเดีย...ที่พักใจ ๓

อินเดีย ... ที่พักใจ ๔

อินเดีย...ที่พักใจ ๕

เมื่อกลับจากอินเดียถึงบ้าน วันต่อมาทราบข่าวว่าน้ำท่วมบริเวณบ้านพี่แดงแล้ว

ซึ่งก็รวมถึงบ้านคุณลุงนิภัทร และ บ้านพี่อ้อม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันด้วย ระดับน้ำสูงมาก

และ สูงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงโทรศัพท์หาพี่แดง และได้ทราบว่า พี่แดงและพี่สงบ

ได้ย้ายไปพักที่คอนโดมิเนียมพี่กัณหาที่สุขุมวิทแล้ว กระนั้น พี่แดงยังมีกุศลเจตนา

และกุศลศรัทธา กลับบ้านฝ่าน้ำที่สูงมาก เพื่อมานำคอมพิวเตอร์คู่ชีพ ไปไว้ข้างกาย

เพื่อเจริญกุศล สนองพระคุณท่านอาจารย์แลพระศาสนา ดังบางตอนที่พี่แดงกล่าวไว้

สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิด คือ กราบอนุโมทนาพี่กัณหา ในความเอื้อเฟื้อที่ให้ที่พักพี่แดง

ต่อมาคือ คิดถึงกุศลกรรมที่พี่แดงทำไว้ รวมถึงความเข้าใจที่พี่มี จากการศึกษาธรรม

มานานหลายสิบปี เป็นตัวอย่างอันดียิ่งสำหรับท่านอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี

ความเข้าใจ (ปัญญา) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกบุคคล เป็นที่พึ่งแท้จริง ไม่มีอื่น

ทุกครั้งที่ระลึกได้เช่นนี้ ไม่มีเลยสักครั้ง ที่ข้าพเจ้าจะไม่นึกถึงกาละ

ที่ข้าพเจ้ากราบแทบเท้า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งในชาตินี้ ที่ได้มีเมตตาอันหาประมาณมิได้ ที่ได้พากเพียร

กล่าวแล้วกล่าวอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ในพระธรรม คำสอน ในความจริง ที่มีจริงๆ ในทุกๆ ขณะนี้

ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้

"มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา"

คือหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่พี่แดงได้กรุณาถ่ายทอดมาจากความเข้าใจที่ได้ติดตาม

ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มานานหลายสิบปี เพื่อให้ทุกคนได้อ่านและพิจารณา

ปัจจุบัน เวลานี้ บ้านพี่อ้อม น้ำท่วมถนนหน้าบ้านราวหน้าอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยลืม

วันนั้น ที่พี่มาบัญชาการอยู่ที่บ้านเพื่อนำครอบครัวพี่รวมถึงคุณยาย ออกจากบ้านมาได้

ซึ่งกว่าจะออกมาได้ก็ค่ำมืด และ รู้สึกภูมิใจที่พี่เข้มแข็งและขับรถฝ่าความมืด

ไปไกลถึงปราจีนบุรีได้อย่างเรียบร้อยงดงาม กราบอนุโมนาพี่อ้อมด้วยครับ

บ้านพี่แดงและคุณลุงนิภัทร น้ำสูงมิดศรีษะ

แต่ใครเลยจะรู้ว่า น้ำท่วมที่หลายคนคิด ว่าเป็นภัยอันใหญ่ยิ่งนั้น

หาได้ท่วมทับ "ใจ" ของศิษย์ของพระตถาคต พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

และ ผู้ถ่ายทอดพระธรรมผู้ซื่อตรงและสูงไปด้วยเมตตาอันยิ่ง ผู้มีนามสมมติบัญญัติ

ในชาตินี้ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไม่

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตแลกุศลวิริยะของพี่แดงด้วยครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
h_peijen
วันที่ 8 พ.ย. 2554

"มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา"

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 8 พ.ย. 2554

แต่ใครเลยจะรู้ว่า น้ำท่วมที่หลายคนคิด ว่าเป็นภัยอันใหญ่ยิ่งนั้น

หาได้ท่วมทับ "ใจ" ของศิษย์ของพระตถาคต พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

และ ผู้ถ่ายทอดพระธรรมผู้ซื่อตรงและสูงไปด้วยเมตตาอันยิ่ง ผู้มีนามสมมติบัญญัติ

ในชาตินี้ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไม่

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์...

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา (พี่แดง)

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
สมศรี
วันที่ 9 พ.ย. 2554
ขอแสดงความเสียใจกับผู้ประสบภัยน้ำท่วม และขออนุโมทนากับผู้ทีมีโอกาสได้เจริญกุศลในหลายด้าน เช่น ช่วยผู้ประสบภัย ตลอดจนยังเจริญปัญญาได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ในกาลนี้ด้วยค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ผิน
วันที่ 10 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 10 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ING
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
swanjariya
วันที่ 12 ก.ค. 2561

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณพี่แดงที่เล่าเรื่องราวของน้ำท่วมที่ผ่านมามาเกือบสิบปีแต่ยังภาพประทับอยู่ในความทรงจำของทุกคน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเห็นถึงผลของกรรมของแต่ละชีวิต สุดแต่ละชีวิตจะตระหนักถึงผลของกรรมนั้นอย่างไรก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล

แต่น้ำท่วมครั้งนั้นแม้จะท่วมสูง ท่วม ท้นอย่างไรก็น้อยกว่ากิเลสที่ท่วมทับใจมานานแสนาน

น้ำท่วมครั้งนั้นแม้ท่วมสูงเพียงใดก็เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่การที่ชีวิตได้พบพระธรรมโดยการถ่ายทอดของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์นั้น ประเสริฐยิ่งหาค่ามิได้

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

และขออนุโมทนากับผู้ร่วมรับผลของกรรมจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นแต่ยังมีโอกาสได้พบพระธรรมจากการถ่ายทอดของท่านอาจารย์

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ